บรรยากาศภายในโถงทางเดินเงียบสงัดลงทันตา
บรรยาการเริ่มตึงเครียด
ฉินโม่หานขมวดคิ้ว พลางหันหน้าไปมองห้องพักผู้ป่วยที่อยู่เบื้องหลัง
ประตูห้องที่เดิมที่ปิดสนิท บัดนี้กลับแง้มอ้า เผยอออก
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ นัยน์ตาเย็นเยียบทอดมองฉินหลิงยี่ “พี่รอง”
“สำหรับนาย เย่เชียนจิ่วสำคัญมากขนาดนี้เลยรึ?”
ฉินหลิงยี่แค่นยิ้มบางๆ “คงต้องก่อนดูว่า ในหัวใจของนาย ซูสือเยว่มีความสำคัญมากแค่ไหนเชียว”
ฉินโม่หานเปลี่ยนมาเป็นอิริยาบถสบายๆ เขาเอนนั่งพิงม้านั่งยาว “ซูสือเยว่สำคัญกับฉัน เพราะว่าเธอเป็นภรรยาของฉัน เป็นแม่ของลูกๆ ฉัน และเป็นผู้หญิงที่ฉันรักที่สุดในชีวิต”
“แล้วสำหรับนายล่ะ เย่เชียนจิ่วเป็นอะไร?”
“บางที ก็คงรักที่สุดนั่นแหละ”
ฉินหลิงยี่หัวเราะเบาๆ “ฉันแค่ถามนาย ว่าอยากทำข้อตกลงนี้ไหม”
เมื่อพูดจบ เขาก็มองฉินโม่หานพลางยกมุมปาก “นายต้องพยายามตามหาอย่างถึงที่สุดแล้วล่ะ ได้เบาะแสมาเท่าไหร่แล้ว?”
“เบาะแสของฉัน สามารถทำให้นายมุ่งตรงไปหาซูสือเยว่ได้ทันที รู้เร็วขึ้นหนึ่งวัน เธอจะได้กลับมาอยู่ข้างกายนายแบบง่ายๆ เร็วขึ้นหนึ่งวัน”
“สรุปแล้วจะทำข้อตกลงไหม…..”
“แล้วแต่นายสิ”
ฉินโม่หานหรี่ตา
ฉินหลิงยี่จงใจเล่นแง่กับเขา
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาเย็นยะเยือก “แม้ว่าพี่รองจะสามารถหาเบาะแสของซูสือเยว่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของฉัน ก็สามารถหาได้เหมือน”
เมื่อพูดจบ เขาพลางเหยียดยิ้มเย็นชา “ฉันคิดว่า หากสือเยว่รู้ ก็คงสนับสนุนการตัดสินใจของฉัน”
“เธอคงไม่คาดหวัง ว่าฉันจะปล่อยคนที่จับตัวเธอไปอย่างง่ายดาย เพื่อที่ฉันจะได้เบาะแสของเธอมาหรอก”
แววตาของฉินหลิงยี่เย็นยะเยือกลงทันตา
“โม่หาน นายจะทำแบบนี้กับพี่รองอย่างงั้นหรือ?”
ฉินโม่หานเผยรอยยิ้มเหี้ยม “พี่รอง พี่จำเป็นต้องให้ท้ายเย่เชียนจิ่วขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็อิริยาบถอีกครั้งโดยเอนพิงม้านั่งยาว “หรือจะบอกว่า เย่เชียนจิ่วกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง พี่กลับไม่ได้ให้ท้ายเธอ….”
“แต่กำลังบงการเธอ?”
ฉินหลิงยี่หรี่ตาลงพลางแค่นยิ้ม
“ฉันคิดแค่ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงตัวน้อยๆ เท่านั้นเอง”
“ถ้านายไม่อยากทำข้อตกลงก็ไม่เป็นไร ฉันมีวิธีทำให้นายส่งเย่เชียนจิ่วมาแต่โดยดีก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยัดตัวลุกขึ้น พลางทอดมองฉินโม่หานที่นั่งบนม้านั่งยาวจากมุมสูง “แต่ นายจะสามารถตามหาซูมือเยว่ได้ หรือตอนที่นายตามหาซูสือเยว่จนเจอ บางที่เธอจะยังเป็นภรรยาของนายอยู่รึเปล่านะ”
สิ้นสุดคำพูด ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าเดินจากไป
ฉินโม่หานเอนพิงม้านั่งยาว เขาหลับตาลงอย่างเงียบๆ
ในขณะที่ฉินโม่หานเดินไปถึงประตูลิฟต์ เขาตะโกนเรียก “พี่รอง”
จังหวะเท้าของชายหนุ่มหยุดชะงัก ฉินหลิงยี่เหลือบตามองอย่างเฉยชา “ทำไม?”
“เปลี่ยนใจรึไง?”
ฉินโม่หานขมวดคิ้วแน่น “ความผูกพันของพี่น้อง มันเทียบไม่ได้กับเย่เชียนจิ่วที่ยอมทำเรื่องเลวร้ายเลยหรือ?”
เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะตอบรับฉินหลิงยี่หรือไม่ ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขาก็ไม่มีทางเหมือนในอดีตได้อีกแล้ว”
ฉินหลิงยี่ชะงักไป ก่อนจะแค่นยิ้ม “ใครเป็นพี่น้องกับนายกัน?”
เขาจ้องมองฉินโม่หาน ดวงตาเผยความเย็นชาอย่างไร้เยื่อใย “แม่ของฉันเป็นเมียหลวงที่จดทะเบียนกับพ่ออย่างถูกต้อง แล้วแม่เป็นอะไร นายจำได้ไหม?”
“นายควรค่าแก่การเป็นพี่น้องของฉันงั้นเหรอ?”
เมื่อเอ่ยจบ ฉินหลิงยี่ก็เดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา
ทอดมองเงาแผ่นหลังของเขาหายไปในลิฟต์ มือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของฉินโม่หานกำหมัดแน่นอยู่ข้างลำตัว
เขา ฉินเจี้ยนอานและฉินหลิงยี่ ไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน
มารดาของฉินเจี้ยนอานและฉินหลิงยี่เป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย
ทว่าฉินโม่หานคือลูกของหญิงสาวอ่อนวัยและงดงามที่ท่านปู่พากลับจากนอกบ้านคนหนึ่งหลังจากที่นายหญิงฉินเสีย
เธออายุมากกว่าลูกคนโตอย่างฉินเจี้ยนอานเพียงแค่สองปี ซึ่งคนในตระกูลฉินเองก็ไม่อนุญาตให้ท่านปู่ฉินแต่งงานกับเธอ
เธออายุมากกว่าฉินเจี้ยนอานลูกชายคนโตของท่านปู่ฉินถึงสองปี คนในตระกูลฉินจึงไม่อนุญาตให้ท่านปู่แต่งงานกับเธอ
เธออยู่เคียงข้างท่านปู่โดยไร้ซึ่งชื่อเสียงและฐานะ เธอประคับประคองรักต่างวัยนี้ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของผู้คนรอบกาย
เธอคลอดฉินโม่หานได้ไม่นาน ในที่สุดเธอก็ตรอมใจตาย
ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของสามพี่น้องตระกูลฉินไม่ได้ดีอย่างที่คิด
ทว่าตลอดระยะเวลามานี้ คนที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดฉินโม่หาน มีเพียงฉินเจี้ยนอาน
ส่วนฉินหลิงยี่มีภาพลักษณ์เป็นพี่รองที่อ่อนน้อมเป็นกันเองอยู่เสมอ
ในวัยเด็ก เขาปฏิบัติกับฉินโม่หานเป็นอย่างดี ทำให้ฉินโม่หานรู้สึกมาตลอดว่า ฉินหลิงยี่นั้นแตกต่างกับฉินเจี้ยนอาน
ทว่าตอนนี้……
เขามองฉินหลิงยี่จากด้านหลัง พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
ไม่แปลกที่เย่เชียนจิ่วจะปลอมเปลือกได้ขนาดนี้
เพราะมีอาจารย์ดีที่คอยแนะนำอยู่ข้างกายอย่าง ฉินหลิงยี่
“แด๊ดดี้”
ในตอนที่เขาเข้าสู่ภวังค์แห่งความเงียบ ประตูห้องผู้ป่วยที่อยู่ด้านหลังเขาก็ถูกเปิดออก
ซิงเฉินโผล่หัวออกมาจากประตูห้องผู้ป่วย พลางมองไปที่ฉินโม่หานด้วยความตื่นเต้น “แด๊ดดี้ เข้ามา!”
ในตอนนี้เอง ฉินโม่หานจึงหลุดออกจากภวังค์ จากนั้นก็ผลักประตูเพื่อเข้าไปในห้อง
ซิงเฉินที่อยู่ข้างหลังเขาก็ปิดประตูห้องอย่างเงียบๆ
สองเตียงในห้องผู้ป่วย ซิงหยุนกับซิงกวงกำลังนั่งหาข้อมูลในโน้ตบุ๊คอย่างขะมักเขม้น
ฉินโม่หานขมวดคิ้วและเดินเข้าไป “เป็นไงบ้าง?”
“เจอเบาะแสแล้ว”
สูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆ ซิงกวนพูดก่อน “เมื่อกี้ที่แด๊ดดี้พูดคุยกับคนนั้น ผมกับพี่ซิงหยุนได้เริ่มหาพิกัดของคนที่ติดต่อกับเขาเมื่อไม่นานมานี้”
“ผลการวิเคราะห์ข้อมูลบอกว่า ก่อนที่เขาจะมาที่นี่หนึ่งชั่วโมง เขาได้รับสายโทรศัพท์คู่หนึ่ง”
“สัญญาณโทรศัพท์คู่นั้นมาจาก……”
ซิงกวงเบิกตากว้างในทันใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอแหงนหน้าและเบิกตาดวงโตใสแป๋วทั้งสองข้าง “มาจากวงศ์ตระกูลรุ่นที่สองของยุโรป
ตระกูลเจี่ยน
ฉินโม่หานขมวดคิ้วเป็นปม เขาเคยได้ยินคำว่า ตระกูลเจี่ยน มาก่อน
ตระกูลเจี่ยนในอดีตคือวงศ์ตระกูลรุ่นแรกของยุโรป ต่อมาผู้นำตระกูลของตระกูลเจี่ยนได้จากไป หลิวหรูเยียนภรรยาของเขาจึงได้รับไม้ต่อ
หลังจากที่หลิวหรูเยียนรับช่วงต่อ จากที่ตระกูลเจี่ยนเป็นวงศ์ตระกูลรุ่นแรกของยุโรป ก็ได้กลายเป็นวงศ์ตระกูลรุ่นที่สอง
แม้ว่าจะกลายเป็นรุ่นที่สองแล้ว ทว่าตระกูลเจี่ยนยังคงรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลจี้รุ่นที่หนึ่งได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังใช้การแต่งงานเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีมาหลายปีแล้ว
“ เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่โทรหาคุณลุงสองคือคนที่ชื่อว่า หานหยุน”
ซิงหยุนเงยหน้าจากที่ไกลๆ “ก่อนหน้านี้เขาเคยติดต่อกับหม่ามี๊ เขาเป็นหมออัจฉริยะที่ไปต่างประเทศเพื่อช่วยหม่ามี๊ตามหายาแก้ความจำเสื่อม”
ฉินโม่หานหน้านิ่วคิ้วขมวด
ตระกูลเจี่ยน
หานหยุน
มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจเขา……
“ช่วงนี้มีข่าวซุบซิบเกี่ยวกับตระกูลเจี่ยนที่แพร่สะพัดมาจากฝั่งยุโรป ตระกูลเจี่ยนเจอตัวคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยนที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน ”
“คุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยนคนนี้ หากกลับไปยังตระกูลเจี่ยน ก็ต้องปฏิบัติตามสัญญา โดยการแต่งงานกับจี้หนานเฟิง ลูกชายคนโตของตระกูลจี้ และหลังจากนี้ ตระกูลเจี่ยนก็จะได้รับความคุ้มครองจากตระกูลจี้ และจะไม่โดนคู่แข่งแย่งไปเป็นของตัวเอง”
พูดจบ ซิงหยุนก็แหงนหน้ามองฉินโม่หาน “แด๊ดดี้มีแผนจะทำอะไรไหมครับ?”
ทำยังไงดีล่ะ……
ฉินโม่หานหรี่ตาลง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ไป๋ลั่ว เตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะไปยุโรป”
“หนูไปด้วย”
ซิงกวงกะพริบตาปริบๆ พลางยกมือขึ้นอย่างระมัดระวัง หนูเป็นลูกเลี้ยงของคุณอาจี้ ค่อนข้างสนิทสนมกับที่นั่น”
“เอาผมไปด้วยคน”
ซิงหยุนปิดโน้ตบุ๊คอย่างเงียบๆ “ผมช่วยพ่อถอดรหัสกลไกคอมพิวเตอร์ได้มากมายเลยนะ”
“กลไกคอมพิวเตอร์ของตระกูลเจี่ยนค่อนข้างแน่นหนา ขาดผมไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นพี่ชายและน้องสาวกล่าวเช่นนั้น ซิงเฉินจำต้องยกมือขึ้นอย่างเงียบๆ “คือว่า……ผมช่วยแดดดี้หลอกคนอื่นได้ ทักษะการพูดของผมนับว่ายอดเยี่ยมเลย……”
####บทที่199 ขอกอดคุณได้ไหม
คฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน
ซูสือเยว่นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ เธอพลางพลิกหนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์ที่อ่านไม่ออกเหล่านั้น พลางฟังอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าอธิบายพื้นฐานของวิชาเศรษฐศาสตร์
นับตั้งแต่หานหยุนโทรศัพท์มาที่ตระกูลฉิน ก็ผ่านไปสามวันแล้ว
ทางฝั่งผู้ดูแลบ้านเสิ่น เธอก็ไม่ได้ตั้งความหวัง แต่ฝั่งตระกูลหานนี่สิ ไม่มีความเคลื่อนเลยสักนิด
หญิงสาวหน้านิ่วขมวดคิ้ว
ในช่วงเวลาสามวันมานี้ เธอมักจะแอบหนีออกจากตระกูลเจี่ยนหลายต่อหลายครั้ง ทว่าล้วนล้มเหลวทุกครั้งไป
บ้างก็ถูกคนจับตัวกลับมา บ้างก็หนีออกไปไม่ได้บ้างล่ะ
เธอกัดดินสอ จ้องมองหนังสือในมือของอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า เธอจมดิ่งในห้วงความคิด
ถึงแม้เธอจะเคยพูดจาไม่ดีใส่ผู้ดูแลบ้านเสิ่นในตอนแรก บอกว่าเธอก็สามารถทำให้ตระกูลเจี่ยนกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนหลิวหรูเยียนได้ ทว่า เมื่อเธอเริ่มไปเรียนรู้งาน ไปเรียนรู้ธุรกิจของตระกูลเจี่ยน เธอถึงจะเข้าใจและรู้ว่า……เธอนั้นไม่เหมาะกับงานแบบนี้
ถ้าจะให้เธอแต่งงานกับคนทั่วไปสักคน นั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
สำหรับเธอแล้ว ตระกูลเจี่ยนก็เป็นแค่ตระกูลที่กำลังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่นานเท่านั้นเอง
เธอไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตระกูลเจี่ยน แล้วก็ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนของตระกูลเจี่ยน ซ้ำยังไม่คิดละทิ้งความทิ้งทั้งชีวิตเพื่อตระกูลเจี่ยน
ตอนนี้สิ่งที่เธอจะทำอย่างเดียว นั้นก็คือไปที่เมืองหรง ตามหาลูกทั้งคนของเธอ จากนั้นก็จับฉินโม่หาน ทำให้เขาคุกเข่าสำนึกผิดตรงหน้าเธอ
พอนึกถึงตรงนี้ หญิงสาวพลางหันหน้ามองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเผลอไผล พลางคิดวิธีหนีออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นาน การสอนวิชานี้ก็สิ้นสุดลง
อาจารย์พลางเก็บของ พลางชำเลืองมองซูสือเยว่แวบหนึ่ง “คุณหนู ด้วยทัศนคติในการเรียนแบบนี้ของคุณ คุณจะไม่มีทางได้เป็นผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมของตระกูลเจี่ยนหรอกครับ”
ซูสือเยว่กลอกตามองเขาแวบหนึ่ง “ใครบอกกันคะ ว่าฉันจะเป็นผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมของตระกูลเจี่ยน?”
เธอไม่ได้อยากสืบทอดเลยด้วยซ้ำไป!
อาจารย์ที่รับผิดชอบสอนถอนลมหายใจ พลางส่ายหัวแล้วเดินจากไป
ซูสือเยว่ไม่แต่จะมองดู เธอยังคงจ้องมองสวนดอกไม้ขนาดเล็กนอกหน้าต่าง
ไม่นาน เธอก็เห็นว่ามีรูโหว่เล็กๆ อยู่ทางเหนือสุดของแปลงดอกไม้ขนาดเล็ก
แม้รูโหว่นั้นขนาดจะไม่ใหญ่ แต่เธอก็รูปร่างที่ผอมเพรียว หากอยากผ่านรูโหว่นั้นก็ไม่น่ามีปัญหา
สายตาของหญิงสาวยังคงทอดมองไปเบื้องหน้า
รูโหว่นั่นทะลุไป…..
ถนนด้านนอก!
ซูสือเยว่ตื่นเต้นถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้
ในขณะที่เธอเตรียมจะมุดรูโหว่ในสวนดอกไม้ออกไป พลันมีร่างเงาเล็กๆ มุดเข้ารูโหว่เข้ามา
ด้วยระยะที่ห่างกันเกินไป ซูสือเยว่เลยมองเห็นใบหน้าของฝั่งตรงข้ามไม่ชัดนัก
ทว่าเธอพอมองออก เป็นเด็กหนุ่มสวมชุดสีดำทั้งกาย ดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณห้าถึงหกขวบ
หลังจากที่เด็กน้อยมุดเข้ามาจากด้านนอก มองไปรอบๆ สวนดอกไม้ราวกับเป็นโจรขโมย
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นและกลุ่มบอดี้การ์ดเดินไปเบื้องหน้าอย่างเร่งรีบ ในตำแหน่งที่ห่างจากเขาเพียงภูเขาจำลองลูกหนึ่ง
หรือก็คือ ถ้าพวกผู้ดูแลบ้านเสิ่นตรวจดูสักรอบ ก็จะเห็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาสดร้อนๆ หัวขโมยน้อยจอมเจ้าเล่ห์!
เธอนั่งที่ขอบหน้าต่างของห้องหนังสือชั้นสอง ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว เธอนึกลังเลอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายในหนึ่งวินาทีก่อนที่กลุ่มของพ่อบ้านจะตรวจดูรอบ
“ผู้ดูแลบ้านเสิ่น!”
น้ำเสียงก้องกังวานของหญิงสาว ทำให้พ่อบ้านและอีกลายๆ คนนั้นหยุดชะงัก
เด็กหนุ่มในชุดดำที่อยู่ไกลคนนั้นเงยหน้ามองเธออย่างตกใจ
รับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกในดวงตาของเด็กหนุ่ม ซูสือเยว่เอียงหน้าไปส่งสายตาให้เขารีบไป จากนั้นจึงเท้าแขนบนหน้าต่างพลางยิ้มตาหยีให้ผู้ดูแลบ้านเสิ่น “คาบเรียนในวันนี้ของฉันเสร็จแล้วนะ”
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นย่นคิ้วแน่น พลางยิ้มบางดูแคลนน้อยๆ “เช่นนั้นแล้วคุณหนูเรียนรู้เรื่องแล้วรึยังครับ?”
“ก็งั้นๆ แหละ มีโจทย์ที่ยังไม่เข้าใจ เลยอยากให้คุณมาสอนให้ฉันหน่อย”
พ่อบ้านยิ้มอย่างดูถูก “ตอนนี้ผมต้องจัดการธุระก่อน หากผมจัดการเรียบร้อยจะไปแก้โจทย์ให้นะครับ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาจึงหันหน้าไป สั่งเหล่าบอดี้การ์ดติดตามไป พลางเดินก้าวยาวจากไป
หลังจากพ่อบ้านเดินไปแล้ว ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมา พลางมองไปยังทางที่เด็กหนุ่มวิ่งไป
เด็กหนุ่มสวมชุดดำคนนั้นหมอบอยู่บนภูเขาจำลอง พลางกวักมือพร้อมรอยยิ้มจนตาหยี ส่งสัญญาณให้เธอมาหา
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว
ถ้าอิงจากนิสัยของเธอในตอนนี้ แค่เด็กหนุ่มตัวน้อยคนหนึ่ง เธอสามารถช่วยเขาได้ก่อนที่พวกผู้ดูแลบ้านเสิ่นมาเจอ นั้นก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
ทว่า….
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในห้องหนังสือเนิ่นนาน สุดท้ายก็ก้าวขาเดินลงไปชั้นล่าง ไปถึงในสวนดอกไม้
ภายในภูเขาจำลองมีถ้ำน้อยๆ ในถ้ำขนาดเล็กยังมีม้านั่งหิน
ในตอนที่ซูสือเยว่เข้าไปด้านในภูเขาจำลอง เด็กหนุ่มในชุดดำกำลังนั่งม้านั่งหินพร้อมยิ้มตาหยี
“ผมรู้ว่าหม่ามี๊ต้องมาหาผม”
ดูเด็กหนุ่มอายุห้าถึงหกขวบที่ดวงตาเป็นประกาย แย้มยิ้มจนตาหยีมองมาที่สือเยว่
สือเยว่ขมวดคิ้ว
ท่าทางของเด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตาจริงๆ
แต่เธอกลับนึกไม่ออก ว่าเคยเจอเขาที่ไหนและเมื่อไหร่
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ หญิงจ้องเขาเขม็ง “หนูชื่ออะไร?”
“ผมชื่อซิงเฉิน”
เด็กหนุ่มนั่งยิ้ตาหยีบนม้านั่งหิน “คุณคือหม่ามี๊ของผม”
ซูสือเยว่ชะงักไป
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอพลางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นไปไม่ได้”
เธอมีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แต่ลูกชายทั้งสองของเธอ ล้วนอยู่ที่เมืองหรง อยู่อาศัยกับฉินโม่หาน
จะมาที่ตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร?
“เป็นไปได้ครับ”
ซิงเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “พอแด๊ดดี้รู้ว่าหม่ามี๊อยู่ที่ตระกูลเจี่ยน พวกเราเลยรีบมาหาเลย”
“หลับจากไปถึงทวีปยุโรป พวกเราไปหาคุณหมอหานหยุน เลยรู้ว่าหม่ามี๊สูญเสียความทรงจำ จำพวกเราไม่ได้แล้ว”
“ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของหม่ามี๊จริงแท้แน่นอน”
เด็กหนุ่มพูดไป พลางหยิบหนังสือรับรองDNAสภาพยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี้เป็นฉบับถ่ายเอกสาร บนนี้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า คุณคือหม่ามี๊ของผม แด๊ดดี้คือฉินโม่หาน”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว รับเอกสารมา กางออกมา
“รับรองแล้วว่า ฉินซิงเฉินและซูสือเยว่มีความเป็นไปได้ที่มีความสัมพันธ์แม่ลูกถึง99.99%”
มองดูตัวเลขบนหนังสือรับรอง ซูสือเยว่นิ่งชะงัก
เธอเงยหน้าขึ้นมา “หนูเป็นลูกชายของฉันจริงๆ งั้นเหรอ?”
“แน่นอนครับ!”
“ถ้างั้น….”
หญิงสาวชำเลืองไปที่รูโหว่นั้น “พี่น้องและน้องสาวของหนูล่ะ?”
“พวกเขาอยู่ที่โรงแรมครับ?”
ซิงเฉินยิ้มตาหยี่ให้ซูสือเยว่ “แด๊ดดี้พาพวกเราไปอยู่ที่โรงแรม บอกว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเยียนตระกูลเจี่ยน”
“แต่ผมคิดถึงคุณม้ากมาก เลยแอบย่องมาหาคุณ”
เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นอย่างเงอะงะแล้วเดินมาที่ข้างกายซูสือเยว่
เขายืนนิ่งๆ เบื้องหน้าของหญิงสาว ค่อยๆ อ้าแขนทั้งสองข้าง “ผมขอกอดคุณได้ไหม”
“ผมคิดถึงคุณมาก”
เธอมองคู่ดวงตาเปล่งประกายของเด็กหนุ่มตรงหน้า หัวใจของซูสือเยว่ก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของหนูน้อยนี้ช่างสวยจริงๆ
สวยจนเธอรู้สึกว่าหากวันนี้เธอปฏิเสธที่จะกอดเขา คงจะเป็นอะไรที่โหดร้ายเกินไป
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปกอดซิงเฉิน
ทว่าสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงคือ ยามที่ร่างกายของเธอกอดซิงเฉิน ทันใดนั้นบริเวณแผ่นหลังของเธอกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
เธอรีบผละออกจากเขา ถึพบว่า ในมือของเด็กน้อย กลับถือเข็มเปื้อนหนึ่งเล่ม!
และเลือดบนเข็มนั้น ก็เป็นเลือดที่จิ้มออกจากร่างกายของเธอนั่นเอง!