คฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน
ซูสือเยว่นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือ เธอพลางพลิกหนังสือวิชาเศรษฐศาสตร์ที่อ่านไม่ออกเหล่านั้น พลางฟังอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าอธิบายพื้นฐานของวิชาเศรษฐศาสตร์
นับตั้งแต่หานหยุนโทรศัพท์มาที่ตระกูลฉิน ก็ผ่านไปสามวันแล้ว
ทางฝั่งผู้ดูแลบ้านเสิ่น เธอก็ไม่ได้ตั้งความหวัง แต่ฝั่งตระกูลหานนี่สิ ไม่มีความเคลื่อนเลยสักนิด
หญิงสาวหน้านิ่วขมวดคิ้ว
ในช่วงเวลาสามวันมานี้ เธอมักจะแอบหนีออกจากตระกูลเจี่ยนหลายต่อหลายครั้ง ทว่าล้วนล้มเหลวทุกครั้งไป
บ้างก็ถูกคนจับตัวกลับมา บ้างก็หนีออกไปไม่ได้บ้างล่ะ
เธอกัดดินสอ จ้องมองหนังสือในมือของอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า เธอจมดิ่งในห้วงความคิด
ถึงแม้เธอจะเคยพูดจาไม่ดีใส่ผู้ดูแลบ้านเสิ่นในตอนแรก บอกว่าเธอก็สามารถทำให้ตระกูลเจี่ยนกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนหลิวหรูเยียนได้ ทว่า เมื่อเธอเริ่มไปเรียนรู้งาน ไปเรียนรู้ธุรกิจของตระกูลเจี่ยน เธอถึงจะเข้าใจและรู้ว่า……เธอนั้นไม่เหมาะกับงานแบบนี้
ถ้าจะให้เธอแต่งงานกับคนทั่วไปสักคน นั้นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
สำหรับเธอแล้ว ตระกูลเจี่ยนก็เป็นแค่ตระกูลที่กำลังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่นานเท่านั้นเอง
เธอไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตระกูลเจี่ยน แล้วก็ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนของตระกูลเจี่ยน ซ้ำยังไม่คิดละทิ้งความทิ้งทั้งชีวิตเพื่อตระกูลเจี่ยน
ตอนนี้สิ่งที่เธอจะทำอย่างเดียว นั้นก็คือไปที่เมืองหรง ตามหาลูกทั้งคนของเธอ จากนั้นก็จับฉินโม่หาน ทำให้เขาคุกเข่าสำนึกผิดตรงหน้าเธอ
พอนึกถึงตรงนี้ หญิงสาวพลางหันหน้ามองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเผลอไผล พลางคิดวิธีหนีออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้
เวลาผ่านไปไม่นาน การสอนวิชานี้ก็สิ้นสุดลง
อาจารย์พลางเก็บของ พลางชำเลืองมองซูสือเยว่แวบหนึ่ง “คุณหนู ด้วยทัศนคติในการเรียนแบบนี้ของคุณ คุณจะไม่มีทางได้เป็นผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมของตระกูลเจี่ยนหรอกครับ”
ซูสือเยว่กลอกตามองเขาแวบหนึ่ง “ใครบอกกันคะ ว่าฉันจะเป็นผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมของตระกูลเจี่ยน?”
เธอไม่ได้อยากสืบทอดเลยด้วยซ้ำไป!
อาจารย์ที่รับผิดชอบสอนถอนลมหายใจ พลางส่ายหัวแล้วเดินจากไป
ซูสือเยว่ไม่แต่จะมองดู เธอยังคงจ้องมองสวนดอกไม้ขนาดเล็กนอกหน้าต่าง
ไม่นาน เธอก็เห็นว่ามีรูโหว่เล็กๆ อยู่ทางเหนือสุดของแปลงดอกไม้ขนาดเล็ก
แม้รูโหว่นั้นขนาดจะไม่ใหญ่ แต่เธอก็รูปร่างที่ผอมเพรียว หากอยากผ่านรูโหว่นั้นก็ไม่น่ามีปัญหา
สายตาของหญิงสาวยังคงทอดมองไปเบื้องหน้า
รูโหว่นั่นทะลุไป…..
ถนนด้านนอก!
ซูสือเยว่ตื่นเต้นถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้
ในขณะที่เธอเตรียมจะมุดรูโหว่ในสวนดอกไม้ออกไป พลันมีร่างเงาเล็กๆ มุดเข้ารูโหว่เข้ามา
ด้วยระยะที่ห่างกันเกินไป ซูสือเยว่เลยมองเห็นใบหน้าของฝั่งตรงข้ามไม่ชัดนัก
ทว่าเธอพอมองออก เป็นเด็กหนุ่มสวมชุดสีดำทั้งกาย ดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณห้าถึงหกขวบ
หลังจากที่เด็กน้อยมุดเข้ามาจากด้านนอก มองไปรอบๆ สวนดอกไม้ราวกับเป็นโจรขโมย
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นและกลุ่มบอดี้การ์ดเดินไปเบื้องหน้าอย่างเร่งรีบ ในตำแหน่งที่ห่างจากเขาเพียงภูเขาจำลองลูกหนึ่ง
หรือก็คือ ถ้าพวกผู้ดูแลบ้านเสิ่นตรวจดูสักรอบ ก็จะเห็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาสดร้อนๆ หัวขโมยน้อยจอมเจ้าเล่ห์!
เธอนั่งที่ขอบหน้าต่างของห้องหนังสือชั้นสอง ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว เธอนึกลังเลอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายในหนึ่งวินาทีก่อนที่กลุ่มของพ่อบ้านจะตรวจดูรอบ
“ผู้ดูแลบ้านเสิ่น!”
น้ำเสียงก้องกังวานของหญิงสาว ทำให้พ่อบ้านและอีกลายๆ คนนั้นหยุดชะงัก
เด็กหนุ่มในชุดดำที่อยู่ไกลคนนั้นเงยหน้ามองเธออย่างตกใจ
รับรู้ได้ถึงความตื่นตระหนกในดวงตาของเด็กหนุ่ม ซูสือเยว่เอียงหน้าไปส่งสายตาให้เขารีบไป จากนั้นจึงเท้าแขนบนหน้าต่างพลางยิ้มตาหยีให้ผู้ดูแลบ้านเสิ่น “คาบเรียนในวันนี้ของฉันเสร็จแล้วนะ”
ผู้ดูแลบ้านเสิ่นย่นคิ้วแน่น พลางยิ้มบางดูแคลนน้อยๆ “เช่นนั้นแล้วคุณหนูเรียนรู้เรื่องแล้วรึยังครับ?”
“ก็งั้นๆ แหละ มีโจทย์ที่ยังไม่เข้าใจ เลยอยากให้คุณมาสอนให้ฉันหน่อย”
พ่อบ้านยิ้มอย่างดูถูก “ตอนนี้ผมต้องจัดการธุระก่อน หากผมจัดการเรียบร้อยจะไปแก้โจทย์ให้นะครับ”
เมื่อเอ่ยจบ เขาจึงหันหน้าไป สั่งเหล่าบอดี้การ์ดติดตามไป พลางเดินก้าวยาวจากไป
หลังจากพ่อบ้านเดินไปแล้ว ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมา พลางมองไปยังทางที่เด็กหนุ่มวิ่งไป
เด็กหนุ่มสวมชุดดำคนนั้นหมอบอยู่บนภูเขาจำลอง พลางกวักมือพร้อมรอยยิ้มจนตาหยี ส่งสัญญาณให้เธอมาหา
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว
ถ้าอิงจากนิสัยของเธอในตอนนี้ แค่เด็กหนุ่มตัวน้อยคนหนึ่ง เธอสามารถช่วยเขาได้ก่อนที่พวกผู้ดูแลบ้านเสิ่นมาเจอ นั้นก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
ทว่า….
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในห้องหนังสือเนิ่นนาน สุดท้ายก็ก้าวขาเดินลงไปชั้นล่าง ไปถึงในสวนดอกไม้
ภายในภูเขาจำลองมีถ้ำน้อยๆ ในถ้ำขนาดเล็กยังมีม้านั่งหิน
ในตอนที่ซูสือเยว่เข้าไปด้านในภูเขาจำลอง เด็กหนุ่มในชุดดำกำลังนั่งม้านั่งหินพร้อมยิ้มตาหยี
“ผมรู้ว่าหม่ามี๊ต้องมาหาผม”
ดูเด็กหนุ่มอายุห้าถึงหกขวบที่ดวงตาเป็นประกาย แย้มยิ้มจนตาหยีมองมาที่สือเยว่
สือเยว่ขมวดคิ้ว
ท่าทางของเด็กหนุ่มคนนี้ดูคุ้นตาจริงๆ
แต่เธอกลับนึกไม่ออก ว่าเคยเจอเขาที่ไหนและเมื่อไหร่
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ หญิงจ้องเขาเขม็ง “หนูชื่ออะไร?”
“ผมชื่อซิงเฉิน”
เด็กหนุ่มนั่งยิ้ตาหยีบนม้านั่งหิน “คุณคือหม่ามี๊ของผม”
ซูสือเยว่ชะงักไป
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอพลางส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นไปไม่ได้”
เธอมีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แต่ลูกชายทั้งสองของเธอ ล้วนอยู่ที่เมืองหรง อยู่อาศัยกับฉินโม่หาน
จะมาที่ตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร?
“เป็นไปได้ครับ”
ซิงเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “พอแด๊ดดี้รู้ว่าหม่ามี๊อยู่ที่ตระกูลเจี่ยน พวกเราเลยรีบมาหาเลย”
“หลับจากไปถึงทวีปยุโรป พวกเราไปหาคุณหมอหานหยุน เลยรู้ว่าหม่ามี๊สูญเสียความทรงจำ จำพวกเราไม่ได้แล้ว”
“ผมเป็นลูกชายแท้ๆ ของหม่ามี๊จริงแท้แน่นอน”
เด็กหนุ่มพูดไป พลางหยิบหนังสือรับรองDNAสภาพยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี้เป็นฉบับถ่ายเอกสาร บนนี้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า คุณคือหม่ามี๊ของผม แด๊ดดี้คือฉินโม่หาน”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว รับเอกสารมา กางออกมา
“รับรองแล้วว่า ฉินซิงเฉินและซูสือเยว่มีความเป็นไปได้ที่มีความสัมพันธ์แม่ลูกถึง99.99%”
มองดูตัวเลขบนหนังสือรับรอง ซูสือเยว่นิ่งชะงัก
เธอเงยหน้าขึ้นมา “หนูเป็นลูกชายของฉันจริงๆ งั้นเหรอ?”
“แน่นอนครับ!”
“ถ้างั้น….”
หญิงสาวชำเลืองไปที่รูโหว่นั้น “พี่น้องและน้องสาวของหนูล่ะ?”
“พวกเขาอยู่ที่โรงแรมครับ?”
ซิงเฉินยิ้มตาหยี่ให้ซูสือเยว่ “แด๊ดดี้พาพวกเราไปอยู่ที่โรงแรม บอกว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเยียนตระกูลเจี่ยน”
“แต่ผมคิดถึงคุณม้ากมาก เลยแอบย่องมาหาคุณ”
เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นอย่างเงอะงะแล้วเดินมาที่ข้างกายซูสือเยว่
เขายืนนิ่งๆ เบื้องหน้าของหญิงสาว ค่อยๆ อ้าแขนทั้งสองข้าง “ผมขอกอดคุณได้ไหม”
“ผมคิดถึงคุณมาก”
เธอมองคู่ดวงตาเปล่งประกายของเด็กหนุ่มตรงหน้า หัวใจของซูสือเยว่ก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของหนูน้อยนี้ช่างสวยจริงๆ
สวยจนเธอรู้สึกว่าหากวันนี้เธอปฏิเสธที่จะกอดเขา คงจะเป็นอะไรที่โหดร้ายเกินไป
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปกอดซิงเฉิน
ทว่าสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงคือ ยามที่ร่างกายของเธอกอดซิงเฉิน ทันใดนั้นบริเวณแผ่นหลังของเธอกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
เธอรีบผละออกจากเขา ถึพบว่า ในมือของเด็กน้อย กลับถือเข็มเปื้อนหนึ่งเล่ม!
และเลือดบนเข็มนั้น ก็เป็นเลือดที่จิ้มออกจากร่างกายของเธอนั่นเอง!