บทสนทนาของเด็กทั้งสามที่อยู่ชั้นบน ทำให้ฉินโม่หานหลุดยิ้มออกมา
“ซิงกวางเข้าใจแด๊ดมากที่สุด”
เขาก้าวขาเดินขึ้นบันได แล้วหยุดลงตรงหน้าซิงกวาง ก่อนจะค่อยๆอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา “ก็ว่าทำไมคนเขาชอบพูดกันว่าความเอาใจใส่ของลูกสาวเป็นเหมือนผ้านวมอุ่นๆผืนน้อย”
ซิงกวางเบะปาก หลังจากที่โดนฉินโม่หานอุ้มขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วเล็กจับคอเสื้อของเขาเอาไว้เบาๆ “แต่มีคนบอกว่า ลูกสาวคือคนรักของพ่อเมื่อชาติก่อนด้วยหนิคะ”
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “ลูกไม่ใช่ภรรยาชาติก่อนของแด๊ดหรอก”
ซิงกวางเม้มปาก “แด๊ดรู้ได้ยังไงคะว่าไม่ใช่?”
“เพราะคนรักและภรรยาชาติก่อนของแด๊ด ต้องเป็นหม่ามี๊ของพวกลูกอย่างแน่นอน”
“ชาติก่อน ลูกก็น่าจะเป็นลูกสาวของแด๊ดนั่นแหละ”
คำพูดของฉินโม่หาน ทำให้ซิงกวางชะงักไปสักพัก
จากนั้นไม่นาน เด็กญิงก็เอียงหัวแล้วหันหน้าไป ก่อนจะจูบลงตรงแก้มของฉินโม่หาน “หนูก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ค่ะ!”
“จิ๊ จิ๊ จิ๊”
ซิงเฉินที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจ “พอมีลูกสาวก็ลืมลูกชายตัวเองไปเลย”
ขณะพูด ก็หันไปมองซิงหยุน “พี่ พวกเรานี่มันน่าสงสารจริงๆ!”
“คนที่น่าสงสารมีแค่นายเหอะ”
“ฉันก็รักซิงกวางมากเหมือนกัน”
ซิงหยุนเงยหน้ามองหน้าเขานิ่งๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปยังห้องอ่านหนังสือเล็กของเขา “ฉันไปอ่านหนังสือละ”
ซิงเฉิน:“……”
เขาก็แค่พูดเล่นเฉยๆ!
อีกอย่าง เขายังไม่ทันได้พูดเลยว่าเขาไม่รักนน้องสาว!?
……
ภายในสวนดอกไม้หลังวิลล่า
ซูสือเยว่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อนในศาลาเล็กๆ พร้อมมองต้นไม้ที่ห่างออกไปอย่างเหม่อลอย “เมื่อก่อนฉันชอบฉินโม่หานขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ใช่แกชอบเขาขนาดนั้นเลย”
ฟู๋เชียนเชียนถอนหายใจ เธอกินผมไม้บนโต๊ะหินอ่อน พร้อมกับยักไหล่ “เขาทำเพื่อแกหลายเรื่องมากๆ”
“เขาช่วยแกจัดการเฉิงเซวียนกับเซี่ยงหวั่นฉิง”
“แล้วก็ซูโม่ เย่เชียนจิ่ว……”
ฟู๋เชียนเชียนถอนหายใจอีกครั้ง “ฉินโม่หานชอบเธอมากแค่ไหน ฉันก็รับรู้ได้เหมือนกัน……”
ซูสือเยว่เลิกคิ้วขึ้น
“ทำไมฉินโม่หานต้องช่วยฉันทุกอย่าง……”
“ฉัน……ไม่ได้ทำอะไรเพื่อฉินโม่หานเลยหรอ?”
ฟู๋เชียนเชียนขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ
เวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร ก่อนที่เธอจะส่ายหัว “ไม่เคยได้ยินแกพูดถึง”
“แต่ว่า แค่แกรู้ว่าแกชอบเขามาตลอดก็พอ แกยังทำอาหารให้เขาบ่อยๆ แล้วก็คอยดูแลพวกลูกชายสองคนของเขาด้วย……”
“ส่วนอย่างอื่น……คิดไม่ออกแล้ว”
ซูสือเยว่เงียบไปสักพัก
ทันใดนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของฟู๋เชียนเชียน “เพราะฉะนั้น แกหมายความว่า……”
“ฉินโม่หานช่วยเหลือฉันในหลายๆเรื่อง รวมถึงเรื่องงานกับครอบครัว”
“ส่วนฉัน……นอกจากทำอาหารกับช่วยเขาเลี้ยงลูกแล้ว ไม่เคยช่วยอะไรเขาได้เลย?”
ฟู๋เชียนเชียนชะงัก
ถึงประโยคนี้พูดออกมาไม่ดีเท่าไหร่ แต่……
“อื้ม ใช่”
พอลองนึกย้อนดูแล้ว ซูสือเยว่ไม่เคยทำอะไรเพื่อฉินโม่หาน เหมือนที่ฉินโม่หานทำเพื่อเธอจริงๆ
“แต่ ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก”
ฟู๋เชียนเชียนยักไหล่ “ยังไงพวกแกก็เป็นสามีภรรยากัน คุณชายฉินก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร”
“ขอแค่แกอยู่กับเขา ก็ถือว่าแกช่วยเหลือเขาแล้วมั้ง?”
ซูสือเยว่เงียบไปสักพัก ก่อนจะใช้มือตบโต๊ะ :
“ฉันในเมื่อก่อนนี่มันไม่ได้เรื่องจริง!”
เสียงที่เธอตบโต๊ะดังมาก จนทำให้ฟู๋เชียนเชียนที่กำลังจะกินองุ่นตกใจจนมันหล่นลงบนโต๊ะหินอ่อน
องุ่นลูกนั้นหล่นลงจากโต๊ะหินอ่อน ก่อนจะกลิ้งไกลออกไปเรื่อยๆ
ฟู๋เชียนเชียนรู้สึกเจ็บใจมาก
ก่อนจะหยิบองุ่นอีกลูกใส่ปาก “แกเป็นอะไรเนี่ย?”
ซูสือเยว่นวดมือข้างที่ตบโต๊ะอย่างเจ็บปวด “เมื่อก่อนฉันทำไม ถึงได้สบายใจในขณะที่ฉินโม่หานต้องทุ่มเทเพื่อฉัน?”
“ถึงจะเป็นสามีภรรยากัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนต้องช่วยเหลือกัน เท่าเทียมกันสิ!”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็เงยหน้ามองไปยังทางไกล “ต่อจากนี้ ฉันจะปกป้องฉินโม่หาน ฉันจะเป็นบอดี้การ์ดให้เขา เพื่อเป็นการตอบแทน!”
ฟู๋เชียนเชียนที่กำลังจะกินองุ่นหล่นลงพื้นอีกครั้ง
เธอกระแอมไอเสียงเบา “ฉันรู้สึกว่า…… คุณชายฉินน่าจะไม่ต้องการ”
ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่ซูสือเยว่ถ่ายละครอยู่บนดอยแล้วโดนไล่ฆ่า ฉินโม่หานเป็นคนปกป้องเธอ……
อีกอย่าง ฉินโม่หานบาดเจ็บเพราะเธอด้วย จนกระทั่งตอนนี้ตรงฝ่ามือยังต้องมีผ้าพันแผลพันเอาไว้เลย
เธอรู้สึกว่าซูสือเยว่ไม่มีความสามารถอะไรที่จะปกป้องฉินโม่หานได้……
“เขาไม่ต้องการก็เรื่องของเขา ส่วนเรื่องที่จะเป็นบอดี้การ์ดนั่นมันเรื่องของฉัน”
ซูสือเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ “ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
“ต่อจากนี้ฉันจะเป็นบอดี้การ์ดติดตัวฉินโม่หานแล้วก็ผู้ช่วยติดตัวด้วย จะได้ดูแลเขาได้ตลอดเวลา”
“ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่สบายใจสักที!”
ฟู๋เชียนเชียนขมวดคิ้วเบาๆ เหมือนมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาก่อนก้มหน้ากดโทรศัพท์ “สือเยว่เมื่อกี้แกว่าไงนะ”
ซูสือเยว่มองบนใส่เธอ “ฉันเพิ่งพูดแกก็ลืมแล้วหรอ?”
“เมื่อกี้ฉันพูดว่า ฉันจะตอบแทนฉินโม่หานที่เคยช่วยฉัน ต่อจากนี้ฉันจะเป็นบอดี้การ์ดกับผู้ช่วยติดตัวเขา ดูแลเขาตลอดเวลา!”
พูดจบ เธอก็หันมามองฟู๋เชียนเชียน “เก็บเป็นความลับก่อนนะ”
“ฉันไม่อยากให้ฉินโม่หานรู้ว่าฉันรู้สึกติดค้างเขา”
ฟู๋เชียนเชียนชะงัก ก่อนจะรีบพยักหน้า “โอเค โอเค โอเค”
หลังจากที่พูดจบ ข้อความเสียงของเธอก็ถูกส่งออกไป
ในขณะเดียวกัน บนชั้นสองของวิลล่า
ฉินโม่หานที่เพิ่งส่งซิงกวางกลับห้องนอนของเธอ แล้วเดินกลับมายังห้องอ่านหนังสือของเขาแล้วนั่งลง
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เป็นข้อความเสียงจากฟู๋เชียนเชียน
ชายหนุ่มปิดคอมไปด้วย พลางกดฟังข้อความเสียงไปด้วย
“เมื่อกี้ฉันพูดว่า ฉันจะตอบแทนฉินโม่หานที่เคยช่วยฉัน ต่อจากนี้ฉันจะเป็นบอดี้การ์ดกับผู้ช่วยติดตัวเขา ดูแลเขาตลอดเวลา!”
“เก็บเป็นความลับก่อนนะ”
“ฉันไม่อยากให้ฉินโม่หานรู้ว่าฉันรู้สึกติดค้างเขา”
……
มือที่กำลังคลิกเปิดกล่องข้อความอีเมลของเขากระตุก
หลังจากนั้น เขาก็เกี่ยวยิ้มขึ้นเบาๆ แล้วกดข้อความเสียงฟังอีกรอบ
ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนกระทั่งหานหยุนโทรเข้ามาขัดจังหวะเขา
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“คุณชายฉินผมได้ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตรวจสอบได้แล้วครับ เขายืนยันแล้วครับว่าตัวยาที่ผมฉีดให้ซูสือเยว่ในตอนนั้น มียาที่ทำให้ความจำเสื่อมผสมอยู่”
“และยาเป้าหมายของตัวนี้คือ ยิ่งใส่ใจกับอะไร ก็จะยิ่งลืมเรื่องนั้นได้ง่ายครับ”
พูดจบ หานหยุนก็ถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกโล่ง “ผมเจอศูนย์วิจัยของอาจารย์ผมแล้วครับ อาจารย์ผมบอกว่า แกก็ไม่เคยเจอยาชนิดนี้มาก่อน แกต้องศึกษาตัวยาก่อน ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะต้องฟื้นความทรงจำให้ซูสือเยว่ยังไง……”
ฉินโม่หานหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ขอบใจนะ”
นี่เป้นครั้งแรกที่หานหยุนได้ยินน้ำเสียงอารมณ์ดีขนาดนี้ของฉินโม่หาน
เขาเกือบจะนึกว่าตัวเองฟังผิดไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มทางปลายสายอึ้งอยู่สักพัก รู้สึกว่าฉินโม่หานต้องกำลังให้กำลังใจเขาอย่างแน่นอน!
ดังนั้นเขาจึงรีบสูดหายใจเข้าเต็มปอด “คุณชายฉินคุณไว้ใจได้เลย ผมกับอาจารย์จะพยายามอย่างแน่นอนครับ เพื่อให้ซูสือเยว่ฟื้นความจำได้……”
“ไม่รีบ”
ฝั่งต้นสาย น้ำเสียงนิ่งๆของฉินโม่หานพูดขึ้น “พวกคุณค่อยๆวิจัยไป”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า……”
“ตอนเธอความจำเสื่อม ก็น่ารักดี”