ในค่ำคืนที่เงียบสงบ
ภายในวิลล่าชานเมืองของเมืองสตัฟฟ์ เด็กน้อยทั้งสามคนรอจนถึงสองทุ่มครึ่ง ถึงจะได้กินอาหารเย็น
ซึ่งฟู๋เชียนเชียนเป็นคนทำมื้อเย็น
“ก่อนพวกคุณมา ไม่ได้คิดถึงปัญหาด้านอาหารการกินเลยหรอคะ?”
ฟู๋เชียนเชียนเลิกคิ้วขึ้น ขณะเสิร์ฟอาหาร ก็ถามขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ที่นี่คือชานเมืองของเมืองสตัฟฟ์ การคมนาคมก็ไม่ได้สะดวก อาหารเดลิเวอรี่เลยมาส่งไม่ได้
โชคดีไป๋ลั่วซื้อวัตถุดิบจากตลาดแถวนี้มาได้ แต่คนในบ้านเยอะขนาดนี้……
กลับไม่มีใครที่ทำอาหารเป็นเลย?
ไม่ต้องพูดถึงเด็กทั้งสามคน ฉินโม่หานเป็นถึงนักธุรกิจร้อยล้าน ทำอาหารไม่เป็นก็พอจะเข้าใจได้
แล้วก็……
เจี่ยนเฉิงทำอาหารไม่เป็น
ไป๋ลั่วทำอาหารไม่เป็น
บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งที่ติดตามพวกเขา แต่ละคนตัวใหญ่กล้ามโตกันทั้งนั้น แต่พอถามถึงเรื่องทำอาหาร ก็พากันเดินถอยหลังกันหมดเลย
ฟู๋เชียนเชียนยอมใจคนกลุ่มนี้จริงๆ
“เคยคิดครับ”
ซิงหยุนกัดตะเกียบกินข้าว ถอนหายใจออกมา “แต่ตอนนั้นพวกเราคิดว่า……”
ซิงเฉินพูดต่อ : “หม่ามี๊ทำอาหารอร่อยมาก พวกเราก็เลยมาพาแม่ครัวมาด้วยครับ”
“เพราะตอนอยู่บ้านหม่ามี๊ชอบพูดว่า ถ้ามี๊งานไม่ยุ่ง เรื่องอาหารของทุกคนในบ้านหม่ามี๊จะเป็นคนจัดการเอง”
ฟู๋เชียนเชียนถอนหายใจ แล้วหันมองซูสือเยว่หดตัวอยู่ในมุมเหมือนนกกระทา
“แก……จำให้ได้เร็วๆเถอะ”
ฟู๋เชียนเชียนรู้ดีว่า ซูสือเยว่ทำอาหารอร่อยจริงๆ
แต่ตอนนี้ คนที่ทำอาหารอร่อยสุดกลับลืมวิธีทำอาหาร!
มื้อเย็นวันนี้ฟู๋เชียนเชียนเป็นคนทำเองคนเดียว และเธอรู้สึกเหนื่อยมาก
ซูสือเยว่เบะปาก ก้มหัวลง ราวกับเด็กที่เพิ่งทำผิดมา “ฉันก็ไม่ได้อยากลืมนี่นา”
“ไม่เป็นไร”
พอเห็นท่าทางที่ขี้ขลาดของเธอ ฉินโม่หานยื่นมือออกไปลูบหัวเธออย่างรู้สึกปวดใจ ก่อนจะคีบอาหารใส่ถ้วยของเธอ “เดี๋ยวก็จำได้เอง”
“ความจำเสื่อมไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย คุณไม่ต้องรู้สึกขอโทษหรอก”
น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
แม้แต่ฟู๋เชียนเชียนยังขนลุกไปทั่วร่าง
เมื่อก่อนเธอรู้แค่ว่าฉินโม่หานรักซูสือเยว่มากๆ
แต่วันนี้เธอได้มาเห็นกับตาเอง……
จนเธอรู้สึกอยากมีแฟนขึ้นมาทันที
“อื้ม”
ซูสือเยว่ที่ยังคงก้มหน้า และพูดขึ้นเสียงเบา “ฉันรู้……”
“แต่ว่าฉันก็ยังรู้สึก……”
“ถ้ายังรู้สึกแล้วไม่สบายใจ……”
ฉินโม่หานยิ้มจางๆแล้วพูดแทรกเธอ “งั้นก็เรียนทำอาหารกับเชียนเชียน แล้วรื้อฟื้นความทรงจำการทำอาหารเมื่อก่อนให้กลับคืนมา ดีไหม?”
หลังจากที่ซูสือเยว่เงียบไปนาน เธอก็ได้พยักหน้า “อื้ม!”
ท่าทางที่นุ่มนวลอ่อนโยนของเธอ ทำให้ไป๋ลั่วและเจี่ยนเฉิงที่อยู่ห่างออกไปมองหน้ากัน
นี่มัน……
เท่าที่พวกเขาจำได้ นิสัยของซูสือเยว่หลังจากที่ความจำเสื่อมนั้น ทั้งขี้โมโหและขี้หงุดหงิด?
แต่ทำไมพออยู่ต่อหน้าฉินโม่หาน เธอไม่ได้ขี้โมโหและขี้หงุดหงิดด้วย อีกทั้งยังอ่อนโยนกว่าก่อนที่เธอจะความจำเสื่อมด้วย?
หรือว่า……
นี่คือพลังแห่งความรัก?
เจี่ยนเฉิงใช้มือลูบคางแล้วมองไปทางซูสือเยว่ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสนุก มุมปากเกี่ยวยิ้มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ไป๋ลั่วที่นั่งอยู่ข้างเขา เลิกคิ้วขึ้นแล้วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “คุณเจี่ยนครับ คุณยิ้มอะไรครับ?”
“ฉันตลกสือเยว่”
“เหมือนแม่เธอไม่มีผิด”
“ตอนแม่เธอสาวๆก็เป็นแบบนี้ อ่อนโยนต่อหน้าคนที่ตัวเองรักเท่านั้น”
ไป๋ลั่วชะงัก ก่อนจะหัวเราะออกมาแห้งๆ “แสดงว่าคุณเจี่ยน คุณยอมให้คุณชายผมกับคุณนายผมแต่งงานกัน ใช่ไหมครับ?”
เจี่ยนเฉิงมองบนใส่เขาเบาๆ “ถึงฉันไม่ยอม……”
“ฉันจะห้ามฉินโม่หานได้หรอ?”
ไป๋ลั่ว:“……”
ดูเหมือนว่า……จะไม่ได้
เขาก้มหัวลง แล้วเริ่มตั้งใจกินข้าว
แต่จะว่าไปแล้ว
อาหารที่คุณฟู๋ทำ แม้จะสู้ที่คุณนายทำไม่ได้ แต่รสชาติก็ไม่ได้แย่
“ฉันไม่ได้ตกลงนะคะว่าต่อจากนี้จะสอนหล่อนทำอาหาร”
ฟู๋เชียนเชียนที่ฟังคำพูดหวานแหววของทั้งสอง ได้แต่เบะปากอย่างไม่พอใจ “แพนเค้กมันฝรั่งที่หล่อนทำเมื่อเย็น ทำกระทะเสียไปตั้งหนึ่งอัน”
“เพื่อความปลอดภัยของชีวิตฉันแล้ว ฉันไม่มีทางสอนหล่อนทำอาหารแน่นอนค่ะ”
“หนึ่งล้าน”
ฉินโม่หานที่กำลังกินข้าว พูดตัวเลขจำนวนหนึ่งออกมา
“อะไรคะ???”
ฟู๋เชียนเชียนตาลุกวาว
“สอนเธอทำอาหาร หนึ่งล้าน”
“แล้วก็ช่วงนี้รับหน้าที่ทำอาหารให้ครอบครัวผมทั้งบ้าน เพิ่มอีกห้าแสน”
“ตกลงค่ะ!”
ฟู๋เชียนเชียนหมุนข้อมือเล็กของเธอ “ฉันคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของสือเยว่เรื่องของหล่อนก็เหมือนเรื่องของฉันค่ะ”
“เธอลืมวิธีทำอาหารไป ฉันจะยืนดูเฉยๆได้ยังไงคะ?”
“ไม่ได้ค่ะ!”
“คุณฉินไว้ใจได้เลยค่ะ ฉันไม่กลัวลำบากไม่กลัวเหนื่อยไม่กลัวตาย ฉันจะสอนเธอทุกอย่าง ที่ฉันเรียนมาตลอดชีวิตเลยค่ะ!”
ซูสือเยว่:“……”
แค่บอกว่าจะสอนเธอทำอาหาร ทำไมต้องพูดเหมือนไปบุกป่าฝ่าดงเลยหล่ะ?
หญิงส้มก้มหัวลงอย่างรู้สึกหดหู่ หลังจากที่ยัดข้าวเข้าปากสองสามคำก็วางถ้วยลง แล้วเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ฉินโม่หานเลิกคิ้วขึ้น กำลังจะก้าวเท้าเดินตามเธอไป แต่โดนซิงหยุนขวางไว้ก่อน
เด็กชายวางถ้วยและตะเกียบลง สูดหายใจเข้าลึกๆ “ผมไปดีกว่าครับ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พยักหน้า “ดึกมากแล้ว พวกลูกต้องรีบเข้านอน”
เขากำลังหมายความว่า ไม่ให้ซิงหยุนคุยกับเธอดึกเกินไป
เด็กชายพยักหน้า “ผมรู้แล้วครับ”
พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าเล็ก แล้วเดินขึ้นบันไดอย่างสง่า
“ผมไปด้วยคน”
ซิงเฉินก็วางถ้วยลง ก้าวเท้าเดินขึ้นชั้นบน
พอเห็นพี่ชายทั้งสองคนไปปลอบใจหม่ามี๊ ซิงกวางทำได้แค่ถอนหายใจ “งั้นหนูก็ไปก่อนะคะ”
ฟู๋เชียนเชียนที่นั่งอยู่ในห้องทานอาหาร พอเห็นท่าทางของเจ้าเด็กน้อยทั้งสามคนที่เดินตามซูสือเยว่ขึ้นชั้นบนไป หัวใจของเธอกระตุกเบาๆ
เมื่อก่อนเธอไม่ได้รู้สึกว่าการเป็นซูสือเยว่นั้นจะมีความสุข
แต่ตอนนี้……
เธอใช้มือทั้งคู่แนบแก้มแล้วมองแผ่นหลังของเด็กทั้งสาม “จู่ๆฉันก็เข้าใจว่าความสุขหลังแต่งงานของพวกคุณคืออะไร”
ฉินโม่หานวางถ้วยและตะเกียบลงอย่างสง่า แล้วเหลือบมองเธอ “คุณเข้าใจจริงหรอครับ?”
ฟู๋เชียนเชียนพยักหน้า
ชายหนุ่มกลับหัวเราะเบาๆ “ความสุขหลังแต่งงาน เป็นสิ่งที่คุณคาดฝันไม่ถึงหรอกครับ”
ฟู๋เชียนเชียนเบะปาก “ซูสือเยว่ก็ขึ้นชั้นบนไปแล้ว เหลือแค่คุณคนเดียว ยังจะมาอวดว่ารักกันอยู่ได้?”
“ฉันขอบอกเลยว่า ฉันไม่สน!”
ฉินโม่หานเกี่ยวยิ้มมุมปาก ก้มหัวแล้วหัวเราะออกมา
เวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร หลังจากที่รอให้คนรับใช้เก็บถ้วยและอาหารเหลือเสร็จ ฟู๋เชียนเชียนถึงจะสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วขมวดคิ้วมองฉินโม่หาน “เรื่องที่สือเยว่ความจำเสื่อม……ทำไมมันน่าแปลกจังเลยคะ?”
“หล่อนลืมแค่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณทุกๆอย่าง กับเรื่องทำอาหาร?”
ฉินโม่หานพยักหน้า เมื่อช่วงค่ำ เขาเพิ่งคุยกับหานหยุนอย่างละเอียด
หานหยุนคาดว่า สิ่งที่ซูสือเยว่ลืมนั้น น่าจะเกิดจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสุขของเธอ
คนรัก ทำอาหาร
หรือว่า สำหรับซูสือเยว่ในอดีตแล้ว สองเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับความสุขที่แท้จริงของเธอ?
……
ระเบียงชั้นบน
ซูสือเยว่กับเด็กน้อยทั้งสามนั่งเรียงเป็นแถวอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียง มองดูพระจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
“หม่ามี๊”
ซิงกวางหันหน้ากลับมามองหน้าเธอ “นอกจากแด๊ดดี้กับการทำอาหาร มี๊ยังมีเรื่องอะไรที่จำไม่ได้บ้างคะ?”
หญิงสาวเงียบไปสักพัก ก่อนจะส่ายหัว
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“ความทรงจำที่เจ็บปวดทั้งหมด……มี๊จำได้หมดค่ะ”