คำถามของชายหนุ่ม มันทำให้ตัวของซูสือเยว่ชะงักเล็กน้อย
เธอช้อนดวงตาขึ้นมา พร้อมทั้งจ้องมองเขาอย่างแปลกใจ “เชื่อฟังคำสั่งสามี…ฉันไม่ควรรู้เหรอ?”
เธอก็ไม่รู้เพราะว่าอะไร คำๆนี้ก็ผุดออกมาจากปาก
ฉินโม่หานจ้องมองเธอ นัยน์ตาลึกซ้ำ “คุณไม่ควรจะรู้”
“เชื่อฟังคำสั่งสามี” คำๆนี้ ตอนที่เธอถ่ายหนังเรื่อง《ความทรงจำที่ขาดหาย》ในฉากที่จะจูบกับจี้หนานเฟิง ดังนั้นเขาเลยเป็นคนออกตัวว่าจะจูบกับเธอเอง
จากนั้นเขาก็เริ่มจัดแถลงข่าว เพื่อบอกกับทุกคน ว่าเธอเป็นภรรยาของเขา
เขาพูดว่า เธอเชื่อฟังคำสั่งสามี ดังนั้นถึงได้ให้เขาไปเป็นนักแสดงจูบแทนให้เธอ
แต่…
ซูสือเยว่ในเวลานี้ ไม่ใช่ว่าลืมเรื่องราวเกี่ยวกับเขาทั้งหมดตั้งแต่แรกไปหมดสิ้นแล้วเหรอ?
เช่นนั้น เธอจะรู้ได้อย่างไร กับคำๆ “เชื่อฟังคำสั่งสามี” นี้ได้?
ใบหน้าของฉินโม่หานอย่างเคร่งเครียด ซูสือเยว่จ้องมองชูมือขึ้นมาตบหน้าของตนเอง “ฉัน…จำได้ในสิ่งที่คุณพูด”
“คุณพูดกับคนอื่น ว่าฉันเป็นคนเชื่อฟังคำสั่งของสามี”
“ดังนั้นเลยไม่ให้คนอื่นมาจูบฉัน…”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว แต่ไม่มีรายละเอียดภาพตรงหน้า แต่เธอมั่นอกมั่นใจ คำพูดนี้ฉินโม่หานเป็นพูดออกมา
เธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนไหน คำพูดนี้มันประทับอยู่ในหัวสมองของเธอแล้ว
เมื่อครู่คือหลุดปากออกไป
ชั่วครู่ เธอก็ช้อนตาขึ้นมา พร้อมทั้งจ้องหน้าฉินโม่หานด้วยอาการตกใจอย่างยินดี “ฉะนั้น ฉันจำได้เรื่องที่ผ่านมาของคุณบ้างแล้วใช่ไหม?”
ฉินโม่หานเลิกคิ้วให้ พร้อมทั้งก้มหน้าก้มตากินไข่เจียว “ถือว่าใช่”
“ดีจังเลย!”
ซูสือเยว่คว้าแขนของฉินโม่หานไว้อย่างตื่นเต้น “ฉันจำเรื่องเกี่ยวกับคุณได้ งั้นฉันก็ต้องจำได้เรื่องที่ฉันทำอาหารได้ก่อนหน้านี้สิ!”
ดวงตาอันอิ่มเอมจนทอประกายออกมา “รอให้ฉันนึกเรื่องทำกับข้าวให้ได้ก่อนนะ ฉันจะทำของกินอร่อยๆ ให้ซิงหยุนซิงเฉินและซิงกวงกิน!”
มือของชายหนุ่มที่กำลังกินอยู่นั้นชะงักเล็กน้อย
ทำไมเขาถึง…
รู้สึกว่ามันผิดปกติอยู่นะ?
หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าตนเองอาจจะฟื้นความจำขึ้นมาได้แล้ว สิ่งที่ตื่นเต้นไม่ใช่จดจำเรื่องนี้ของเขาได้..
ที่เธอตื่นเต้นก็เพราะว่าต่อไปเธอสามารถทำอาหารได้เหรอ?
ได้แต่เบื่ออย่างหมดใจ น้ำเสียงของชายหนุ่มเรื่องเบื่อเล็กน้อย “ผมคิดว่าคุณจะดีใจ ที่คุณสามารถจดจำผมได้”
ซูสือเยว่ผงะเล็กน้อย จากนั้นดวงตาก็โค้งขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นึกถึงคุณขึ้นมาได้ก็ถือว่าดีใจนะ”
“แต่ฉันที่ฉันดีใจกว่าก็คือ หลังจากที่ฉันฟื้นความจำได้ ก็สามารถทำกับข้าวอร่อยๆ ให้กับคุณ และก็พวกเด็กๆ ได้กิน”
“ฉันก็จะเป็นแม่ที่ผ่านเกณฑ์แล้ว!”
ฉินโม่หานจ้องมองเธอ นัยน์ตาผงะเล็กน้อย
ยัยเด็กโง่คนนี้….
แม้ว่าจะสูญเสียความทรงจำไป สิ่งที่อยู่ในสมอง มีเพียงแค่เขากับลูกๆ เท่านั้น
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้ดูแลบ้านเสิ่นคิดไม่ถึงละมั้ง?
พวกเขาฉีดยาพวกนั้นให้เธอ เพื่อให้เธอสูญเสียความทรงจำ ให้เธอลืมเรื่องราวที่ติดอยู่ในใจที่เมืองหรงไปซะ และก็กลายเป็นเครื่องมือที่แต่งเข้าตระกูลจี้
แต่ใครจะคิดได้ว่า…
ซูสือเยว่ที่ความจำเสื่อม ต่อหน้าคนอื่นนั้นดุร้ายโหดเหี้ยม
ต่อหน้าเขากับลูกๆ ก็ยังคงน่ารักน่าเอ็นดูดังเมื่อก่อน
“สือเยว่”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็เรียกชื่อเธอทันที
ซูสือเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาทอประกายจ้องมองเขาเอาไว้ “ทำไมคะ คุณสามี?”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางดื่มน้ำชาล้างปาก จากนั้นก็ใช้นิ้วมือและฝ่ามือใหญ่จับปลายคางของเธอเอาไว้ และบรรจงจูบลงไป
ในปากของเขานั้น มีแต่รสชาติหวานอ่อนๆ ของชาอู่หลงกลิ่นพีชและรสขมติดอยู่นิดหน่อย
ซูสือเยว่เบิกตาโพลง เพราะตกใจกับการจูบแบบจู่โจม
หลังจากนั้นชั่วครู่ เธอก็หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง แม้กระทั่งใช้วงแขนรัดตรงเอวสอบของเขา
เธอเริ่มออกตัวก่อนเช่นนี้
ฉินโม่หานที่คิดแค่ว่าจะจูบเธอตามตกปกติก็จะยอมปล่อยเธอไปแล้ว
แต่การกระทำของหญิงสาว แต่ทำให้มือของเขา ทำยังไงก็ไม่อาจจะปล่อยเธอได้
ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งจับท้ายทอยของเธอเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็เกี่ยวเอวบางของเธอเอาไว้
ทั้งสองคนจูบกันอย่างดูดดื่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อง ยิ่งจูบก็ยิ่งเกี่ยวรัด…
จนมีเสียงแก้วน้ำกระทบพื้นดังมาจากบันได
ซูสือเยว่ถึงได้สติจากความฝัน พลันผลักฉินโม่หานออกทั้งๆ ที่หน้าแดงคอแดงไปทั่ว
ชายหนุ่มพลันฉีกยิ้มเล็กน้อย พลันช้อนดวงตามองไปทางบันได
ฟู๋เชียนเชียนกำลังนั่งยองๆ เก็บแก้วน้ำของเธออยู่ที่พื้น
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจ้องมองเธออยู่นั้น เธอก็กระแอมอย่างเขินอายเล็กน้อย “เอ่อคือ…พวกคุณจะต่อกันไหม?”
“ฉัน…ฉันไม่ได้จะรบกวนพวกคุณนะ”
“ฉันเพิ่งตื่น เห็นว่าสือเยว่ยังไม่กลับขึ้นไปนอน ก็เลยอยากจะลงมาเติมน้ำ และมาดูเธอด้วย…”
ฟู๋เชียนเชียนตอบเสียงอ้อมแอ้ม ขนาดน้ำก็ยังไม่ได้เติมเลย ได้แต่เก็บแก้วขึ้นมาแล้วขึ้นบันไดทันที “ขอโทษด้วย พวกคุณต่อกันเถอะ!”
มองแผ่นหลังของหญิงสาว ใบหน้าของซูสือเยว่แดงอย่างกับลูกแอปเปิลที่เพิ่งจะเด็ดลงมา
แต่ฉินโม่หานยังคงเฉยเมยมาก
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน พยางเอาจานไข่เจียวและตะเกียบที่เพิ่งกินเสร็จแล้วยกเข้าไปวางในซิงค์ล้างจานในครั้ว จากนั้นก็หยิบแก้วกระดาษขึ้น และกดน้ำมาหนึ่งแก้ว และยื่นให้กับซูสือเยว่ “ขึ้นไปนอนเถอะ”
“เวลาก็ไม่ใช่หัวค่ำแล้ว”
ซูสือเยว่พยักหน้า แถมใบหน้าแดงแจ๋ พลางหยิบแก้วน้ำใบนั้นก็รีบวิ่งขึ้นชั้นบนไปทันที
มองแผ่นหลังอันบอบบางของเธอ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มให้ “ช้าหน่อย”
“ใช่สิ”
ซูสือเยว่หยุดเท้าทันที “ทำไมเหรอ?”
“คุณ…”
ฉินโม่หานหัวเราะเล็กน้อย “พรุ่งนี้จะเรียนทำอาหารก็ตามสบายนะ ไปโรงพยาบาลก็ได้ ไปเยี่ยมแม่คุณหน่อย”
“เอกสารที่ไป๋ลั่วตรวจสอบมาได้ในวันนี้แสดงให้เห็นว่า…”
“ความจริงแล้วเธอไม่ได้ทอดทิ้งคุณเลย”
ร่างกายของซูสือเยว่แข็งทื่อ
ชั่วครู่ เธอเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่ “ฉันรู้แล้ว”
พูดจบ หญิงสาวก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นชั้นบนไป
ฉินโม่หานยังคงอยู่ที่เดิม มองไปทางที่เธอเดินไป พลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
เจี่ยนเฉิงเคยบอกกับเขาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เขาในตอนแรก หลิวหรูเยียนก็คงฆ่าซูสือเยว่ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะเธอพูดว่า นางไม่อยากให้ลูกสาวของเธอมีชีวิตอยู่ ไม่อยากให้เธอต้องมารับชะตากรรมที่คนอื่นกำหนดเอาไว้ให้
“ถ้าคลอดออกมาแล้ว ในชีวิตของเธอไม่ให้เธอมาเป็นคนกำหนดตัวเธอเอง เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าฉันฆ่าเธอให้ตายไปซะในตอนนี้เลย”
ตอนที่เจี่ยนเฉิงพูดคำนี้ออกมา มีแต่ความละอายใจ หลิวหรูเยียนเป็นผู้หญิงที่จิตใจโหดเหี้ยม
ทว่า จากเอกสารที่ไป๋ลั่วได้ตรวจสอบมาแล้ว…
แต่มันกลับพลิกสิ่งที่ฉินโม่หานรับรู้มา
ที่แท้ ความจริงแล้วหลิวหรูเยียนรู้มาตลอดว่าซูสือเยว่ยังมีชีวิตอยู่
คนของเธอ ยังคงคุ้มครองเธอมาตลอดอย่างเงียบๆ
มิเช่นนั้น เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อห้าปีก่อน อาศัยเจี่ยนเฉิงคนเดียว ทำไมถึงเอาหญิงสาวที่เพิ่งจะคลอดลูกออกมาไม่นาน พาตัวออกไปจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในครั้งนั้นได้ล่ะ…
ภายนอกของหลิวหรูเยียนไม่หวังให้ซูสือเยว่มีชีวิตอยู่แต่ แต่ว่าทางกลับกัน…
ความจริงแล้วหวังว่าให้ซูสือเยว่มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข
ในปีนั้นที่เธอต้องการจะฆ่าซูสือเยว่ เลยจงใจที่จะพูดต่อหน้าเจี่ยนเฉิงหลายรอบ ก็เพราะรู้ดีว่าเจี่ยนเฉิงเป็นคนใจอ่อน รู้ว่าเขาจะพาเธอไป
เพื่อไม่ให้ซูสือเยว่ต้องพลอยถูกรบกวนจากตระกูลเจี่ยน แม้ว่าเธอจะผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ก็ยังอดทนอดกลั้นเอาไว้ ที่จะไม่พบหน้ากับลูกสาวแท้ๆ
ฉินโม่หานไม่รู้ว่านี่เป็นความดื้อด้านแบบไหนกัน
แต่สิ่งที่เขารู้ แม่คนนี้ คุ้มค่ากับสิ่งที่ซูสือเยว่ต้องปฏิบัติดีด้วย