วินาทีที่ซูสือเยว่ไม่สามารถควบคุมหมัดของตัวเองได้ ลิฟต์ก็มาถึงแล้ว
หลังจากที่คนกลุ่มนั้นลงจากลิฟต์ ก็ค่อยๆ บอกลาไป๋หยุนโต่วทีละคน
“คุณซู เชิญทางนี้ค่ะ”
ไป๋หยุนโต่วยิ้มพร้อมกับนำทางให้เธอ เธอเดินไปด้วยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “คุณอย่าไปถือสากับคำพูดของพวกเธอเลยนะคะ เธอพูดจามั่วซั่วไปเอง”
“ฉันกับคุณฉินไม่ได้มีอะไรจริงๆ ล่ะ”
ซูสือเยว่คลี่ยิ้มจางๆ “วางใจเถอะค่ะ ฉันก็ไม่คิดว่าพวกคุณจะมีอะไรอยู่แล้ว”
“ฉินโม่หานเขามีรสนิยมน่ะค่ะ”
พอเธอพูดแบบนี้ สีหน้าของไป๋หยุนโต่วก็ดูแย่ขึ้นมาทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ปรับสีหน้าของตัวเอง “คุณหมายถึง……”
“การที่จะถูกเขาชอบพอเนี่ย ต้องสร้างบุญมาหลายภพหลายชาติเลยนะคะ”
พอพูดจบ ไป๋หยุนโต่วก็หันหน้ามา แล้วก็มองซูสือเยว่พร้อมกับคลี่ยิ้ม “คุณซูแต่งงานรึยังคะ? ”
ซูสือเยว่ยักไหล่ “แต่งแล้วค่ะ”
“แล้วสามีของคุณ ยอดเยี่ยมเท่าคุณฉินไหมคะ? ”
ซูสือเยว่กลอกตา
คำถามนี้ต้องตอบยังไง?
พูดตามจริง เธอในตอนนี้ ยังไม่อยากให้ไป๋หยุนโต่วรู้ว่าเธอคือภรรยาของฉินโม่หาน
อยากดูการแสดงของเธอต่อไป เพราะว่ามันก็ดูน่าสนใจดีทีเดียว
และแล้วผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะออกมา “แน่นอนว่าสามีของฉันไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าฉินโม่หานหรอก”
ไป๋หยุนโต่วหัวเราะเยาะ
เธอรู้อยู่แล้ว!
ผู้หญิงคนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นญาติของฉินโม่หาน แต่ว่าฉินโม่หานนามสกุลฉิน แต่ว่าเธอนามสกุลซู ต้องไม่ใช่ญาติใกล้ชิดอย่างแน่นอน
อย่างมากก็น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง หรือลูกพี่ลูกน้องที่ห่างมากๆ
แล้วอีกอย่าง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะเอาอาหารมาส่งให้ผู้ชายคนอื่นยังงั้นเหรอ?
เธอเกรงว่าชีวิตแต่งงานน่าจะไม่มีความสุข ก็เลยอยากจะมาอ่อยฉินโม่หานสินะ?
พอคิดได้แบบนี้ สายตาที่ไป๋หยุนโต่วมองซูสือเยว่ก็เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“เฮ้อ เขาถึงว่ากันว่าก่อนจะแต่งงานนั้นต้องดูให้ดีๆ ”
“ยังไงผู้ชายแบบคุณฉินเนี่ย พลิกแผ่นดินหายังยากเลยนะคะ”
“ถ้าตอนแต่งงานไม่ไตร่ตรองให้ดี แต่งงานไปแล้วจะมาเสียใจภายหลังได้”
ซูสือเยว่หรี่ตา ไม่คิดเลยว่าเธอจะคิดไปในทางนี้ ดังนั้นเธอก็เลยคลี่ยิ้มออกมา “ใช่”
“ตอนแต่งงานต้องดูให้ดีๆ เลยล่ะ”
“ไม่ยังงั้น ถ้าเกิดว่าไปอ่อยเพื่อให้ได้มาเนี่ย แต่งงานไปแล้วก็จะยังกังวลได้นะ”
ไป๋หยุนโต่วยังไม่ทันจะเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอะไร ก็มาถึงห้องทำงานของฉินโม่หานแล้ว
เธอยิ้มพร้อมกับเคาะประตู น้ำเสียงอ่อนโยน “คุณฉินคะ”
ด้านในมีเสียงที่เย็นชายของชายหนุ่มดังลอดออกมา “มีเรื่องอะไร? ”
ไป๋หยุนโต่วคลี่ยิ้ม เสียงเธอหวานมากกว่าเมื่อกี้นี้อีก “คุณฉิน คุณซูมาขอพบนะ เธอเอาอาหารมาส่ง”
ฉินโม่หานที่นั่งทำงานอยู่ในห้องก็ชะงักไปทันที
เธอมาแล้วเหรอ?
เขารีบหยุดงานในมือของตัวเอง แล้วก็เดินไปเปิดประตูทันที
ด้านนอก ซูสือเยว่กำลังยืนพร้อมกับสีหน้าเยือกเย็นอยู่ข้างๆ ไป๋หยุนโต่ว
ไป๋หยุนโต่วที่ใส่ชุดเดรสสีขาวยืนขวางทางอยู่เกือบครึ่งประตู
พอเห็นว่าเขามาเปิดประตูด้วยตัวเอง หญิงสาวก็ไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มที่เขินอายบนใบหน้าของตนเองได้ “ทำไมคุณถึงมาเปิดประตูด้วยตัวเองเลยล่ะคะ ที่จริงไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้ ฉันก็แค่บอกให้คุณทราบไว้เฉยๆ แล้วเดี๋ยวก็เปิดประตูเข้าไปแล้วค่ะ”
ฉินโม่หานอึ้งไป
หลังจากนั้น สายตาของเขาก็มองเลยไป๋หยุนโต่วแล้วก็มาหยุดที่ซูสือเยว่ “เข้ามาก่อนเถอะ”
พอพูดจบ ไป๋หยุนโต่วก็เดินเข้าไปพร้อมกับยิ้มตาหยี
ด้านหลังของเธอนั้น ซูสือเยว่ก็เหลือบมองฉินโม่หานด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วก็เดินตามเข้าไป
ฉินโม่หานขมวดคิ้ว
ที่ซูสือเยว่เอาอาหารมาส่งให้เขาถึงบริษัท แสดงว่าต้องอารมณ์ดีสิ
แต่ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอารมณ์ของเธอตอนนี้……เหมือนจะแย่มากเลยล่ะ?
หลังจากที่เข้ามาที่ห้องทำงานแล้ว ซูสือเยว่ก็นั่งลงที่โซฟา แล้วก็เปิดกล่องอาหาร พร้อมกับหยิบอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ไป๋หยุนโต่วเห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปช่วยทันที เธอช่วยซูสือเยว่จัดข้าวไปด้วยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “คุณซู นี่คือรสชาติที่คุณฉินชอบใช่ไหมคะ? ”
ซูสือเยว่ยิ้มอย่างเสแสร้ง “ใช่ พวกนี้ต่างเป็นรสชาติที่ฉินโม่หานชอบดิน”
“เธอจำไว้ให้ดีล่ะ ต่อไปจะได้ซื้อให้เขากินบ่อยๆ ”
ไป๋หยุนโต่วหัวเราะเบาๆ “อาหารพวกนี้ฉันทำเป็นค่ะ”
“แล้วอีกอย่างฝีมือการทำอาหารของฉันดีมากเลย เคยได้ใบรับรองเชฟอันดับหนึ่งด้วยนะ”
ซูสือเยว่รู้สึกได้ว่าเส้นเลือดที่หน้าผากตัวเองปูดออกมา สองมือของเธอกำหมัดแน่น
ทุกประโยคที่ไป๋หยุนโต่วพูดก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้ใส่ใจเลย
แต่พอพูดถึงฝีมือการทำอาหาร……
ตอนนี้มันคือส่วนที่ด้อยที่สุดของซูสือเยว่!
เธอกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น “ใบรับรองเชฟระดับหนึ่งแล้วมันเก่งมากเลยรึไง? ”
ไป๋หยุนโต่วอึ้งไป
หลังจากนั้นเธอก็คลี่ยิ้มขึ้นมา “ไม่ได้เก่งมากหรอกค่ะ มันก็เป็นแค่ข้อพิสูจน์ว่าฉันมีฝีมือในการทำอาหารเท่านั้นเอง”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว แล้วก็เงยหน้ามองฉินโม่หานอย่างอารมณ์ไม่ดี “ได้ยินไหม? ”
“คุณไป๋คนนี้เป็นเจ้าของใบรับรองเชฟชั้นหนึ่ง และเธอมีทักษะการทำอาหารที่ดีมาก!”
“ต่อไปอาหารของนาย ก็ให้คุณไป๋เตรียมให้แล้วกันนะ!”
ไป๋หยุนโต่วรีบเอามือปิดปากตัวเองด้วยความปลื้มปริ่ม “คุณซู ถึงแม้ว่าฉันจะยินยอมทำอาหารให้คุณฉินก็เถอะ แต่ว่าคุณอย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ……”
“ฉัน……”
ฉินโม่หานนวดขมับอย่างทำอะไรไม่ถูก
ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซูสือเยว่ถึงอารมณ์ไม่ดี
แต่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นแบบนี้ เขาไม่รู้ก็โง่แล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีทางเลี่ยง แล้วก็หันไปมองไป๋หยุนโต่ว “ออกไปก่อนเถอะ ฉันมีธุระจะคุยกับเธอหน่อย”
ไป๋หยุนโต่วเม้มปาก แต่ว่าไม่ได้มีท่าทีที่จะออกไปเลย
เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับมองฉินโม่หาน แล้วก็มองซูสือเยว่ “คุณซูท่านนี้แต่งงานแล้ว แม้ว่าพวกคุณจะเป็นเครือญาติกัน แต่ก็ไม่ใช่ญาติแท้ๆ ”
“ถ้าฉันออกไปแล้ว พวกคุณก็จะอยู่ในห้องสองต่อสอง คนอื่นเห็นเข้าจะนินทาได้นะคะ”
พอพูดจบ เธอก็ปัดผมตัวเองด้วยท่าทางที่เหมือนเข้าอกเข้าใจคนอื่น “ดังนั้นฉันอยู่ในนี้จะดีกว่าค่ะ ถ้าเกิดว่ามีคนสงสัยขึ้นมา ฉันก็ยังพูดได้ว่าฉันอยู่ด้วย คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ซูสือเยว่อดไำม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา “คุณไป๋นี่ช่างตั้งอกตั้งใจดีจริงๆ เลยนะ”
ไป๋หยุนโต่วฟังออกว่าซูสือเยว่กำลังถากถางตัวเองอยู่ แต่ว่าเธอก็ยังหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ฉันก็แค่คิดเผื่อทั้งสองท่านเท่านั้นเองค่ะ”
“ยังไง……”
“หยุนโต่ว”
ฉินโม่หานนวดขมับที่ปวดร้าวของตัวเอง “รู้ไหมว่าเธอคือใคร? ”
ไป๋หยุนโต่วคลี่ยิ้ม พร้อมกับหันไปมองหน้าของฉินโม่หาน “คุณซูบอกว่า เป็นญาติของคุณค่ะ”
“แต่ว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นญาติแบบไหน”
“เธอไม่ได้บอกฉันว่าเธอเป็นใคร”
ผู้หญิงคนนั้นพูดจาออดอ้อนเล็กน้อย แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เย็นชาและคมชัดของฉิน “คุณฉิน ถ้ายังงั้นคุณแนะนำฉันได้ไหมคะ ว่าคุณคนนี้คือญาติฝ่ายไหน? ”
พอพูดจบ เธอก็ไม่ลืมที่จะถากถาง “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเป็นญาติแบบไหน ถึงได้พยายามอย่างหนักเพื่อเอาอาหารมาให้คุณ”
ฉินโม่หานรู้สึกปวดหัว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ชี้ไปที่ซูสือเยว่ “ถ้ายังงั้นฉันจะแนะนำให้เธออย่างยิ่งใหญ่เลยนะ”
“ท่านนี้คือซูสือเยว่ ภรรยาของฉัน”