ซูสือเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากสถานที่จัดงานแถลงข่าวแห่งนั้นได้ยังไง
บนฟ้าได้มีฝนตกลงมาห่าใหญ่
เธอเดินอยู่ท่ามกลางสายฝนไปอย่างไร้จุดหมาย ข้างหูมันเต็มไปด้วยคำพูดที่ฉินโม่หานออกมาในห้องแถลงข่าวเมื่อสักครู่เหล่านั้นทั้งนั้นเลย
“พวกเรามีฐานะที่เหมาะสมกัน แล้วก็ยังหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก”
“ในเมื่อคุณมาแล้ว ผมก็ขอแจ้งให้คุณรู้เอาไว้เลย”
“พวกเราจบกันแล้ว”
“สิบวันหลังจากนี้ ผมจะใช้งานแต่งงานที่หรูหราที่สุดในโลกแต่งงานกับคุณหนูใหญ่ที่แท้จริงของตระกูลเจี่ยน”
ที่แท้ คำพูดเมื่อก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่จะเป็นคำพูดหลอกลวงเธอทั้งนั้น
ที่แท้หยางชิงโยวก็เป็นคุณหนูใหญ่ตัวจริงของตระกูลเจี่ยนจริงๆ ส่วนเธอ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
เหมือนกับในชั่วพริบตาเดียว เธอก็ได้สูญสิ้นสถานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยน สูญเสียหลิวหรูเยียนแม่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยคนนั้น แล้วก็ยังสูญเสีย…
ฉินโม่หาน
เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยทำให้เขาเสียใจไปเท่าไหร่ ทำให้เขารู้สึกว่าการทุ่มเทออกไปของตัวเขานั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แต่เธอจำได้ว่าหลังจากที่เธอสูญเสียความทรงจำไป เธอก็ชอบเขา
ตั้งแต่ตอนแรกที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นสามีของเธอ เธอก็ชอบเขาแล้ว
คงจะเป็นรักแรกพบล่ะมั้ง
ในตอนหลังมาเธอได้ยินคนอื่นเขาพูดว่าเขาเป็นสามีของเธอ เป็นหนึ่งเดียวในตอนที่เธอยังไม่ได้สูญเสียความทรงจำไป
ในตอนนั้นในใจของเธอมันเกิดความรู้สึกมีความสุขขึ้นมา เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกไปก็เท่านั้น
เธอมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าตนจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ก็ยังมีสามีที่รักเธอ แล้วก็ยังมีลูกทั้งสามคนที่รักเธอ
เธอเกือบจะนึกว่าตัวเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ ความเป็นจริงได้ตีเธอมาอย่างแรง
เธอเห็นมันอย่างชัดเจน โลกของเธอกำลังแยกห่างออกไปทีละนิดๆ
ครึ่งหนึ่งเป็นความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง
อีกครึ่งเป็นความเสียใจและความหมองเศร้า
ในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันกับฉินโม่หานในช่วงนี้ เป็นความทรงจำที่มีความสุขที่มีเพียงน้อยนิดของเธอ
ไม่รู้ว่าเดินอยู่ท่ามกลางสายฝนมานานแค่ไหน
สุดท้ายก็มีร่มสีดำคันหนึ่งปรากฏอยู่บนหัวของเธอ
ชายหนุ่มที่หล่อเหลาดูมีชาติตระกูลกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วใช้ร่มมากันฝนบนหัวเอาไว้
เขามองเธอในดวงตาได้ประดับไปด้วยความไม่ให้อภัยออกมาเล็กน้อย “ซูสือเยว่”
“ถึงแม้ว่าเธอจะถูกทอดทิ้งไปจริงๆ ชีวิตมันก็ยังต้องดำเนินต่อไป อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนี้เลย”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มตรงหน้า
เขาดูคุ้นตาอยู่บ้าง
แต่เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองไปเคยรู้จักกับผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
เหมือนกับได้มองทะลุถึงข้อสงสัยในแววตาเธอ ชายหนุ่มกระแอมออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นมาดึงหน้าของตัวเอง “ฉันคือหลิงซือยู่ เธอจำได้หรือเปล่า?”
“เมื่อตอนม.ต้น ฉันเคยเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเดียวกันกับเธอมาก่อน เมื่อตอนนั้นฉันเป็นเด็กอ้วนคนนึง”
ซูสือเยว่ชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้าออกมา “ฉันจำได้”
คำพูดของหญิงสาวทำให้หลิงซือยู่มีความสุขขึ้นมาทันที “เธอจำได้จริงๆเหรอ?”
“อืม”
ซูสือเยว่พยักหน้าออกมา “คนที่ตอนสอบมักจะโกงข้อสอบแล้วถูกจับได้อยู่เป็นประจำคนนั้น”
หลิงซือยู่ “…”
ทำไมเธอก็เสียใจขนาดนี้แล้ว คำพูดที่พูดออกมา มันยังสามารถทิ่มแทงโดนจุดเจ็บของเขามาอย่างจังได้อีก?
ชายหนุ่มกระแอมออกมา “ฉันพาเธอไปที่ที่ฉันพักอยู่เอามั้ย?”
“เธออยู่อย่างนี้ต่อไปอีกจะป่วยเอาได้นะ”
ซูสือเยว่ย่นคิ้วออกมา พร้อมกับส่ายหน้าออกมาทันที “ฉันไม่อยากไป”
เธอไม่อยากไปที่ไหนทั้งนั้น คิดเพียงแค่อยากจะสงบจิตสงบใจของตัวเองให้ใจเย็นลงสักหน่อยท่ามกลางฝนตกหนักนี้
“แต่ว่า…”
หลิงซือยู่มองไปทางด้านหลังเธอไปแวบนึง “ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง เพื่อเด็กคนนี้ เธอก็ไม่อาจจะมาเดินตากฝนต่อไปได้อีกเหมือนกัน”
ซูสือเยว่ชะงักไป จากนั้นก็หันหน้าไปทันที
ด้านหลังของเธอ ซิงหยุนกำลังกอดกระเป๋าหนังสือใบเล็กยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง
ร่างของเด็กน้อยเปียกฝน แนบเข้ากับลำตัวแน่น ทำให้เขาดูเปราะบางและผอมเล็กกว่าปกติ
สภาพที่เขาตากฝน ทำให้หัวใจของซูสือเยว่มันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
เด็กคนนี้คงจะตามมาตั้งแต่หลังจากงานแถลงข่าวแล้วล่ะมั้ง?
ปกติจะฉลาดทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ ทำไมตอนนี้ถึงได้ยังตามเธอมาอย่างโง่งมกัน?
เธอไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนอีกแล้ว ทั้งยังสูญสิ้นสถานะภรรยาของฉินโม่หานไปแล้ว…
เขาควรจะอยู่กับฉินโม่หานมันถึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ผลสุดท้ายเขาไม่เพียงแต่จะไม่อยู่ทางนั้น แต่ยังเดินตากฝนมาตลอดทาง เดินตามด้านหลังเธออยู่เงียบๆ…
หญิงสาวถอนหายใจออกมา ย่อตัวนั่งลง กอดร่างของซิงหยุนเข้าเข้ามาในอ้อมแขนแน่น “ทำไมถึงตามหม่ามี๊มา?”
“ตากฝนแล้วจะป่วยเอานะ!”
ซิงหยุนเงยหน้าขึ้นมา ผมที่เปียกฝนแนบเข้ากับหน้าผากของเขาเป็นกระจุกๆ
ซิงหยุนที่ปกติแล้วจะมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงมีความเป็นผู้ใหญ่ ได้แสดงท่าทีที่เปราะบางออกมาเป็นครั้งแรก “เพราะว่าคุณเป็นหม่ามี๊ของผม”
“ไม่ว่าแด๊ดดี้จะเป็นยังไง ผมก็เป็นลูกของคุณ”
“สำหรับเรื่องตากฝน…”
เด็กน้อยยิ้มออกมา “หม่ามี๊ไม่กลัว ผมก็ไม่กลัวเหมือนกัน”
“ถึงแม้ว่าจะป่วย ผมก็จะป่วยเป็นเพื่อนหม่ามี๊ด้วยเหมือนกัน!”
ท่ามกลางฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง คำพูดของเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอด ทำให้หัวใจของซูสือเยว่เริ่มรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เขา…
เป็นลูกชายของเธอ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ล้วนแล้วแต่จะสนับสนุนเธอทั้งนั้น
เธอเองก็ไม่ควรที่จะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตต่อไปอีกเพื่อซิงหยุนด้วยเหมือนกัน
สูดหายใจเข้าไปลึกๆ เธอกอดร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่น หันหน้าไปมองหลิงซือยู่ “นายบอกไม่ใช่เหรอว่าจะพาพวกเราไปที่บ้านของนาย?”
หลิงซือยู่เลิกคิ้วออกมา จากนั้นก็ได้ย่อตัวนั่งลงยองๆ อุ้มซิงหยุนที่เปียกโชกเข้ามาในอ้อมแขน “ไปกันเถอะ”
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากออกมา เดินตามหลังเขาขึ้นรถไปเงียบๆ
“อายุยังน้อยๆ ก็มีความสามารถเยอะจังเลยนะ”
หลิงซือยู่กดเสียงเบา กระซิบไปข้างๆใบหูของซิงหยุน
ซิงหยุนที่ทั้งร่างถูกแช่แข็งจนหนาวสะท้านไปหมด เขาลอบเอาหัวเข้าไปประชิดหูของหลิงซือยู่ “ถ้าไม่มีผมล่ะก็ หม่ามี๊ไม่มีทางตามคุณกลับบ้านไปหรอก”
“ชายหนุ่มย่นคิ้วออกมา
“กลยุทธ์เจ็บกาย?”
“อืม”
เขายิ้มเจื่อนๆออกมา “สมกับที่เป็นลูกชายของฉินโม่หาน”
เหมือนกับฉินโม่หาน มักจะคิดวิธีที่ทำให้คนอื่นคาดเดาไม่ถึงอยู่เสมอ
อย่างเช่นการยอมรับความสัมพันธ์ทางเครือญาติและการหมั้นหมายในครั้งนี้
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา วางซิงหยุนลงบนรถ จากนั้นก็เข้าไปเปิดประตูรถให้กับซูสือเยว่อย่างเป็นสุภาพบุรุษเอามากๆ
สุดท้ายแล้วรถก็ได้แล่นออกไปท่ามกลางสายฝน
สถานที่ที่หลิงซือยู่พักอยู่เป็นวิลล่าหลังใหญ่หรูหราหลังหนึ่ง
เขานำซูสือเยว่กับซิงหยุนที่เปียกโชกเข้าประตูไป หลิงหรานที่รออยู่ตรงหน้าประตูอยู่ก่อนแล้วได้ย่นคิ้วออกมา แล้วก็ลากซูสือเยว่เข้ามา “เธอดูเธอสิ เพื่อผู้ชายเพียงคนเดียวมันคุ้มเหรอ?”
“ไป พี่สาวพาเธอไปอาบน้ำ!”
ซูสือเยว่มองเธอไปอย่างงงงวยเล็กน้อย “คุณคือ…”
“ฉันคือหลิงหราน”
หญิงสาวยิ้มออกมา “ฉันเป็นพี่สาวของหลิงซือยู่ ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆหรอก”
“เขามักจะเอ่ยถึงเธอให้ฉันฟังอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าพวกเราจะเจอกันครั้งแรก แต่ฉันก็คุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดีเลยล่ะ!”
พูดจบ เธอก็ลากซูสือเยว่ขึ้นไปชั้นบนทันที
ซูสือเยว่หันหน้าไปมองหลิงซือยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงวย
ชายหนุ่มพยักหน้าให้เธอ “ไปเถอะ พี่หรานเป็นคนดีมาก”
ซูสือเยว่ “…”
เธอมองออกว่า พี่หรานคนนี้เป็นคนดีจริงๆ
แต่…
นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่เจอเธอ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ให้ความรู้สึกที่รู้จักกันมานาน?
ตอนที่ผู้หญิงทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน เธอเหลือบเห็นชายวัยกลางคนกำลังยืนอยู่ตรงบริเวณราวบันไดชั้นสอง
สายตากระปรี้กระเปร่าและหน้าตาที่หล่อเหลาของชายคนนั้น ถึงแม้ว่าอยู่ในวัยกลางคนไปแล้ว แต่ให้ความรู้สึกหยิ่งและเข้าถึงยากออกมาจากร่าง แต่ทำให้ต้องเหลือบมองไปอย่างเสียไม่ได้
ชายคนนั้นกวาดสายตามองซูสือเยว่ไปพร้อมกับคำพูดที่พูดออกมาเหมือนกับที่หลิงหรานพูดออกมาไม่มีผิดเพี้ยน “ทำให้ตัวเองต้องมีสภาพอย่างนี้เพียงเพื่อผู้ชายเพียงคนเดียว!”
“รีบไปอาบน้ำ!”
ซูสือเยว่ “…”
เดินจากหลิงหรานไปยังผู้ชายคนนั้น…
บนใบหน้าของทุกคนได้ประดับไปด้วยความสงสารและความเจ็บใจที่คนที่คาดหวังเอาไว้ทำไม่ได้อย่างที่หวังมาให้เธอ
ทำไมจู่ๆเธอถึงรู้สึกว่าตัวเองมาที่บ้านของหลิงซือยู่แล้วเหมือนกับว่ามาถึงบ้านพ่อแม่เลยไม่มีผิด?