เมื่อประตูเปิดออก คนที่ลงจากรถเป็นคนแรก ก็คือหยางชิงโยวผู้มีท่วงท่าสง่างาม
วันนี้เธอใส่ชุดกระโปรงยาวสีม่วงแกมน้ำเงินที่สวยงามมากเป็นพิเศษ ทรงผมก็สยายออก ทำให้ทั้งตัวดูงดงามสูงส่งมาก
หยางชิงโยวหันศีรษะกลับมา พลางกวาดตามองซูสือเยว่ที่อยู่ด้านหน้าประตูเวดดิ้งสตูดิโอ
หญิงสาวใส่กางเกงยาวสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว แถมมัดผมทรงหางม้าแบบแสนธรรมดา
การแต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เหมือนกับมนุษย์ป้าข้างถนนไม่มีผิดเลย
ซูสือเยว่ก็ยังหัวรั้นคิดว่าตัวเองหน้าตาสวยอยู่แล้ว ขนาดมาถึงเวดดิ้งสตูดิโอเพื่อลองชุดแล้ว ก็แต่งตัวแบบสบายถึงขั้นนี้เลยเหรอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หยางชิงโยวแสยะยิ้มให้
ซูสือเยว่แบบนี้ จะมาสวยสู้เธอได้ยังไง?
ตำแหน่งคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยน ก็ควรจะให้คนที่สูงส่งเช่นหยางชิงโยวมาแบกรับไว้สิ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ยักคิ้วให้อย่างจองหอง ดวงตาที่เรียวยาวเฉี่ยวคู่นั้นพลางกวาดตามองซูสือเยว่ “บังเอิญจริงๆ”
“เมื่อวานนี้เจอกันที่ร้านจิวเวลรี่เครื่องประดับ วันนี้ก็มาเจอกันที่ เวดดิ้งสตูดิโออีกแล้ว”
“ซูสือเยว่ นี่แกกำลังสะกดรอยตามพวกเราอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
คำพูดของเธอในเวลานี้ พลันมีคนเปิดประตูอีกฝั่งที่อยู่ด้านหลังออกมา ฉินโม่หานลงมาจากรถ
ซุสือเยว่จ้องมองใบหน้าหยางชิงโยวตรงๆ เลย “ฉันเนี่ยนะที่สะกดรอยตามพวกแก?”
หญิงสาวยืนกอดอก น้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความหมายสักนิด “ไม่ว่าเมื่อวานหรือว่าวันนี้ ฉันกับหลิงซือยู่ที่เป็นแฟนฉันก็มาถึงก่อนทุกที”
“พวกแกสองคนมาช้า แล้วยังมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าคนอื่นคอยสะกดรอยตามพวกแก?”
“แม้ว่าจะสะกดรอยตาม น่าจะเป็นเพราะว่าพวกแกสะกดรอยตามพวกเรามากกว่ามั้ง?”
หยางชิงโยวเบิกตาโต พร้อมทั้งแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันกับฉินโม่หานเป็นคนมีชื่อเสียงทั้งคู่ เมื่อวานนี้พวกเราไปเลือกแหวนกัน วันนี้มาเลือกชุดแต่งงาน พวกสื่อฯต่างก็ลงข่าวกันทั้งนั้น”
“แกอยากจะทำที่เป็นว่าเหมือนบังเอิญก็แสนจะธรรมดา? ก็แค่สนใจพวกสื่อฯหน่อย ก็รู้การเดินทางของพวกเราแล้ว’
พูดจบ เธอยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซูสือเยว่อย่างเย็นชา “อย่างเสแสร้งเลย ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าในหัวสมองแกคิดอะไรอยู่?”
“ฉินโม่หานเป็นว่าที่สามีฉันแล้ว ไม่ว่าจะสร้างโอกาสยังไง แกก็หมดโอกาสแล้ว!”
ซูสือเยว่รู้สึกตลกมาก
เธอเงยหน้าขึ้น สายตาอันเย็นเฉียบจ้องจ้องมาที่ใบหน้าของหยางชิงโยว “แกก็เหมือนเมื่อก่อนนะ ประเมินตัวเองสูงเกินไป”
พูดจบ เธอก็หาวออกมาทันที “ฉันรู้สึกว่าถ้าแกมีเวลา ก็ควรจะกลับไปที่เมืองหรงสักครั้งนะ”
“เพราะถึงอย่างไรโรงพยาบาลจิตเวชที่เมืองหรงบ้านแกเป็นคนเปิดขึ้นมาเองเลย แกไปพักอยู่ที่นั่น ราคาก็คงถูกลงมาหน่อย”
“แม้ว่าตอนนี้แกจะเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยนแล้ว ก็คงไม่ขาดเหลือเงินทองแล้ว”
“แต่ว่านะ…”
หญิงสาวแสยะยิ้มออกมา “ถ้าอยู่ทั้งชีวิตมันก็แพงอยู่ อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัดเอาซะนะ ใช่ไหม?”
คำพูดของซูสือเยว่ ทำให้หยางชิงโยวโกรธจนดวงตาใกล้จะหลุดออกจากเบ้าตาอยู่แล้ว!
ผู้หญิงคนนี้ทำไมตอนนี้ถึงได้เชือดเฉือนขนาดนี้เนี่ย!
เธอกล้าพูดว่าตนเองเป็นโรคประสาท!
หยางชิงโยวกัดฟันพร้อมทั้งถลึงตาใส่ซูสือเยว่ไว้แน่น “คนที่ป่วยเป็นแกต่างหาก!”
“อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชมาก่อน แต่ว่าแก อยู่ที่นั่นมาสักระยะจริงๆ แถมยังรักษาตัวมาสักระยะด้วย”
ซูสือเยว่ยิ้มให้
หยางชิงโยวหรือคิดว่า การที่พูดเช่นนี้ จะทำร้ายเธอได้?
ในทางกลับกัน เธอก็นึกเรื่องตอนที่เธออยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชขึ้นมาได้ ซูสือเยว่ยิ่งรู้สึกว่าเธอตลกชะมัดเลย
ทั้งๆ ที่เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนแท้ๆ และก็หมั้นหมายกับฉินโม่หานแล้วด้วย นิสัยของหยางชิงโยวน่าจะเป็นผู้ชนะสิ
แต่เธอที่เป็นผู้ชนะ ทำไมเธอถึงได้ถูกคนพ่ายแพ้ยับเยินจูงจมูกได้นะ
เธอพูดเรื่องโรงพยาบาลจิตเวชหยางชิงโยวก็พูดเรื่องโรงพยาบาลจิตเวชขึ้นมา
นี่หมายความว่าอะไรนะ?
หมายความว่าในมือของหยางชิงโยวในแวลานี้ ไม่มีไพ่ ที่จะสามารถมาต่อกรกับเธอได้อีกแล้ว
มิเช่นนั้น หยางชิงโยวก็แค่ถลาเข้าสู่อ้อมกอดของฉินโม่หาน จากนั้นก็จ้องมองเธอต่ำ แค่ภาพนั้น หยางชิงโยวก็ชนะแล้วแหละ
หยางชิงโยวที่ไม่ทำเช่นนี้ ประมาณว่าเพราะตัวเธอเองก็คงเข้าใจแล้ว ว่าฉินโม่หานกำลังแสดงละครตบตาเธอ ไม่ได้ชอบเธอจริงๆ
ถ้าฉินโม่หานไม่ไว้หน้าตอนที่เธอเขยิบเข้าหา เธอก็คงจะเสียหน้ามากกว่า!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูสือเยว่พลันแสยะยิ้มออกมา “ใช่สิ เรื่องโครงสร้างและการวินิจฉัยภายในโรงพยาบาลจิตเวชนั้น ฉันรู้ดีกว่าแกตั้งเยอะ”
“ดังนั้น ….”
ซูสือเยว่เลิกคิ้วให้และมองไปที่หยางชิงโยว “แม้ว่าฉันไม่เคยเป็นบ้าแท้ๆ ยังมีคนบ้าคนอื่นเอาฉันจับยัดใส่ถวายไปถึงที่เลย”
“แต่ว่านะ ถ้าแกไปโรงพยาบาลจิตเวช ฉันก็ยินดีที่จะเป็นคนชี้แนะให้ เพื่อจะทำให้แกเข้าใจ”
ท่วงท่าของหญิสาว ทำให้หยางชิงโยวโกรธจัดทันที!
ทั้งๆ ที่ตอนนี้ซูสือเยว่ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ทำไมเธอถึงได้สงบเสงี่ยมขนาดนี้?
แม้กระทั่งยังมาทะเลาะกับเธอที่นี่ได้ด้วย?
คนที่ถูกฉินโม่หานทอดทิ้งก็คือเธอ ตอนนี้ก็น่าจะร้องไห้ฟูมฟายถึงจะถูก!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยางชิงโยวเม้มริมฝีปากเอาไว้ พลางหันตัวไปหลบด้านหลังของฉินโม่หาน พร้อมทั้งเอ่ยปากอย่างน้อยใจ “โม่หาน ซูสือเยว่เธอรังแกฉัน!”
“นี่คุณหนูใหญ่ คุณเป็นคนรังแกฉันถึงจะถูกไหม?”
ซูสือเยว่ส่งเสียงงึมงำอย่างเย็นชาใส่ แทบไม่มองผู้ชายที่ขวางอยู่ตรงหน้าเลย สายตาเอาแต่จดจ้องมองไปที่หยางชิงโยว “ทั้งๆ ที่ฉันกับแฟนหนุ่มของฉันจะมาเวดดิ้งสตูดิโอเพื่อมาลองชุดแต่งงาน แต่แกกลับพูดว่าพวกเราสะกดรอยตามแก…”
“แถมตอนนี้แกยังพูดว่าฉันรังแกแกอีกเหรอ?”
เธอส่งเสียงฟึดฟัดในลำคอ พลางหันกลับไปมองหลิงซือยู่ “ถึงขั้นที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนพูดว่าเราไปรังแกเธอแล้ว งั้นพวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
“มิเช่นนั้น ไม่แน่นะเธออาจจะพูดว่าพวกเราต้องการจะลอบฆ่าเธอก็ได้นะ!”
หลิงซือยู่ชะงักทันที จากนั้นก็รีบเดินตามหลังซูสือเยว่และเดินจากไป
“โม่หาน ทำไมคิดไม่พูดอะไรสักคำ!?”
หลังจากที่สองคนนั้นเดินไปแล้ว หยางชิงโยวกัดฟันแน่น พร้อมทั้งกล่าวโทษอย่างเบาเสียง
ฉินโม่หานพลันยืนอยู่ที่เดิม พร้อมทั้งยืนมืองแผ่นหลังของซูสือเยว่ที่เดินจากไปยังเหม่อลอย
เมื่อครู่ที่เธอพูดเรื่องของโรงพยาบาลจิตเวช ที่เมืองหรงกับหยางชิงโยว
เธอพูดถึงเรื่องรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลจิตเวชตั้งมากมายออกมา
สิ่งเหล่านี้ เธอที่สูญเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ จำไม่ได้
ดังนั้น…
นัยน์ตาของชายหนุ่มค่อยๆ หรี่ตาลง
เธอจำได้แล้ว ใช่ไหม?
แต่ว่า ถ้าเธอจำขึ้นมาได้จริงๆแล้ว ทำไมถึงไม่สบตาเขาเลย? ตกลงว่าเธอจำได้มากน้อยขนาดไหนแล้ว?
จำได้แค่บางส่วน หรือว่าจดจำได้ทั้งหมด?
เมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ทำไมถึงทำเหมือนว่าเขาเป็นแค่อากาศ?
เขาได้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ว่าหลังจากที่เธอจดจำได้เรื่องที่ผ่านมาได้แล้ว จะยกโทษหรือโกรธเกลียดเขา เขาก็มีแผนการรองรับไว้แล้วทั้งหมด
ทว่าเขาไม่คิดเลยว่า…
หลังจากที่เธอฟิ้นความทรงจำขึ้นมาแล้ว จะทำเหมือนไม่รู้จักกับเขา
ราวกับว่า สำหรับเธอแล้ว เขาฉินโม่หานก็เหมือนกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
หัวคิ้วของชายหนุ่มย่นขมวดเข้าหากันไว้แน่นๆ
ตกลงว่ามันเกิดปัญหาขึ้นตรงไหนแน่?
“สือเยว่ คุณนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วเหรอ?”
ในรถตอนที่นั่งกลับไปยังวิลล่า หลิงซือยู่ก้มหน้าก้มตา เล่นโทรศัพท์ไปด้วย แถมยังเสแสร้งถามกลับอย่างไม่ได้จงใจ
ซูสือเยว่ยิ้มให้อย่างเรียบเฉย
เธอรู้ว่า คำถามนี้ ไม่ใช่หลิงซือยู่เป็นคนถามแน่นอน
คนที่อยากรู้คำตอบนี้ มีเพียงฉินโม่หานที่เธอทำว่าเขาเป็นอากาศเมื่อครู่นี่แหละ
ดังนั้น หญิงสาวจึงแสยะยิ้มให้อย่างเย็นชาใส่
“ฉันจำได้หมดแล้ว”