“หนูทำให้พ่อผิดหวังแล้ว”
ซูสือเยว่สูดหายใจเข้าแล้วก็ยิ้ม “หนูรับปากไปแล้ว”
สีหน้าของเจี่ยนเฉิงดูแย่ลงในทันที
เจี่ยนหมิงจงกลับยิ้มตาหยีพร้อมกับมองหน้าซูสือเยว่ “ทำไมกันล่ะ? ”
หญิงสาวถอนหายใจออกมา แล้วก็นั่งรอตรงกลางระหว่างชายแก่ทั้งสองคน เธอเทชาให้กับพวกเขาพร้อมกับพูดว่า
“ที่หนูรับปาก ไม่ใช่เพราะว่าฉินโม่หาน และก็ไม่ใช่เพราะพวกลูกๆ แต่มันเป็นเพราะว่า……”
เธอเม้มปาก “การที่ลั่วเยียนทั้งหมดสติไปหลายเดือน ที่จริงหนูก็มีส่วนเกี่ยวข้อง”
“เธอคือนักแสดงหญิงที่หนูชอบมากที่สุด แล้วเธอก็เคยเห็นหนูเป็นเพื่อน”
“ในตอนนี้เธอฟื้นขึ้นมาหลังจากที่หมดสติไปหลายเดือน ถ้าเกิดว่าหนูสามารถช่วยเธอได้ หนูก็ต้องช่วยเธออยู่แล้ว”
“ต่อให้ไม่มีฉินโม่หาน มันก็จะเป็นแบบนั้น”
เจี่ยนหมิงจงมีความสุขมาก “ที่แท้ก็เพราะว่ามีน้ำใจ ลูกสาวของฉัน ใจดีเหมือนฉันเลย!”
พอพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปหาเจี่ยนเฉิง “แก้แพ้พนันแล้ว เอาเงินมา!”
เจี่ยนเฉิงหยิบแบงก์แดง 2 ใบแล้วยัดเงินเข้าไปในมือของเจี่ยนหมิงจงด้วยสีหน้าที่เศร้าโศก “ถ้ารู้แบบนี้พนันน้อยกว่านี้ดีกว่า”
หลังจากที่ส่งเงินให้เขาแล้ว เขาก็หันไปมองซูสือเยว่ด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า “พ่อก็นึกว่าพ่อรู้จักลูกดี”
“แต่ทำไมพอพนันกับพ่อจริงๆ ของลูกเมื่อไหร่ เพราะต้องแพ้ตลอดเลย?”
ซูสือเยว่:“……”
การกระทำของคนแก่ทั้งสองคนตรงหน้าเธอตอนนี้ ทำให้เธออึ้งไปเลย
เธอก็นึกว่า การที่คนแก่ทั้งสองคนพยายามช่วยเธอวิเคราะห์การกระทำของฉินโม่หานเมื่อกี้นี้……ก็เพราะว่าเป็นห่วงเธอ
ที่แท้ เพราะเขาก็พนันกันอย่างนั้นหรอ?
และความเสียใจบนใบหน้าของเจี่ยนเฉิงเมื่อกี้นี้ ก็ไม่ใช่เสียใจเพราะการกระทำของเธอที่ทำให้เขาผิดหวัง
แต่เพราะว่า……เขาแพ้พนันไป 200หยวนเนี่ยนะ!?
เขาก็จริงๆ เลย กี่สิบปีก็ยังเป็นเหมือนเดิม โลภแต่เงิน ไม่สนใจเธอเลย
หญิงสาวลูบหัวของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก แล้วก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง แล้วก็หยิบแบงก์แดงจำนวนหนึ่งส่งให้เจี่ยนเฉิง “ทุนเงินพนัน”
เจี่ยนเฉิงรับเงินมาพร้อมกับยิ้มตาหยี “สือเยว่เป็นห่วงฉันด้วย!”
พอพูดจบ เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองเจี่ยนหมิงจงด้วยแววตาที่รังเกียจ “ไม่เหมือนกับคนบางคน ที่ต้องใช้เงินจากกระเป๋าเงินที่แห้งแล้งของฉันทุกวัน”
เจี่ยนหมิงจงหัวเราะเยาะ “คิดจะเล่นการพนันก็ต้องยอมจ่าย ไม่เข้าใจหรือไง ?”
แล้วด้านหลังของเธอ เสียงทะเลาะของพ่อทั้งสองคนของเธอก็ดำเนินต่อไป
ซูสือเยว่หายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นแล้วก็กลับห้องของตัวเอง
พอปิดประตูแล้ว เธอก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก็ลบปานพร้อมกับรอยทั้งหมดออกจากใบหน้า
ในกระจก ใบหน้าของหญิงสาวก็ยังสวยสดงดงามเหมือนเคย มันสมบูรณ์แบบราวกับถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน
เธอมองดูตัวเองในกระจก แล้วก็ถอนหายใจยาว
เธอมาที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว
ตอนเริ่มแรก ในใจก็รู้สึกคับอกคับใจกับฉินโม่หานตลอด จนถึงตอนนี้ ใจของเธอสงบนิ่งราวกับสายน้ำ เธอแค่อยากจะมีชีวิตของตัวเองเท่านั้น
เดิมที เธอนึกว่าฉินโม่หานไม่น่าจะกลับเมืองหรงมาง่ายๆ ขนาดนี้
ถึงแม้ว่าเมืองหรงจะเป็นเขตอิทธิพลของเขา แต่ว่าที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เธอนึกว่าฉินโม่หานจะอยู่เพื่อตามหาเธออยู่ที่เมืองสตัฟฟ์
แต่นึกไม่ถึงเลยว่า……
เขาจะล้มเลิกการตามหาเธอ แล้วกลับมาที่เมืองหรงเร็วขนาดนี้
เพราะคิดถึงใบหน้าของผู้ชายเมื่อกี้นี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ไม่ได้เจอกันเดือนกว่าแล้ว
เขาผอมลงไปเยอะ แล้วก็ดูซูบลงไปเยอะมาก
แต่ว่าดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้น กลับทำให้คนยากที่จะหยั่งถึงมากกว่าเดิม
ตอนที่ยังไม่เจอเขา เธอก็นึกว่า เธอได้ละทิ้งความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อเขาไปแล้ว นึกว่าตัวเองจะไม่มีทางรู้สึกใจเต้นกับผู้ชายคนไหนอีก
แต่ว่า ตอนที่ผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของเธอ นั่งอยู่ในยิ้มของเธอ หัวใจของเธอนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเต้นตึกตักตึกตัก
หรือว่าบางที นี่อาจจะเป็นโชคชะตาหรือเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็นเธอในเมื่อก่อนที่ยังไม่สูญเสียความทรงจำ หรือว่าเธอที่ได้สูญเสียความทรงจำไปแล้ว หรือแม้แต่เธอที่ใจเย็นราวกับน้ำ……
แต่ว่าพอได้เจอเขา หัวใจดวงนี้ ก็ไม่สามารถที่จะห้ามไม่ให้เต้นแรงได้เลย
ซูสือเยว่ยืนมองตัวเองอยู่ในกระจก มองอยู่นานมาก
จนโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น
มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา
เธอขมวดคิ้ว นึกว่าเป็นเบอร์ของนักเรียน ก็รับสายในทันที
แต่ไม่คิดเลยว่า คนที่โทรเข้ามานั้นจะเป็นลั่วเยียน
“สวัสดีค่ะ”
เสียงของลั่วเยียนที่อยู่ปลายสายนั้นยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ว่าภายในความอ่อนโยนนั้น มันกลับปะปนไปด้วยความอ่อนแอ
“คุณคือสวี่หรงใช่ไหมคะ?”
ซูสือเยว่ชะงักไปในทันที “ค่ะ……ค่ะฉันเอง”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลั่วเยียน”
เสียงของผู้หญิงปลายสายนั้นปนไปด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย “ฉันได้ยินเพื่อนบอกมาว่า คุณเคยเป็นแฟนคลับของฉัน เราก็ยินดีต้อนรับให้ฉันเข้าไปฝึกที่โรงยิมของคุณ ดังนั้นฉันก็เลยโทรมาหาคุณค่ะ”
“ฉันอยากรู้ว่า คุณจะไม่สะดวกหรือเปล่าถ้าเกิดว่าฉันไปที่นั่น? ”
เธอพูด น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการทำอะไรไม่ถูก “ฉันรู้ว่า เพื่อนฉันคนนี้มีอำนาจมาก แล้วก็ค่อนข้างที่จะเผด็จการ”
“ดังนั้นฉันก็เลยอยากถามคุณอีกครั้งหนึ่งเป็นพิเศษ”
“ถ้าเกิดว่าคุณลำบากใจเราก็ช่างมันเถอะค่ะ ที่จริงแล้วฉันฟื้นตัวในโรงพยาบาลก็เหมือนกัน”
“ไม่ลำบากเลยค่ะ!”
ลั่วเยียนยังไม่ทันจะพูดจบ ซูสือเยว่ก็ตัดบทเธอในทันที
“ไม่ลำบากเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ!”
“ฉันเป็นแฟนคลับของคุณจริงๆ ฉันยินดีที่จะช่วยเหลือคุณฟื้นฟูร่างกาย”
เสียงที่ตื่นเต้นของเธอ ทำให้ลั่วเยียนที่อยู่ปลายสายรู้สึกเขินนิดหน่อย
เธอยิ้มอย่างเก้อเขิน “ไม่……ไม่ลำบากก็ดีแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันต้องเตรียมอะไรไปไหมคะ?”
“ไม่ต้องเตรียมค่ะ ใส่ชุดออกกำลังกายมาก็พอแล้ว!”
มือของซูสือเยว่ที่ถือโทรศัพท์อยู่นั่นสั่นเล็กน้อย “ฉัน……ไม่ได้เจอคุณมานานแล้ว”
เขาพูดขึ้นมา ก็รู้สึกคิดถึงนิดหน่อย
“โอเคค่ะ”
ลั่วเยียนหัวเราะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้……ไม่เจอไม่กลับ”
พอพูดจบ เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ตัดสายไป
ตอนที่เก็บโทรศัพท์นั้น ลั่วเยียนก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเองตลอด
“ฉันฟังไม่ออกเลยว่ามันคือเสียงของซูสือเยว่”
“นายแน่ใจ……ว่าเป็นเธอแน่หรอ? ”
ฉินโม่หานยิ้มจางๆ “ภรรยาของตัวเอง ฉันจะจำไม่ได้ได้ยังไง”
“แล้วถ้าเกิดจำผิดขึ้นมาล่ะ”
ฉินหนานเซิงนั่งอยู่บนรถเข็น น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ถ้าเกิดว่าอาเก่งขนาดนั้นจริงๆ ทำไมถึงปล่อยให้เธอหนีออกมาได้ล่ะ? ”
ฉินโม่หานขมวดคิ้ว แล้วก็มองเขาอย่างเย็นชา
“ฉันคิดว่า ตั้งแต่ที่แกรู้ว่าฉันไม่ใช่อาเล็กแท้ๆ ของแก คำพูดที่แกพูดกับฉัน มันดูกําเริบเสิบสานขึ้นเรื่อยๆ นะ
ฉินหนานเซิงยักไหล่ “มันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว”
“อาไม่ใช่คนของตระกูลฉินแล้ว แถมยังบอกคุณปู่ด้วย ว่าจะไม่รับมรดกของตระกูลฉิน”
“อารองก็นิสัยไม่ดี คุณปู่ก็ไม่ยอมรับเขาอีกแล้ว”
“เพราะฉะนั้นต่อไปฉินซื่อกรุ๊ป ก็จะตกมาที่ผม”
“หลายปีมานี้ ผมเที่ยวเล่น ทำงานนิดหน่อยในวงการบันเทิง ก็เพราะว่าอยากจะอยู่ให้ห่างจากกิจการของตระกูลฉิน”
“แต่ว่าผลก็คืออากลับกลับไปที่ตระกูลเก่าของตัวเอง ผมก็เลยจำเป็นต้องกลับมาบริหาร แล้วจะให้ผมดีใจหรอ? ”
ฉินโม่หานหัวเราะเยาะ “มันคือชีวิตของแก”
พอพูดจบ เขาก็มองไปที่ฉินหนานเซิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น
“ร่างกายไม่ค่อยจะสะดวก”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งลั่วเยียนเอง”