9:00 น.
ในสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง นั้นสะอาดเป็นระเบียบไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว
ระเบียงชั้น 3 นั้น เจี่ยนเฉิงกับเจี่ยนหมิงจงนั่งหันหน้าเข้าหากัน มีกระดานหมากรุกตั้งอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน แต่ว่าไม่มีใครมีอารมณ์จะเล่นต่อแล้ว
สุดท้าย คนแก่ทั้งสองคนก็แนบตัวไปกับหน้าต่าง แอบมองไปทางประตู
ซูสือเยว่สวมชุดคลุมสีขาว ยืนอยู่กับพนักงานของโรงยิม 2-3 คนอยู่ตรงหน้าประตู
ซูสือเยว่ในอดีต มีผมสีดำยาว เธอชอบมัดหางม้าเสมอ
ส่วนสวี่หรงในตอนนี้นั้น ตัดผมสั้นอย่างเป็นระเบียบและสบายๆ ทำให้ดูโฉบเฉี่ยว
เจี่ยนหมิงจงมองดูแผ่นหลังที่เพรียวบางของลูกสาวตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะทำเสียงจุ๊ๆๆ “เจี่ยนเฉิง แกว่าที่เธอทำอย่างเป็นทางการขณะนี้ เพราะว่ารอลั่วเยียน หรือว่าตั้งใจทำความสะอาดเพื่อฉินโม่หานกันแน่? ”
เจี่ยนเฉิงเบะปาก แล้วก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ก็ต้องเพื่อนอยู่แล้วสิ!”
“แกไม่เข้าใจเธอหรอก!”
“เธอบอกว่าเธอไม่สนใจฉินโม่หานแล้ว ก็คือไม่สนใจฉินโม่หานแล้ว แกอย่าไปเห็นว่าผู้ชายคนนั้นสำคัญในใจเธอขนาดนั้นเลย!”
พอพูด เขาก็นึกถึงเรื่องราวตอนก่อนที่จะมาที่นี่ ตอนที่อยู่ที่เมืองสตัฟฟ์
และแล้วเจี่ยนเฉิงก็อดไม่ไหว เขากลอกตาใส่เจี่ยนหมิงจงอย่างอารมณ์ไม่ดี “แกนั่นแหละ กล้าวางแผนกับคนนอก ทำร้ายลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง”
“เห็นขี้ดีกว่าไส้”
เจี่ยนหมิงจงกลอกตาใส่เขาอย่างเย็นชา “ก็อยากจะลองเห็นไส้ดูบ้างไหมล่ะ? ฉันจะดึงออกมาให้หมดเลยจะได้พิการไป!”
เจี่ยนเฉิง:“แกสิพิการ!”
หลังจากชายแก่ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่งเจี่ยนหมิงจงถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา แล้วก็หันไปมองเจี่ยนเฉิง
“เรื่องที่ฉันให้แกไปสืบ สืบเป็นยังไงบ้าง? ”
เจี่ยนเฉิงชะงักไป แล้วใบหน้าเขาก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“ยาที่สือเยว่ถูกวางยา กับยาที่แกถูกวางยา มาจากที่เดียวกัน”
“มาจากต่างประเทศ จากห้องแล็ปที่ชื่อ เรียกว่าK”
“K labก่อตั้งขึ้นในปีที่แกประสบอุบัติเหตุ เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้หญิงที่เรียกว่าK หลายปีผ่านมาเธอปรากฏตัวอย่างลึกลับซับซ้อน ไม่มีใครรู้การเคลื่อนไหวของเธอ”
“แต่ว่าสิ่งที่สืบเจอก็คือ……”
เจี่ยนเฉิงสุดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉินหลิงยี่ในตอนนั้น เป็นทหารรับจ้าง”
“ 10กว่าปีมานี้ Kได้จ้างให้กลุ่มคนของฉินหลิงยี่ ไปลอบฆ่าหลิวหรูเยียน”
“แต่ หลิวหรูเยียนในตอนนั้นได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ได้ดักซุ่มเพื่อรอโจมตี”
“ตอนนั้นผู้นำหลักคือฉินหลิงยี่ ส่วนคนที่รองลงมาก็คือเจี่ยนเฉิงการดักรอของหลิวหรูเยียนเดิมทีก็เพราะว่าอยากจะขังพวกเขาไว้ในป่า 2-3 วัน แต่เพราะว่าการตัดสินใจผิดพลาดของรองผู้บัญชาการ สุดท้ายกลุ่มของพวกเขาก็หลงทางอยู่ในป่า แล้วท้ายที่สุดกลุ่มของพวกเขาก็เหลือเพียงแค่ฉินหลิงยี่คนเดียวที่รอดชีวิต”
“เพื่อนร่วมรบเกือบทั้งหมดเสียชีวิต ตั้งแต่หลังจากเรื่องนั้น ฉินหลิงยี่ก็ออกจากกลุ่มทหารรับจ้าง แล้วก็กลับมาที่ตระกูลฉิน”
“ด้านหนึ่งเขาก็เป็นนายน้อยแห่งเมืองหรงที่อยู่ดีกินดีไม่สนโลก อีกด้านหนึ่งภายใต้การช่วยเหลือของ K เขาก็ก่อตั้งLYกรุ๊ปในเมืองสตัฟฟ์ ”
“ก็พูดได้ว่า ความตั้งใจเดิมที่ก่อตั้งLYกรุ๊ปขึ้นมา ก็เพื่อที่จะโจมตีตระกูลเจี่ยน”
“แต่ว่าน่าเสียดาย……”
เจี่ยนเฉิงถอนหายใจ เขามองไปที่รถมาเซราติที่มีสัญลักษณ์ของตระกูลฉิน ที่กำลังจอดอยู่หน้าประตู”
“น่าเสียดาย คนที่สามารถจัดการกับฉินหลิงยี่ได้ เป็นคนของตระกูลฉินเหมือนกัน”
ถ้าเกิดว่าไม่มีชวงซิงกรุ๊ปของฉินโม่หาน ตระกูลเจี่ยนไม่มีทางรอดในครั้งนี้ไปได้ง่ายๆ หรอก
การตายของสหายร่วมรบของเขา ทำให้ฉินหลิงยี่เกลียดตระกูลเจี่ยนเข้ากระดูกดำ
และหลังจากที่หลิวหรูเยียนได้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปแล้วนั้น ตระกูลเจี่ยนก็เหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ได้แต่อาศัยการแต่งงานกับตระกูลจี้ มาเพื่อรักษาความหวังเล็กๆ น้อยๆ ไว้เป็นครั้งสุดท้าย
ถ้าเกิดไม่ได้ฉินโม่หานปรากฏตัวขึ้นอย่างทันเวลา……
ถึงแม้ว่าตระกูลเจี่ยนจะเอาชนะLYกรุ๊ปในศึกครั้งนี้ได้ แต่ว่าสุดท้ายก็ต้องเสียหายอย่างมาก ไม่มีทางที่จะล่าถอยได้
“เขาไม่ใช่คนของตระกูลฉินจริงๆ สักหน่อย”
เจี่ยนหมิงจงจ้องรถมาเซราติสีดำนิ่ง แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ถ้าเกิดจี้ว่านเชิ่งรู้ว่า ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นหนีออกมาจากเขาเธอตั้งท้อง……เขาคงจะ ไม่ตัดสินใจแบบนั้นใช่ไหม? ”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา แล้วก็หรี่ตามองฉินโม่หานที่ลงมาจากรถ
“เขา เหมือนกับจี้ว่านเชิ่งในตอนนั้นเด๊ะๆ”
พอพูดถึงนี้แล้ว ผู้ชายคนนั้นก็หยิบชาขึ้นมาดื่ม “แต่หวังว่า ต่อไป เขาจะไม่เหมือนกับจี้ว่านเชิ่งพ่อแท้ๆ ของเขา ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับความรักความสัมพันธ์ แล้วสุดท้ายก็ตาย”
หน้าประตูสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง
ซูสือเยว่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดเกือบจะ 1 ชั่วโมงเต็ม แล้วในที่สุดรถมาเซราติสีดำที่คุ้นเคย ก็จอดลงที่หน้าประตูสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง
ประตูรถเปิดออก
คนแรกที่ลงมาจากรถ ก็คือฉินโม่หานที่สวมใส่ชุดสูทสีดำ พร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลา
เขาเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ แล้วก็ยิ้มพร้อมกับมองหน้าซูสือเยว่
“ขอโทษด้วยนะครับ เจ้าของสวี่”
“เมื่อเช้าลั่วเยียนต้องเติมน้ำเกลือ มันค่อนข้างช้า ก็เลยสายไปหน่อย”
ซูสือเยว่ชะงักไป แล้วก็ยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”
ความจริงแล้ว ต่อให้เธอต้องรออีก 1 ชั่วโมง เธอก็จะรอ
ยังไงซะลั่วเยียนก็เป็นคนป่วย
เพียงแค่……
เธอขมวดคิ้วมองลั่วเยียนที่นั่งอยู่ด้านหลังคนขับ “คุณมาส่งเธอคนเดียวหรอคะ? ”
ฉินหนานเซิงล่ะ?
มือของฉินโม่หานที่กำลังจะเปิดประตูให้ลั่วเยียนอยู่นั้นชะงักไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมา น้ำเสียงของเขาดูไม่มีทางเลี่ยง
“สามีของลั่วเยียน ก็คือหลานชายของผมฉินหนานเซิง ก่อนหน้านี้ไม่นานโดนคนเลวหักขา”
“ตอนนี้ขาของเขาก็เลยยังไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ต้องพักรักษา”
“ดังนั้นต่อไปนี้ หน้าที่ที่ต้องมาส่งลั่วเยียนทุกวัน จะเป็นหน้าที่ของผมเองครับ”
ซูสือเยว่อึ้งไป ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“ฉินหนานเซิงถูฏคนทำร้ายจนขาหักอย่างนั้นหรอ!?”
ต้องรู้ว่า ฉินหนานเซิงมาจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหรง เขาคือหลานชายคนโตของตระกูลฉิน
แล้วอีกอย่าง ตั้งแต่ตอนที่ฉินโม่หานถูกแฉว่าไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของท่านปู่ฉิน ฐานะทางสังคมของฉินหนานเซิงก็สูงขึ้นในทันที”
ฉินหนานเซิงที่มีอำนาจสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ด้วยแค่มือเดียวแบบนี้ ใครกันที่กล้าทำให้เขาขาหัก?
“ฉินหลิงยี่เป็นคนทำ”
เหมือนกับว่ามองเห็นความสงสัยของซูสือเยว่ ฉินโม่หานก็พยุงลั่วเยียนลงจากรถไปด้วย แล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ฉินหนานเซิงเห็นแก่การที่ฉินหลิงยี่เป็นอะไรของเขา ก็เลยออมมือตลอด”
“จะไม่คิดเลยว่า ฉินหลิงยี่จะไม่ปรานีเลยแม้แต่นิดเดียว”
“บวกกับการที่เขาเป็นทหารรับจ้างที่เกษียณแล้ว……ที่จริงฉินหนานเซิงก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้หรอก เขาก็เลยถูกโจมตี……แล้วก็ขาหัก”
เพราะชายหนุ่มพูดจบ ลั่วเยียนก็ลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว
เธอเบิกตากว้าง มองดูผู้หญิงตรงหน้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยปาน รอยแผลเป็นและจุดด่างดำเต็มไปหมด
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าฉินโม่หานบอกเธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพราะผู้หญิงคนนี้คือซูสือเยว่
เธอคงจะตกใจถอยไปด้านหลัง และไปซ่อนไกลๆ !
ลั่วเยียนเข้าใจความรู้สึกที่ลั่วเยียนต้องการที่จะหลบเลี่ยงฉินโม่หาน
แต่ว่า……
ลั่วเยียนมองใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของเธอก็บูดเบี้ยวเล็กน้อย
ต่อให้จะเปลี่ยนเป็นคนขี้เหร่ แต่งหน้าใส่เอฟเฟคไปแบบนี้……
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องน่าเกลียดขนาดนี้ก็ได้มั้ง!
มองดูแววตาที่ตกใจของลั่วเยียน ซูสือเยว่ก็เผลอรูปใบหน้าของตัวเอง แล้วก็หัวเราะอย่างก็เขิน
“ฉัน……ค่อนข้างขี้เหร่น่ะค่ะ”