ซูสือเยว่มองชายคนตรงหน้าไปด้วยอาการอึ้งตกใจ
อันที่จริง…
เธอไม่ได้กลัวคนพวกนี้ก่อเรื่องเสียหน่อย
เธอในอดีตอาจจะกลัวเป็นเรื่องเป็นราวอยู่บ้าง แต่เธอในตอนนี้ เพียงแค่อยากอาศัยความรู้สึกของตัวเอง มีชีวิตที่มีความสุขสักหน่อย
ดังนั้นแล้วเธอก็เลยเปิดสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง นี้ขึ้นมา
ดังนั้นแล้วเมื่อกี้ตอนที่ครอบครัวของเฉินตานตานบอกว่าเธอทำร้ายร่างกายคนอื่น เธอแทบจะไม่มีความลังเลเลยที่จะทำร้ายไปจริงๆ
เมื่อก่อนเธอรับมามากเกินไปอดทนมากเกินไป ถึงได้ทำให้พวกเฉิงเซวียนกับเซี่ยงหวั่นฉิงคนพรรค์นั้นมารังแกเธอกันได้ง่ายๆ
ตอนนี้เธอทำตัวน่าเกลียด แต่งอยู่ในสภาพที่คนอื่นไม่มีทางจะมาสนใจ ก็เพื่อที่จะได้มีชีวิตตามที่ต้องการ
แต่นึกไม่ถึงว่าฉินโม่หานจะออกมาช่วยเธอแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาแบบนี้
เธอยอมรับว่าในใจของเธอแท้จริงแล้วมันก็ปล่อยวางจากผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้เลย
ในเวลานี้เขาได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ช่วยเธอแก้ไขปัญหาทั้งหมดจนเสร็จสิ้น ตอนที่หันหน้ามามองเธอ ท่าทางที่สง่างามและหยิ่งทะนงเหมือนกับในฝันของเธอไม่มีผิดเพี้ยน
หัวใจของเธอเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เธอไม่ได้เอามือไปวางบนมือที่ยื่นเข้ามาหาเธอ แต่ได้ย่นคิ้วมองเขาไป “ทำไมถึงต้องช่วยฉัน?”
“ผมเคยบอกไปแล้วว่าคุณให้ความรู้สึกที่เหมือนกับภรรยาผมมาก”
ชายหนุ่มแสยะริมฝีปากออกมา แวบบตาเรียบนิ่ง “ถึงแม้ว่าหน้าตาของคุณจะไม่ได้สวยเท่าเธอ แต่นิสัยและลักษณะทั้งหมดเหมือนกันมาก”
“ผมช่วยคุณ ก็หวังว่าถ้ามีวันนึงภรรยาของผมถูกใครรังแก ก็จะมีคนสามารถช่วยเธอเอาไว้ได้”
คำพูดของฉินโม่หาน ให้บรรยากาศที่อ่อนโยนเสียจนทำให้ไม่เจอจุดบกพร่องอะไรเลยสักนิด
ลั่วเยียนแอบชูนิ้วโป้งอยู่ด้านหลังเงียบๆ
ซูสือเยว่ชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของเขา พร้อมกับแสยะยิ้มออกมา “งั้นท่านชายฉินหวังว่าฉันจะตอบแทนคุณยังไงดีล่ะ?”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”
ซูสือเยว่นิ่งอึ้งไป “ทำไม?”
“งานยุ่งนิดหน่อย”
เขาหาวออกมา มองโครงสร้างของสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง ไปเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าด้านในสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง มีห้องครัวหรือเปล่า?”
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรมาก เจ้าของสวี่ทำบะหมี่ให้ผมกินสักชามก็พอแล้ว ค่าอาหารผมออกเองได้”
ซูสือเยว่ชะงักไป “อันที่จริงฉันสามารถเลี้ยงคุณได้นะ…”
เธอกลัวว่าฝีมือการทำอาหารของเธอ มันจะเปิดเผยตัวตนของเธอออกมาได้ง่าย
ฉินโม่หานยิ้มออกมา “ผมไม่ค่อยชอบกินของข้างนอก”
พูดจบ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ในเมื่อเจ้าของสวี่ไม่ยินยอมก็ช่างมันเถอะครับ”
“ผม…ไม่ได้กินของที่คนอื่นทำให้ผมกับมือมานานแล้ว ทุกครั้งล้วนแล้วแต่จะเป็นอาหารเดลิเวอรี่ง่ายๆที่ไป๋ลั่วเตรียมมาให้ผม”
คำพูดของชายหนุ่มสุดท้ายแล้วก็ได้ทำให้ซูสือเยว่ใจอ่อนขึ้นมา
เธอเม้มริมฝีปาก กำลังอยากจะพูดอะไรออกไป ลั่วเยียนที่อยู่ทางด้านหลังก็รีบคว้ามือของเธอเอาไว้ทันที “เจ้าของสวี่ คุณก็ตอบตกลงไปสิ”
“ฉันเองก็อยากกินฟรีด้วยเหมือนกัน”
พูดจบ เธอก็ยังเลิกคิ้วไปทางฉินโม่หานด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มออกไปด้วยอีก “ในเมื่อคุณออกค่าส่วนผสม คงไม่รังเกียจที่ฉันจะกินด้วยสักหน่อยหรอกมั้ง?”
ชายหนุ่มแสยะริมฝีปากออกมา “ขอเพียงแค่เจ้าของสวี่ไม่ถือ ผมก็ไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว”
ทั้งสองคนก็พูดกันมาอย่างนี้แล้ว ซูสือเยว่ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
“เอาเถอะ”
พูดจบ เธอเดินนำหน้าทั้งสองคนเข้าไปด้านหลังสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรง ไปพลาง หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความไปหาเจี่ยนเฉิงกับเจี่ยนหมิงจงไปพลาง
“ฉินโม่หานจะไปกินข้าวที่หลังบ้าน พวกคุณทั้งสองคนช่วยไปอยู่ที่ห้องใต้หลังคาอย่าได้ออกมา!”
เจี่ยนหมิงจง “…”
เจี่ยนเฉิง “…”
พวกเขาเป็นผู้ใหญ่นะเฮ้ย
ทำไมต้องทำเหมือนกับหัวขโมยกัน?
แต่ซูสือเยว่สุดท้ายแล้วก็เป็นลูกสาวอันเป็นที่รักของพวกเขาทั้งสองคน
ทำยังไงได้?
ทำได้เพียงตามใจกันไปเท่านั้น!
ทั้งสองคนเก็บกระดานหมากกับที่เขี่ยบุหรี่ไปอย่างตะลีตะลาน คนนึงกอบกระดานหมากรุกกับที่เขี่ยบุหรี่เอาไว้ คนนึงได้ถือเบาะรองนั่งกับกาน้ำชาและแก้วน้ำชาเอาไว้ ขึ้นไปชั้นบนกันไปอย่างรีบร้อน
รอจนตอนที่ซูสือเยว่พาฉินโม่หานกับลั่วเยียนเข้ามาแล้ว ในห้องเล็กๆด้านหลังบ้านก็ได้สะอาดเรียบไม่เหลืออะไรเหมือนกับตอนแรก
หัวใจของซูสือเยว่ที่แขวนอยู่จึงได้หล่นร่วงลงมา
เธอเรียกทั้งสองคนมานั่งไปพลาง ไปเตรียมส่วนประกอบอาหารที่ตรงห้องครัวไปพลาง
ลั่วเยียนพอได้นั่งลงไปบนโซฟา ก้นก็ได้สัมผัสถูกอะไรบางอย่างขึ้นมา
เธอย่นคิ้วออกมา จากนั้นก็ได้ยื่นมือออกไปคลำดูทันที
…นึกไม่ถึงว่าจะเป็นตัว “ปืนใหญ่” ที่อยู่ในหมากรุก
ลั่วเยียนมองหมากตัวนั้นไปอย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรดีไปเล็กน้อย “นี่…”
ฉินโม่หานนั่งลงตรงหน้าเธอไปอย่างสง่างาม ยกมือขึ้นมารับตัวหมากเข้ามา ขยับไปมาอยู่สองที
สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้วางตัวหมากลงไปบนโต๊ะน้ำชาไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันจำได้ว่าพ่อของสือเยว่ชอบเล่นหมากรุกเป็นพิเศษ”
บนห้องใต้หลังคา เจี่ยนหมิงจงได้ยินคำพูดนี้แล้ว บนใบหน้าก็แอบแดงออกมา
เจี่ยนเฉิงเหยียดมองเขาไป “เมื่อกี้นี้กระดานหมากรุกไม่ใช่ว่านายเป็นคนเก็บมาเองหรือไง? ทำไมถึงได้หายไปอันนึง?”
เจี่ยนหมิงจงส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกมา “ทำไมปืนใหญ่ของฉันถึงได้ไปอยู่ด้านล่างเบาะโซฟาได้ นี่มันไม่ควรจะถามนายหรือไง?”
เจี่ยนเฉิง “เกี่ยวอะไรกับฉัน ทั้งๆที่นาย…”
ตอนที่ทั้งสองคนนี้เริ่มนั้นเสียงยังกดจนเบามากอยู่ แต่ยิ่งทะเลาะกันเสียงก็ยิ่งดังขึ้น
สุดท้ายแล้วขนาดซูสือเยว่ที่อยู่ในห้องครัวก็ยังได้ยิน
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วออกมา จึงได้กระแอมเสียงดังออกไป
เสียงบนห้องใต้หลังคาจึงได้หยุดลง
ลั่วเยียนมองฉินโม่หานไปด้วยอาการตื่นตกใจ ยกมือขึ้นมาชี้ไปทางห้องใต้หลังคาไปอย่างระมัดระวัง
ฉินโม่หานแสยะริมฝีปากออกมา จากนั้นก็เอ่ยเสียงดังออกไป “เจ้าของสวี่ ห้องใต้หลังคาของคุณทิ้งร้างมานานแล้วใช่มั้ยครับ?”
“เมื่อกี้ผมเพิ่งจะได้ยินเหมือนกับว่ามีเสียงหนูดังจี๊ดๆอยู่ที่ด้านบน”
ซูสือเยว่ที่กำลังล้างผักอยู่ก็ได้ชะงักไปเล็กน้อย
เสียงหนู?
“ใช่! เสียงหนูนั่นแหละ”
“บนห้องใต้บันไดของฉันมีหนูแก่ที่ไม่รู้ความอยู่สองตัว มักจะชอบส่งเสียงที่ไม่ค่อยจะส่งเสียงออกมาอยู่เป็นประจำ เกลียดจะตายอยู่แล้ว”
“งั้นก็ดี”
ฉินโม่หานแสยะริมฝีปากออกมา เลิกสายตาขึ้นมองไปทางห้องใต้บันได “งั้นพรุ่งนี้ผมให้ไป๋ลั่วส่งยาเบื่อหนูกับกับดักหนูมาให้สักหน่อย จะต้องช่วยคุณจับหนูแก่ที่ไม่รู้ความสองตัวนั้นให้คุณได้แน่”
“งั้นก็ต้องขอบคุณท่านชายฉินมากเลย นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆจำพวกนี้ท่านชายฉินก็ยังใส่ใจกัน”
“ไม่เป็นไร ผมคิดว่าคุณเหมือนกับภรรยาของผมมาก แก้ปัญหาให้กับคุณก็คือการแก้ปัญหาให้กับภรรยาของผม”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้ซูสือเยว่ที่กำลังหาเส้นบะหมี่อยู่ในครัวได้ชะงักไปในทันที
คำพูดนี้…
ทำไมเธอยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกๆกันนะ?
บอกว่าอีกฝ่ายเหมือนกับภรรยาของตัวเองมาก เลยยินดีช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าช่วยเหลืออีกฝ่ายแล้วก็เหมือนกับการได้ช่วยเหลือภรรยาของตัวเอง…
อุบายนี้…
ทำไมมันถึงได้เหมือนกับว่า…ต้องการจะจีบเธอมากเลย?
บทสรุปข้อนี้ทำให้ซูสือเยว่ได้เบิกตากว้างออกมาทันที
ไม่หรอกมั้ง?
ฉินโม่หานต้องการจะจีบเธอ!?
จีบสวี่หรงที่ในตอนนี้ที่บนใบหน้านอกจากปานก็ยังมีรอยแผลเป็นคนนี้???
เมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่ว่าเขายังตามหาตนไปทั่วทุกหนแห่งอยู่เลยหรือไง?
สุดท้ายหาไม่เจอถึงได้กลับมาที่เมืองหรง
นี่มันเพิ่งจะไม่ถึงหนึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ มีเป้าหมายใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว?
อีกอย่างเป้าหมายใหม่นี้ก็ยังเป็นตัวเธอเองที่ตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวให้น่าเกลียดออกมาอีก?
สายตาของเขา…
ลื่นลงมาแรงมากเลยเหรอ?
หรือว่าเขาจะถูกตนทำร้ายเอา ก็เลยมีระดับความอดทนต่อผู้หญิงที่หน้าตาน่าเกลียดมากเป็นพิเศษ?
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ซูสือเยว่ก็ได้ส่องไปที่ประตูกระจกที่อยู่ด้านข้างไปทันที
ตัวเธอที่อยู่บนประตูกระจกบานนั้น ถึงแม้ว่ารูปร่างจะยังคงดูดีอยู่ แต่ใบหน้านั้น…”
น่าเกลียดเสียจนไม่ว่าคนหรือเทพก็พากันไม่พอใจกันออกมา
ตอนที่แต่งหน้าแบบนี้ในตอนแรก เจี่ยนเฉิงกับเจี่ยนหมิงจงต่างก็บอกว่ามันน่าเกลียดเกินไป น่าเกลียดเสียจนมันส่งผลกระทบกับหน้าตาของเมือง บอกให้เธอเปลี่ยนการแต่งหน้า
แต่เธอก็ดื้อจะแต่งแบบนี้
ด้วยเหตุนี้มันจึงได้หลอกให้คนบนท้องถนนพากันหวาดกลัวกันไปมากมายด้วยเช่นกัน
แต่ว่าตอนนี้…
นึกไม่ถึงว่าฉินโม่หานจะมาตามจีบตัวเองที่น่าเกลียดเสียขนาดนี้!?