ซูสือเยว่คิดว่าการนึกคิดของตัวเองมันได้รับกระทบกระเทือนไปเสียแล้ว
เธอจากเขามา ตกลงแล้วมันได้สร้างความเจ็บปวดให้กับฉินโม่หานไปมาแค่ไหนกัน ทำเอาตอนนี้เขาได้กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว?
“เจ้าของสวี่”
ในตอนที่ซูสือเยว่กำลังมองตัวเองในกระจกไปอย่างเหม่อลอยอยู่นั้นเอง มือข้างหนึ่งก็ได้มากุมมือที่กำลังถือมีดของเธอเอาไว้ “ในบะหมี่ที่ทำให้ผมจะใส่เนื้อด้วยก็ได้ แต่ผมไม่อยากกินเนื้อแบบนี้”
เสียงทุ้มต่ำฟังดูเย็นชาของชายหนุ่ม ได้ทำให้ร่างของซูสือเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
เธอก้มหน้าไปมองมือที่ถูกเขากุมเอาไว้ของตัวเองไปทันที
มือข้างขวาที่จับมีดหั่นผักเอาไว้ของเธอ ตำแหน่งที่เล็งไปได้เล็งไปที่นิ้วมือข้างซ้ายของเธอพอดี
ถ้าฉินโม่หานไม่ได้มาคว้ามือเธอเอาไว้ได้ทันเวลา มีดของเธอจะต้องหั่นลงมาที่นิ้วมือของตัวเธอแน่ๆเลยโดยที่ไม่ต้องสงสัยเลย
ภาพที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้ซูสือเยว่เกิดอาการตื่นตะลึงออกมาทันที มือข้างขวาสั่นออกมา กุมมีดเอาไว้ไม่อยู่
ฉินโม่หานใช้มืออีกข้างนึงจับมือข้างซ้ายของซูสือเยว่เอาไว้อย่างรวดเร็ว
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ตัวใบมีดของมีดทำครัวได้หล่นลงไปบนเขียงทันที
ซูสือเยว่ในตอนนี้ได้ถูกฉินโม่หานกอดเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าที่แปลกประหลาดอย่างนึง
“นี่เจ้าของสวี่ตั้งใจจะเพิ่มอาหารให้ผม?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มได้ประดับไปด้วยอุณหภูมิความร้อนจากร่างของเขา ค่อยๆรดลงมาที่หูของซูสือเยว่มาช้าๆ
น้ำเสียงที่สงบนิ่งนั้น ในช่วงเวลาที่วิกฤติอย่างนี้ได้ให้ความสบายใจและความสงบอันยิ่งใหญ่ส่งมาให้ซูสือเยว่
เธอผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ใบหูและหน้าแดงกลายเป็นสีเดียวกัน
ผ่านไปนานสักพักนึง หญิงสาวก็ได้สติกลับมา “ขอบ…ขอบคุณ”
พูดจบ เธอก็ได้สลัดออกไปจากอ้อมแขนของเขาไป
ฉินโม่หานไม่ได้ดึงดันอยู่กับเธอต่อ
ชายหนุ่มแสยะริมฝีปากออกมา สายตาและรอยยิ้มได้มีความอ่อนโยนออกมาเหมือนกัน “รู้ว่าเจ้าของสวี่พอใจกับหน้าตาของตัวเองมาก แต่ไม่จำเป็นต้องชื่นชมอยู่ตามลำพังตอนที่กำลังหั่นผักด้วยนี่”
ชายหนุ่มตบลงไปบนไหล่ของเธอไปเบาๆ แล้วก็ผันร่างเดินออกไป
ประตูของห้องครัวถูกปิดลง
ซูสือเยว่รู้สึกแค่เพียงว่าการหายใจของตัวเองได้หายใจผิดจังหวะไป
ทำไมถึง…
ทำไมถึงได้ตื่นเต้นถึงขนาดนี้?
ทั้งๆที่ฉินโม่หานผู้ชายคนนี้เธอเคยสัมผัสมาก่อนเคยนอนด้วยมาก่อนแล้ว
ระหว่างพวกเราก็เคยมีลูกกันไปสามคนแล้ว มีความเกลียดชังกันมากมายขนาดนั้น
แต่ทำไม ตอนนี้เธอเพียงแค่เปลี่ยนสถานะไป ก็ไวต่อสัมผัสของเขาได้ขนาดนี้ ตื่นเต้นเสียขนาดนี้?
ตรงหน้าก็ได้ปรากฏรอยยิ้มเมื่อสักครู่ของเขาอันนั้นออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
รอยยิ้มบางๆ ก็สามารถทำให้ใจทั้งใจของเธอแทบจะละลายไปเลยทีเดียว
เธอเงยหน้าขึ้นไปมองตัวเองในกระจก
เพราะว่าทั้งหน้าได้แดงก่ำออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ปานและตรงแผลเป็นบนใบหน้ากลับยังคงมีสีเดิมอยู่
ดังนั้นแล้วมันก็เลยปรากฏเธอในตอนนี้ออกมาให้เห็นว่ามันน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
เห็นตัวเองในตอนนี้แล้ว ซูสือเยว่ก็ยิ่งสับสนขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
สภาพที่น่าเกลียดของเธอในตอนนี้ ฉินโม่หานจะต้องเห็นมันได้อย่างชัดเจนแน่นอน
แต่ทำไม…
เขาถึงได้เผยสายตาและรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนอย่างนั้นออกมาให้กับตัวเองที่ในตอนนี้น่าเกลียดถึงขนาดนี้ได้กัน?
ผู้ชายคนนี้คงไม่ได้สมองเลอะเลือน พิการทางจิตไปแล้วจริงๆหรอกใช่มั้ย?
เสียงบทสนทนาของฉินโม่หานกับลั่วเยียนจากทางด้านนอกดังขึ้นมา
เธอถอนหายใจออกมา ใช้น้ำเย็นมาตบหน้าตัวเอง เตือนสติตัวเองว่าให้รีบทำอาหารไปให้พวกเราดีๆได้แล้ว
แท้จริงแล้วน้ำเย็นมันก็ได้ผลอยู่บ้าง
สุดท้ายแล้วซูสือเยว่ก็ได้ทำอาหารมื้อนี้ให้กับพวกเขาออกมาได้อย่างสบายใจ
เธอไม่เพียงแต่จะต้มบะหมี่ให้กับลั่วเยียนและฉินโม่หาน แต่ยังแบ่งไข่ให้พวกเขาอีกคนละฟอง แล้วก็ยังต้มซุปไก่ให้กับพวกเขาไปด้วยนิดหน่อย
ทำทั้งหมดเสร็จมันก็ได้ผ่านไปชั่วโมงนึงแล้ว
หญิงสาวที่หน้าตาน่าเกลียดยกบะหมี่กับซุปเดินออกมาจากห้องครัว
ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องรับแขกได้สบตากัน แล้วก็ได้รีบเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกันทันที
ซูสือเยว่เอาบะหมี่กับซุปมาวางลงบนโต๊ะ
ลั่วเยียนได้ยินฉินโม่หานกับลูกทั้งสามคนของเขาพูดมาตลอดว่าฝีมือการทำอาหารของซูสือเยว่ดีมาก
ในที่สุดวันนี้ก็สามารถลิ้มลองมันได้แล้ว
หญิงสาวถอนหายใจออกมา หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
รสชาติมันดีมากจริงๆ ดีมากจนทำให้เธอคิดว่าบะหมี่ทั้งหมดที่เธอเคยกินไปเมื่อก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่จะพอถูไถไปทั้งนั้น
เห็นท่าทางลั่วเยียนกินไปอย่างตะกละตะกลาม ฉินโม่หานก็แสยะยิ้มออกมา
เขาไม่ได้รีบขยับตะเกียบไป แต่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองซูสือเยว่ “เจ้าของสวี่ไม่กินด้วยกันเหรอครับ?”
ซูสือเยว่ย่นคิ้วพลางยิ้มออกมา “พวกคุณกินไปเถอะ อีกเดี๋ยวฉันค่อยกิน”
“กินด้วยกันเถอะ”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาจางๆ “หรือว่าเจ้าของสวี่ต้องรอให้พวกเราไปกันก่อนแล้วค่อยทำอาหารเอาไว้แอบกินตามลำพังงั้นเหรอครับ?”
ซูสือเยว่ชะงักไป “ได้ค่ะ”
เธอไม่อยากกินข้าวด้วยกันกับฉินโม่หาน
แต่ในเมื่อเขาพูดมาอย่างนี้แล้ว เธอเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ
หญิงสาวได้เข้าครัวไปอีกครั้ง แล้วก็ยกบะหมี่ชามนั้นของตัวเองเดินออกมา
ทั้งสามคนนั่งลงไปที่โต๊ะ
ตำแหน่งก็ได้มีลั่วเยียนนั่งอยู่ตรงกลางพอดี ซูสือเยว่กับซูสือเยว่นั่งเผชิญหน้ากัน
“อร่อยมากจริงๆ!”
ลั่วเยียนกินไปถึงก้นถ้วยไปอย่าวรวดเร็ว
รอจนเธอเงยหน้าขึ้นมา——
ฉินโม่หานกับซูสือเยว่ทั้งสองคนกำลังมองจ้องกันอยู่ บะหมี่ในชามก็ไม่ได้แตะไปเท่าไหร่นัก
เหมือนราวกับว่าบะหมี่สองชามนั้นสำหรับพวกเขาแล้วมันไม่สำคัญเลย
หรือไม่ก็ ไม่สำคัญเท่าคนที่อยู่ตรงหน้า
ลั่วเยียนชะงักไป
บางทีสำหรับทั้งสองคนนี้แล้ว บะหมี่อาจจะไม่ได้สำคัญเท่าคนที่อยู่ตรงหน้าหรอกมั้ง?
เธอเม้มริมฝีปากออกมา กดเสียงพูดออกมาเบาๆ “เจ้าของสวี่ ในครัวยังมีบะหมี่อยู่อีกหรือเปล่า?”
ซูสือเยว่ถึงได้เรียกสติกลับคืนมา
เธอกระแอมออกมา “ไม่…ไม่มีแล้ว”
“กินของฉันเถอะ”
ฉินโม่หานกวาดสายตามองลั่วเยียนไปนิ่งๆ จงใจดันบะหมี่ของตัวเองไปที่ตรงหน้าของลั่วเยียน
ทันทีที่ชายหนุ่มดันบะหมี่เข้าไป ซูสือเยว่ก็รีบดันบะหมี่ชายนั้นกลับไปตรงด้านหน้าของฉินโม่หานทันที แล้วค่อยดันชามบะหมี่ของตัวเองไปตรงหน้าของลั่วเยียนไปอีกทีนึง
“กินของฉันเถอะ”
“ฉันยังไม่กินเลย เธอกินของท่านชายฉิน…มันจะไม่ค่อยดี”
ลั่วเยียน “…”
เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมากเลย
ทั้งสองคนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าในใจและในดวงตาต่างก็มีเพียงแค่อีกฝ่าย
อาหารหมาจากการอิจฉาคนรักกันนี้มันพอให้เธอได้กินมันจนอิ่มได้เลย!
ลั่วเยียนสูดหายใจแล้วดันบะหมี่กลับไปตรงหน้าทั้งสองคน “พวกเธอกินเถอะ…ฉันไม่กินแล้ว”
พูดจบ โทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น
เป็นสายของฉินหนานเซิงที่โทรเข้ามา
เธอรับโทรศัพท์ไปด้วยความประหลาดใจ
“หนานเซิงมารับฉันแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ!”
วางสายไป หญิงสาวก็หันหน้าไปพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นก็ถือกระเป๋าเดินออกไป
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ประตูห้องถูกปิดลง
ภายในห้องที่ใหญ่ขนาดนี้ เหลือแค่เพียงซูสือเยว่กับฉินโม่หานเพียงแค่สองคน
มองทิศทางที่ลั่วเยียนเดินออกไป ฉินโม่หานก็แสยะยิ้มออกมา “มั่นคง”
“เธอคนนี้หนักแน่นมั่นคงมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งที่เจอเข้ากับเรื่องหนานเซิง ก็จะเปลี่ยนกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาคนหนึ่งไปเลย”
ซูสือเยว่เองก็มีการเกิดการกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาด้วยเล็กน้อย
เธอเม้มริมฝีปากพร้อมกับถอนหายใจออกมา “หวังว่าหลังจากนี้ไปเธอจะมีความสุขได้จริงๆ”
ลั่วเยียนชอบฉินหนานเซิง แต่คนที่ฉินหนานเซิงชอบกลับเป็น…
“เธอจะมีความสุข”
ฉินโม่หานแสยะริมฝีปากออกมาเลิกสายตาขึ้นไปมองใบหน้าของซูสือเยว่ไปนิ่งๆ “คุณก็ด้วย”
ซูสือเยว่ชะงักไป ใบหน้าได้แดงออกมาอีกครั้งอย่างบอกไม่ถูก
เธอก้มหน้าลงไป กินไปพลาง สูดหายใจไปพลาง แล้วก็เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่บูดบึ้ง
“ท่านชายฉิน ฉันไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณเท่าไหร่เลย”
“เมื่อวานคุณเอาแบล็กการ์ดมาให้ วันนี้มาช่วยฉัน แล้วก็ยังให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณอีก…”
“ไม่ทราบว่าคุณกำลังจีบฉันอยู่เหรอคะ?”