ตอนที่ซูสือเยว่กลับที่สถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรงนั้น ด้านนอกสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวหรงก็ยังมีบรรดาคนตามกระแสโลกออนไลน์และพวกนักข่าวล้อมรอบไปหมดจนเบียดเสียดยัดเยียด
กระทั่ง มีคนเอาป้ายออกมา เพื่อต้องการเรียกร้องความยุติธรรมแทนเฉินตานตานที่กระโดดตึก
คนที่เป็นแกนนำเอาโทรโข่งออกมา จากนั้นก็เริ่มสาธยายถึง “ความผิด” ของซูสือเยว่เสียงดังลั่น
“หน้าตาก็อัปลักษณ์ขนาดนั้น ดันมาเปิดสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวแค่เสียค่าเรียนแค่ 1 หยวน กิจการนี้ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่ปกติ!”
“เก็บเงินค่าเล่าเรียน แต่กลับสร้างความอับอายให้กับเฉินตานตาน ในชั่วโมงเรียน ท่ามกลางสายตาของทุกคน แถมยังเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของเฉินตานตาน นี่คือความผิดข้อสองของสวี่หรงเจ้าของสวี่!”
“ข้อสุดท้าย ทำร้ายคน หลังจากทำลายเกียรติยศของเด็กสาวคนอื่นแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่คิดกลับใจแต่อย่างใด แถมยังไม่อนุญาตให้เขาได้กลับเข้าไปในสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวอีกครั้ง จนสุดท้ายแล้วทำให้คนอื่นต้องกระโดดตึก นี่คือความผิดข้อที่สามของเธอ”
“สรุปข้อหาเบื้องต้น สวี่หรงเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ เย็นชา ไร้ความรู้สึกแถมยังโหดร้ายทารุณและเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความเห็นใจคนอื่น!”
“เธอต้องชดใช้ค่าทำขวัญและค่ารักษาพยาบาลให้กับเฉินตานตานทุกบาททุกสตางค์!”
คนที่ตะโกนออกมานั้นเปล่งเสียงอย่างสุดกำลัง ทำให้คนที่มุงอยู่รอบๆ ต่างเริ่มตะโกนตามขึ้นมา
“ต้องชดใช้ค่าเสียหาย! ต้องชดใช้ค่าเสียหาย!”
“สวี่หรงขยะโสมม! สวี่หรงขยะโสมม!”
ท่าทางเช่นนั้น เหมือนกับการแข่งขันกีฬาสีในโรงเรียนประถมเพื่อส่งกำลังใจให้เลย
ซูสือเยว่ถึงกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
เธอพลางเงยหน้าขึ้นเหลือบตามองผู้ชายที่เป็นแกนนำคนนั้น
พฤติกรรมที่ปัญญาอ่อนขนาดนี้ ขนาดซิงหยุนกับซิงเฉินที่เป็นเด็ก 6 ขวบ ยังไม่ยอมทำเลย?
ตอนที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ระเบียงชั้นสองของสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวก็เปิดออก
ซิงกวงที่สวมกระโปรงชุดเจ้าหญิงสีชมพูทั้งชุดก็ลากเก้าอี้ตัวเล็กออกมานั่งไขว่ห้างอยู่ตรงระเบียง ในมือก็ถือโทรโข่งที่รุ่นเดียวกันกับคนที่ถืออยู่ข้างล่าง พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างเย็นชา “ไม่ใช่ว่าใครเสียงดังกว่าแล้วจะมีเหตุผลมากกว่านะ!”
“คุณเอาโทรโข่งมาได้ หนูก็เอามาได้!”
น้ำเสียงตามประสาเด็กของสาวน้อย แต่ว่ากลับมีความเชื่อมั่นและการยืนหยัดที่ยากมากที่ผู้ใหญ่พึงจะมี
“คุณแจ้งข้อกล่าวหาให้เจ้าของสวี่หรง3ข้อหา ในสายตาของหนูมันไม่เป็นความจริงเลย”
“แม้ว่าเจ้าของสวี่หรงจะหน้าตาไม่สวยเลยสักนิด แต่ว่าจิตใจของเธอ กลับสวยงามมาก”
“ถ้าเธอเป็นคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างที่ว่าจริงๆ เธอก็สามารถติดสินบนให้สื่อมวลชนทำข่าวว่าเธอเป็นคนเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ และประกาศหลักสูตรวิชา 1 หยวนของเธอให้ดังกระฉ่อนไปทั่ว เพื่อให้ทุกคนรู้กันทั่วว่าเธอเป็นเจ้าของของสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวที่เสียสละไม่มีนอกไม่มีใน ใช่ไหม?”
“การที่เธอไม่ได้เช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าเธอไม่ใช่คนหน้าเนื้อใจเสือ”
“ยังมีอีก คือว่าการทำร้ายเฉินตานตานในวิชาเรียน…”
“ขอร้องล่ะ นี่มันวิชาศิลปะการป้องกันตัวนะ ตอนที่คุณเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ครูก็ให้คุณได้แก้โจทย์ปัญหา การที่ให้เฉินตานตานขึ้นมาต่อสู้กับครู ก็เพื่อจะได้ตรวจสอบการเรียนของเธอเท่านั้นเอง แต่การเรียนศิลปะป้องกันตัวไม่มีความคืบหน้าสักนิด พอถูกครูเตะเข้าให้ จนสุดท้ายก็ยังพูดว่าครูจงใจรังแกคนเหรอ?”
“ยังมีท้ายสุดของท้ายสุดอีก…”
“ขนาดหนูที่เป็นเด็กน้อยอายุแค่ 6ขวบ ตอนที่เข้าเรียนอนุบาล แก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ไม่ดี ก็ยังถูกครูตำหนิมาเลย”
“ถ้าเป็นเพราะว่าเรื่องพลิกมุมขี้ปะติ๋วแค่นี้ถึงขึ้นทำให้กระโดดตึกแล้วละก็ งั้นปัญหาก็มาจากเธอแล้วแหละ แล้วทำไมยังต้องให้ครูจ่ายค่าเสียหายด้วยล่ะ?”
พูดจบ เด็กน้อยก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางยืนเท้าสะเอว “ถึงอย่างไรพวกคุณกำลังหาเรื่องสร้างปัญหาอย่างไม่มีเหตุผล!”
“ถ้าพวกคุณยังไม่ยอมไป พวกเราจะแจ้งความแล้ว!”
“ถึงเวลานั้นลองดูสิว่าเจ้าของสวี่หรงชดใช้ค่าเสียหาย หรือว่าพวกคุณจะถูกจับกันแน่!”
แม้ว่าคำพูดของสาวน้อยจะน่ารักน่าเอ็นดูก็ตาม แต่ว่าท่าทางกลับไม่แพ้ให้ผู้ใหญ่พวกนั้นสักนิด
คนกลุ่มหนึ่งมองหน้ากัน คนนี้มองหน้าคนนั้น สุดท้ายแล้วกลุ่มนี้ก็พากันเบนสายตาไปทางผู้ชายที่เป็นแกนนำ
ราวกับว่ากำลังรอข้อสรุปของเขาอยู่
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่คิดเลยว่าจะโดนเด็กน้อยอายุ 5 ขวบตอกกลับมาจนตกอยู่ในสภาพนี้
ตอนที่เขากำลังคิดไม่ออกว่าตกลงแล้วจะทำอย่างไรดีนั้น ซิงเฉินกับซิงหยุนก็เปิดประตูระเบียงออกมา พลางยืนด้านหลังของซิงกวงคนละฝั่ง
“ชุยเฉิงเก๋อเป็นคนเมืองหรง ปีนี้อายุ 31 ปี คนเร่ร่อนไม่มีงานทำ เคยเรียนที่โรงเรียนมัธยมอันดับที่4ในเมืองหรง…”
ซิงเฉินมองโทรศัพท์ พร้อมทั้งอ่านเอกสารประวัติของผู้ชายคนนั้นออกมาทำละคำ
ซิงหยุนที่อยู่ด้านข้างก็ยืนกอดอก “คุณชุยพวกเราได้ตรวจสอบเอกสารกันแล้วก็พบว่า เฉินตานตานเป็นแฟนสาวคนปัจจุบันของคุณ”
“ทว่าก่อนหน้านี้คุณกลับบอกกับทุกคนว่า คุณเป็นที่ไม่รู้จักกันแต่ออกมาเรียกร้องให้กับเฉินตานตาน….”
“การที่คุณทำเช่นนี้ คุณทำเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับแฟนสาวจริงๆ ใช่ไหม หรือว่าอยากจะช่วยให้แฟนสาวได้ค่าแบล็กเมล์ให้ได้มากขึ้นหน่อย จากนั้นก็จะได้แบ่งกันได้อย่างยุติธรรมใช่ไหม?”
คำพูดของซิงหยุน มันทำให้ซูสือเยว่อดขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้
ชุยเฉิงเก๋อ
คนคนนี้…เหมือนว่าเธอรู้จักนี่
ตอนที่เธอเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนมัธยมอันดับที่4ของเมืองหรง
ถ้าเธอจำไม่ผิดไป ชุยเฉิงเก๋อก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เคยตามจีบเธอ
แต่ว่าเวลานั้น สมองของซูสือเยว่สนใจแต่ฉิงเซวียน ไม่เคยเหลือบมองเขาสักครั้ง
แต่พอเธอได้เจอหน้าของชุยเฉิงเก๋ออีกครั้ง แค่รู้สึกว่าคุ้นตา แต่นึกชื่อไม่ออก
วันนี้เมื่อได้ยินชื่อที่ซิงเฉินพูดออกมา เธอกลับจำได้ขึ้นมาทันที
น่าจะเป็นสิ่งที่คิดอยู่ในใจแต่โดนซิงหยุนพูดออกมาจนหมดเปลือกต่อหน้าฝูงชนจนทำให้เกิดความรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาบ้างชุยเฉิงเก๋อ ยังเสนอหน้าตั้งคอส่งเสียงแข็งพูดตอบกลับ “หรือว่าฉันไม่สามารถประท้วงความยุติธรรมกับรุ่นน้องซูสือเยว่ของฉันได้เลยเหรอ??”
เขาพูดอย่างเย็นชา และยืนกอดอกไปด้วย
“รุ่นน้องของฉัน เป็นนักแสดงสาวสวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในวงการบันเทิง ก่อนหน้านี้ยังได้รับการโหวตให้เป็นนักแสดงหญิงดีเด่น!”
“ต่อมาเธอเกิดเรื่องขึ้นจนไม่รู้หายหน้าหายตาไปไหน หลังจากนั้นฉินโม่หานก็เริ่มตามจีบสวี่หรงคนนี้ทันที”
“ที่ฉันมาที่นี่ ความจริงแล้วไม่ใช่เพื่อตัวเอง และก็ไม่ใช่เพื่อเฉินตานตาน แต่มาเพื่อซูสือเยว่!”
คำพูดของชุยเฉิงเก๋อ พลันเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนโดยรอบได้
ก่อนหน้านี้ซูสือเยว่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก อีกทั้งฉินโม่หานยังมีการแถลงข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างโด่งดัง คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครที่จะไม่รู้ว่าซูสือเยว่เป็นใคร
กลุ่มฝูงชนเริ่มกระซิบถกเถียงกันแล้ว
“ใช่สิ ซูสือเยว่สวยขนาดนั้น… ช่างน่าเสียดาย”
“สายตาท่านชายฉินที่ก็ขัดหูขัดตาจริงๆ เลย…เมียคนก่อนสวยหยาดเยิ้มขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับมาถูกใจสวี่หรง… นี่มันเรื่องตลกอะไรเนี่ย?”
“ใช่ๆ ถ้าฉันเป็นเพื่อนกับซูสือเยว่ ฉันก็รับไว้ไม่ไหว!”
“……”
เมื่อเห็นว่าตนเองใช้ประโยชน์จากซูสือเยว่ได้ จนสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเข้าข้างตัวเองแล้ว สีหน้าของชุยเฉิงเก๋อก็ฉายแววภาคภูมิใจขึ้นมาทันควัน
เขาส่งเสียงฮึมฮัมออกมา พลางเงยหน้าจ้องมองเด็กๆ ทั้งสามคนที่อยู่บนระเบียง “ทุกคนต่างพูดกันว่าหน้าตาแสดงถึงสภาพจิตใจขอคนเรา สวี่หรงหน้าตาทุเรศอัปลักษณ์ จิตใจก็ต้องทุเรศตามด้วย”
“พวกเราก็แค่เรียกร้องความเป็นธรรมแทนสวรรค์เท่านั้นเอง!”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ซูสือเยว่อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา “เหรอ?”
หญิงสาวที่นั่งดูความครื้นเครงอยู่ในรถพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เปิดประตูรถลงมา นัยน์ตากวาดตามองชุยเฉิงเก๋อแวบหนึ่ง “สิ่งที่คิดอยู่ในใจแสดงออกทางสีหน้าเหรอ?”
“ถึงขั้นสิ่งที่คิดอยู่ในใจแสดงออกทางสีหน้า แล้วทำไมตอนนี้คุณชุยยังไม่ได้เสียโฉมไปล่ะ?”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ชุยเฉิงเก๋อชะงักทันที
ชั่วครู่ เขาก็เข้าใจความหมายของเธอ พลันโกรธกระฟัดกระเฟียดขึ้นมา
“อีคนหน้าตาอัปลักษณ์ แกหมายความว่ายังไง!”
ซูสือเยว่ยังไม่ทันได้ตอกกลับ ประตูรถด้านหลังของเธอก็เปิดออก
ชายหนุ่มลงจากรถ พร้อมทั้งเริ่มพูดเอื้อนเอ่ยออกมา “ความหมายคือ จิตใจของคุณมันทุเรศเหลือเกินไง”