คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้ตัวซูสือเยว่ตะลึงหนักมาก!
จิตใต้สำนึกสั่งการ เธอเริ่มดิ้นรนอย่างไม่คิดชีวิตขึ้นมาทันที “ท่าน…ท่านชายฉิน…”
เธอทั้งดิ้นรน ทั้งอยากจะรักษาสถานะการเป็น “สวี่หรง” ของตนเองเอาไว้
“พวกเรายังไม่ค่อยสนิทกันนะ…”
เดิมซูสือเยว่คิดว่า ตนเองพูดว่าไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับฉินโม่หานสักเท่าไหร่ สามารถตักเตือนฉินโม่หานได้ ว่าตอนนี้สถานะของเธอกับเขานั้น ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
แม้ว่าเธอรู้ว่าฉินโม่หานรู้ถึงตัวตนของเธออย่างชัดเจนแล้วตั้งแต่แรกก็ตาม
แต่ว่าที่เขาไม่ได้เปิดเผยเธอตลอดทั้งวัน ก็น่าจะเคารพอารมณ์ของเธอที่อยากจะปลอมตัวอยู่ตลอดเวลา
ทว่าเธอไม่คาดคิดเลยว่า …
หลังจากที่เธอหลุดปากพูดคำพูดนี้ออกไปแล้ว ฉินโม่หานกลับแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมาแทน “ไม่ค่อยสนิทกันเหรอ?”
“คุณนายฉิน คำพูดเหล่านี้ตอนที่คุณหลุดปากพูดออกมานั้น หน้าไม่แดงขึ้นมาบ้างเหรอ?”
มือข้างหนึ่งจับเอวคอดกิ่วของเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา ส่วนมืออีกข้างก็ลูบไล้บนแก้มตอบของเธออย่างแผ่วเบา
“ระหว่างผมกับคุณ มีลูกมาด้วยกันตั้งสามคนแล้ว ตอนนี้คุณยังมาพูดกับผมว่าพวกเราไม่สนิทกันเหรอ?”
ซูสือเยว่เบิกตาโต
นี่เขา…
เปิดเผยความจริงแล้ว ไม่ต้องเสแสร้งต่อไปแล้วสิ?
ประมาณว่าจับความสงสัยที่อยู่ในใจของเธอได้ ชายหนุ่มฉีกยิ้มออกมา พลางกระซิบต่ำๆ และนำพาลมหายใจอันร้อนผ่าวของชายหนุ่มพ่นรดลงบริเวณใบหูของซูสือเยว่
“ตอนแรกผมก็อยากจะผสมโรงแสดงเป็นเพื่อนกับคุณนายฉินต่ออีกสักระยะ”
“แต่ว่าทำไมคุณนายฉินพูดออกมาว่าพวกเราไม่สนิทกันล่ะ หือ?”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้หัวใจของซูสือเยว่กระวนกระวายใจขึ้นทันที
เธอเม้มริมฝีปากเอาไว้ “ท่าน…ท่านชายฉิน คุณอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะ!”
“สุ่มสี่สุ่มห้าเหรอ?”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มออกมา นิ้วเรียวยาวลากไล้ลงบนเส้นโค้งบนโหนกแก้มของเธอ และรอยยิ้มปรากฏอยู่บนมุมปาก “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงหนัง อากัปกิริยาที่คุณนายฉินแสดงออกมาอย่างนั้น ถือว่าเรียกว่าสุ่มสี่สุ่มห้าเหรอ?”
“ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าผมไม่สามารถอดกลั้นยับยั้งกับคุณได้ ยังจงใจจู่โจมจูบผมก่อนอีก…”
“ผมอยากจะถามคุณนายฉินกลับสักหน่อย ทำไมถึงได้ทำอะไรแบบสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ”
ลมหายใจและน้ำเสียงของชายหนุ่มอันตรายเกินควรแล้ว ซูสือเยว่รู้สึกว่าสภาพของตนเองในเวลานี้เหมือนกับเนื้อเข้าปากเสือจนแล้วจนรอด ซึ่งไม่สามารถหลุดรอดพ้นเงื้อมมือกรงเล็บของชายหนุ่มได้เลย
เธอเม้มริมฝีปากเอาไว้ เพื่อพยายามรักษาน้ำเสียงของตนเองให้เป็นเสียงปกติ “ฉินโม่หาน พวกเรา…พวกเราไม่สามารถ….ต่อหน้าเด็กๆ ….อื้อ–!”
หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของฉินโม่หานก็จูบลงมาอย่างหนักหน่วงทันที
ซูสือเยว่เบิกตาโต พร้อมทั้งดิ้นรนพยายามขัดขืน ทว่าไม่ว่าจะดื้นรนยังไงก็ดิ้นไม่หลุดสักที
ตำแหน่งไม่ไกลนัก ซิงหยุนก็ปิดตาซิงกวงเอาไว้ “ไม่เหมาะสำหรับเด็ก”
ซิงเฉินถอนหายใจออก พลางดึงมือซิงกวง มุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวทันที “ห่างเหินไปนานแล้วกลับมาเจอกันใหม่ พวกเขาต้องอ้อยอิ่งกันอีกนาน”
“พวกเราไปเล่นหมากรุกกับคุณตาสองคนที่อยู่ด้านในดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าเงาของเด็กๆ ทั้งสามคนที่เป็นลูกของตนเองเดินไปไกลแล้ว แววตาของซูสือเยว่ก็ปรากฏความเบื่อหน่ายออกมาเล็กน้อย
เจ้าสามแสบทั้งสามคนนี้นะ!
เดิมเธอก็อยากจะยกพวกเขาสามคนมาเป็นข้ออ้าง เพื่อไม่ให้ฉินโม่หานกล้าทำกับเธออะไรมากมายนัก!
แต่ผลที่ได้คือ…
พวกเขาวิ่งกันอย่างเร็วจี๋กว่าใครๆ เสียอีก!
เมื่อเห็นดวงตาของหญิงสาวที่อยู่อ้อมกอดเอาแต่มองไปทางเจ้าสามแสบที่หายไป ริมฝีปากของฉินโม่หานค่อยๆ คลี่ออกมาทันที
ชายหนุ่มตรึงปลายคางของซูสือเยว่เอาไว้ พร้อมทั้งใช้เสียงทุ้มต่ำที่ปะปนด้วยความเสน่หาที่ยากจนทำให้คนมองไม่ออก “ถึงขั้นที่ว่ายังมีความคิดที่มองไปทางพวกเขาทั้งสามคน …นั่นก็หมายความว่าผมยังลงแรงไม่หนักพอ”
พูดจบ เขาก็อุ้มซูสือเยว่ขึ้นมาทันที และเดินสาวเท้ายาวๆ ออกไปจากสถานฝึกศิลปะป้องกันตัวทันที
ไม่คิดเลยว่าเขาจะอุ้มร่างกายของตนเองขึ้นมา ซูสือเยว่ทั้งตื่นตระหนกทั้งสับสน เลยรีบเอาศีรษะของตนเองมุดเข้าไปแนบแผงอกของเขา แล้วกระซิบเสียงทุ้มต่ำ
“ฉินโม่หาน คุณจะทำอะไร?”
“คุณ”
ริมฝีปากบางของชายหนุ่ม เผยอเล็กน้อย จากนั้นก็พูดตรงๆ ออกมาคำเดียว
วินาทีนั้นสมองของซูสือเยว่ตกตะลึงทันที
นี่มันคำตอบบ้าบออะไรกัน?
เธอถามเขาว่าทำอะไร
เขากลับตอบคำถามว่าคือเธองั้นเหรอ?
นี่คือ…
สมองของเธอหยุดแล่นไปหลายวินาที ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของชายหนุ่ม
เธอเม้มริมฝีปากเอาไว้ พร้อมทั้งใช้มือของหนึ่งกำหมัดขึ้นมาจากนั้นก็ต่อยลงบนไหล่ของเขา “คุยกันดีๆ ก่อนได้ไหม?”
“ผมก็คุยกับคุณดีๆ มาตลอดเวลานี่ไง”
ริมฝีปากของชายหนุ่มเผยอขึ้น “ผมจองห้องที่โรงแรมแล้วนะ”
“ที่บ้านมีทั้งคนแก่มีทั้งเด็ก ไม่สะดวกเท่าไหร่”
น้ำเสียงเขาเป็นทางการมาก แต่ทำให้ใบหน้าของซูสือเยว่อายจนหน้าแดงแจ๋ทันที
ทำไมเขาถึงได้พูดราวกับกำลังพูดคุยเรื่องงาน และพูดเรื่องพรรค์นี้อย่างเป็นทางการไปได้นะ!
“ฉันยังไม่ตอบตกลงเลยว่าจะนอนกับคุณ…”
น้ำเสียงของซูสือเยว่ทุ้มต่ำ พร้อมทั้งบ่นพึมพำ
แม้ว่าปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ในความจริงแล้ว …
เธอเองก็ห่างเหินจากเขาไป มันเนิ่นนานเกินไปแล้วจริงๆ
ตั้งแต่ตอนที่ฉินโม่หานเริ่มแกล้งแสดงละครตบตากับหยางชิงโยว เธอก็ไม่ได้มีอะไรกับเขามาตลอด
ความจริงแล้วพูดได้เลยว่า…
เธอเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ถวิลหาความรู้สึกที่เคยได้รับ…
แต่ว่า…
ฉินโม่หานอุ้มเธอเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น พร้อมทั้งเดินมุ่งหน้าไปยังโรงแรมที่อยู่ด้านนอก และหัวเราะออกมาเล็กน้อย “แต่ว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณร้องขอออกมาทั้งหมดเหรอ?”
ซูสือเยว่ชะงักเล็กน้อย “ฉันร้องขอออกมาเหรอ?”
เธอไปร้องขอเรื่องพรรค์นี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?
“ตอนเช้าไง”
ราวกับเมื่อคาดเดาได้ว่าเธอต้องไม่เข้าใจอย่างแน่นอน ชายหนุ่มทั้งเดินไป พร้อมทั้งอธิบายอย่างละเอียด “ตอนเช้าเจ้าของสวี่บอกว่าต้องการให้ผมฝึกวิชาเป็นเพื่อนคุณ คุณลืมไปแล้วเหรอ?”
พูดจบ ฉินโม่หานอุ้มเธอขึ้นลิฟต์เรียบร้อยไปแล้ว
ไม่นานนัก ลิฟต์ก็มาถึงชั้นบนสุด
ซูสือเยว่เลิกคิ้ว สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะตอบโต้กลับเขาไป “แต่ฉันบอกว่าฝึกวิชา ไม่ใช่เรื่องนี้สักหน่อย!”
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องพักของโรงแรมอย่างคล่องแคล่ว พลางโยนตัวหญิงสาวลงบนเตียงใหญ่อันอ่อนนุ่มอย่างไม่ยั้งมือ จากนั้นดึงเนกไทออกอย่างสง่างาม “วันนี้ให้สามีเป็นคนสอนคุณแล้วกันนะ”
“ว่าการฝึกวิชาบนเตียง มันฝึกยังไง”
หลังจากดึงเนกไทออกแล้ว เขาก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทันที
ทั้งๆ ที่เป็นอากัปกิริยาอันแสนสง่างามมาก แต่ในสายตาของซูสือเยว่ กลับเซ็กซี่เร้าใจเหลือทน
เขาเอาเนกไทและเสื้อเชิ้ตโยนลงบนตัวเธอ ริมฝีปากพลันมีรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ปรากฏออกมา “คืนนี้ ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะบนเตียงหรือใต้เตียง…”
“ว่าคุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม”
พูดจบ ร่างกายของชายหนุ่มก็กดทับลงมาทันที และจูบลงตรงปานดำอันแสนอัปลักษณ์ที่อยู่บนใบหน้าของเธอ
ซูสือเยว่เบิกตาโพลง พลางผลักตัวเขาออก “ดะ…เดี๋ยวสิ!”
เธอยังไม่ลืมว่า บนใบหน้าของเธอตอนนี้ มันเป็นการแต่งหน้าเอฟเฟกต์ให้ดูอัปลักษณ์อยู่!
หญิงสาวเม้มริมฝีปากเอาไว้ พร้อมทั้งผลักเขาออกอย่างเอาเป็นเอาตาย “ฉันไปล้างเครื่องสำอางออกก่อน!”
“ไม่ต้องแล้ว”
ชายหนุ่มกักตัวเธอให้อยู่ในอ้อมกอด “สือเยว่ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน”
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากเอาไว้ “แต่ว่า คนที่คุณคิดถึง น่าจะเป็นฉันคนเดิม ซูสือเยว่นะ ไม่ใช่สวี่หรง!”
เธอไม่สามารถจินตนาการออกเลยว่า ทำไมฉินโม่หานถึงได้จูบหน้าตาอันแสนอัปลักษณ์ของตนเองแบบนี้ได้อย่างไร
“ฉันขอไปล้างหน้าเอาเครื่องสำอางออกก่อน!”
“ขอ 2 นาทีก็เสร็จแล้ว!”
ฉินโม่หานยังคงกอดเธอเอาไว้แน่นไม่ยอมแพ้ “ผมก็พูดแล้วไงว่าผมไม่สนใจ”
นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มลูบไล้ผ่านปานและรอยแผลเป็นที่อยู่บนหน้าของเธอ “อย่าพูดว่าพวกนี้เป็นของปลอม…”
“แม้ว่ามันเป็นของจริง ผมก็ไม่สนใจเลย”
“ซูสือเยว่”
เขาจ้องมองใบหน้าของเธออย่างจริงๆ จังๆ แววตาจับจ้อง “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมชอบตัวตนที่เป็นคุณ มาโดยตลอด”
“ไม่ว่าคุณจะหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นไรทั้งสิ้น”
พูดจบ เขาก็เชิดปลายคางของเธอขึ้น พลางจุมพิตลงอย่างหนักหน่วง “ไม่ว่าหน้าตานี้จะเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ผมก็ชอบทั้งนั้น”
“คุณเป็นภรรยาของผม ชั่วชีวิตเป็นของผมทั้งนั้น”