ไม่ใช่ความรักเหรอ?
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วเอาไว้ และยังอยากถามฉินโม่หานเรื่องเกี่ยวกับฉินหลิงยี่และเย่เชียนจิ่ว แต่ชายหนุ่มกลับไม่ให้โอกาสเธอพูดแล้ว
การจูบของเขาทั้งบ้าคลั่งทั้งเอาแต่ใจ จนกอดรัดตัวของซูสือเยว่ไว้หมดแล้ว
เดิมหญิงสาวก็ยื่นมือออกไปผลักตรงแผงอกของเขาออก แต่ไม่ว่าจะผลักยังไงก็ผลักไม่หลุดสักที
ความอัดอั้นมานานของชายหนุ่มเขาไม่สนใจอีกแล้วว่าเธอจะยอมหรือไม่ยอม พลางบุกทะลวงเข้าหาด้านในอย่างกล้าหาญชาญชัยทันที
ตัวเธอเองยังไม่พร้อมด้วยซ้ำ ชายหนุ่มก็บุกเข้าใส่แล้ว
พลางมีเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของคนทั้งสองคนที่ไม่ได้ลงมือทำร่วมกันมานานดังออกมาพร้อมกัน
การหายใจติดขัด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ บรรยากาศผิดไม่เป็นจังหวะ สายสัมพันธ์ระหว่างหญิงชายก็คลุมเครือไม่เป็นจังหวะ
พระจันทร์สว่างในคืนเดือนหงายส่องแสงจันทร์สะท้อนขอบผ้าม่านลอดเข้ามาในห้องที่มีคนสองคนกำลังกกกอดพร้อมกับเหงื่อไหลเต็มตัว ทุกอย่างช่างโรแมนติกอย่างพอดีพอเหมาะ
ค่ำคืนอันบ้าคลั่ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซูสือเยว่ถูกเสียงโทรศัพท์ดังลั่นจนปลุกให้ตื่น
เธอควานหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนตู้หัวเตียงอย่างเบลอๆ พลางหลับตาลงและกดรับสายทันที
“ท่านชายฉินคะ ฉันคือ หนานยีโหรวที่คุณเคยนัดไว้ก่อนหน้านี้ คุณยังจำฉันได้ไหม? ครั้งที่แล้วที่คุณยังชมว่าฉันสวยมากอยู่เลย”
โทรศัทพ์ดังขึ้น เป็นเสียงของหญิงสาวอันอ่อนโยนหวานติดหูดังออกมาจากปลายสาย
“ตอนนี้ฉันอยู่ใต้ตึกของฉินซื่อกรุ๊ปแล้วค่ะ ทางเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์หน้าเคาน์เตอร์บอกว่าท่านยังมาไม่ถึงบริษัทเลย ไม่รู้ว่าวันนี้ท่านจะเข้ามาที่บริษัทหรือเปล่า”
“ดังนั้นฉันเพิ่งคิดขึ้นได้ว่า ครั้งที่แล้วท่านเอาเบอร์โทรศัพท์ให้ฉันไว้แล้ว ฉันเลยถือวิสาสะออกตัวโทรหาท่านเองเลย…”
ซูสือเยว่ตะลึงทันที ถึงได้เข้าใจว่า โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเธอนั้นความจริงเป็นของฉินโม่หานเหรอ?
เธอเลิกคิ้ว ยังไม่ทันพูดได้ทันเลย เสียงหญิงสาวปลายสายก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านชายฉิน ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไรออกมาเลยคะ?”
“ฉัน…คงไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านอยู่ใช่ไหมคะ?”
ซูสือเยว่หรี่ตาลง น้ำเสียงบิดขี้เกียจ “คุณไม่ได้รบกวนเขา…แต่คุณรบกวนฉันต่างหาก”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้หนานยีโหรวที่อยู่ปลายสายตัวแข็งทันที
ไม่นานนัก เธอเริ่มพูดเสียงแหลมปรี๊ดขึ้นมาทันที แถมน้ำเสียงห้วนๆ ไม่ได้หวานไม่ได้อ่อนโยนอีกแล้ว
“คุณเป็นใคร?”
“ฉันเป็นภรรยาของฉินโม่หาน”
ซูสือเยว่หาวออกมา พลางลืมตาลุกจากที่นอน
แวบเดียว ก็เห็นผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาอยู่ไม่ไกลนัก
เขากำลังกอดคอมพิวเตอร์นั่งทำงานอยู่ ในเวลานี้ก็ได้ยินว่าเธอรับโทรศัพท์ให้ พลางยิ้มให้ตอนมองมาที่เธอแต่ไม่ได้พูดอะไร
ท่าทางเช่นนั้น ราวกับว่ากำลังหัวเราะเยาะที่หยิบโทรศัพท์ผิด
ซูสือเยว่เลิกคิ้วให้ แถมจ้องมองเขาอย่างไม่ถูกใจ พลางกดเปิดลำโพงในโทรศัพท์ทันที
ดังนั้น เสียงปลายสายอันแสนเย็นชาและจงใจทำของหนานยีโหรวดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งห้อง
“นี่คุณล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย?”
“ภรรยาของท่านชายฉิน ไม่ใช่คนที่แล้วที่อยู่ในวงการแล้วไปไม่รอด จนสุดท้ายซูสือเยว่หายตัวไปไม่ใช่เหรอ?”
“ท่านชายฉินหาตัวเธอมานานขนาดนี้ก็หาตัวไม่เจอ ทำไมจู่ๆ ถึงปรากฏตัวขึ้นได้ล่ะ แถมยังมารับโทรศัพท์ของเขาอีก”
“พูดโกหกก็ไม่ทำให้เนียนหน่อยเหรอ!”
ซูสือเยว่ฟังเสียงปลายสายของหญิงสาวไปด้วย พร้อมทั้งกอดอกไปด้วย สายตาจ้องมองใบหน้าของฉินโม่หานอย่างเย็นชา
ความหมายนั่นมันเหมือนกับกำลังพูดอยู่ว่า
“ถูกฉันจับได้ว่าคุณไปมีผู้หญิงอยู่ข้างนอกแล้วสิ?”
แต่ว่าว่าชายหนุ่มที่ถูกซูสือเยว่ถลึงตาใส่ไม่ได้กลัวเลยสักนิด ในทางกลับกันยังยิ้มให้พลางปิดคอมพิวเตอร์อีกด้วย จากนั้นก็เอนแผ่นหลังพิงโซฟาอย่างสง่างาม พร้อมทั้งจ้องมองซูสือเยว่ เหมือนว่ากำลังดูละครอยู่
ซูสือเยว่กลอกตามองบน
ผู้ชายของเธอ เธอถือว่าเข้าใจอยู่
อย่าพูดเลยมันเป็นไม่ได้เลยที่ฉินโม่หานจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีเธออยู่ข้างกายแล้วมีผู้หญิงอยู่ข้างนอก
ถ้ามีแล้ว ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่หลงตัวเองจองหองพองขนประเภทนี้
“คุณพูดมาเดี๋ยวนี้! ตกลงว่าคุณเป็นใครกันแน่?”
เมื่อเห็นทางฝั่งของซูสือเยว่ไม่ได้พูดไม่จาอะไรหนานยีโหรวเริ่มแสดงอาการร้อนรนออกมา “ฉันจะบอกคุณให้นะ ตำแหน่งข้างกายของฉินโม่หาน ฉันเป็นตัวจริงแล้ว”
“ถ้าคุณเข้าใจความหมายแล้วละก็ งั้น …”
“ฉันคือสวี่หรง”
ซูสือเยว่คลี่ยิ้ม พลางอ้าปากตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หญิงสาวที่อยู่ปลายสายเริ่มเงียบอยู่หลายวินาที
จากนั้น เสียงของหนานยีโหรวก็สูงปรี๊ดอย่างตกตะลึง
“แกก็คือสวี่หรงคนอัปลักษณ์คนนั้น!?”
บนโลกออนไลน์มีเรื่องราวข่าวเกี่ยวกับคนที่สวี่หรงไปทำร้ายจนคนเขาไปกระโดดตึกยังสะพัดไปทั่ว บางข่าวยังมีข่าวที่ฉินโม่หานตามจีบสวี่หรงอยู่บ้างประปราย
ที่แท้หนานยีโหรวไม่เชื่อข่าวพวกนี้ที่เล่าลือกันมา!
ทว่าตอนนี้ โทรศัพท์ของฉินโม่หานกลับกลายเป็นสวี่หรงรับโทรศัพท์เหรอ!?
ซูสือเยว่ยิ้มให้
เธอกำลังสวมใส่เสื้อผ้าและชุดชั้นในตัวใหม่ที่ฉินโม่หานเป็นคนตระเตรียมไว้ให้ตรงข้างเตียงอีกฝั่งหนึ่ง พลางยักไหล่ขึ้น “ใช่สิ ฉันก็คือสวี่หรงคนอัปลักษณ์คนนั้นแหละ”
“แม้ว่าฉันจะหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ว่าฉินโม่หานชอบนี่หน่า”
“ใช่สิ หรือว่าคุณไม่รู้สึกเอะใจ ว่าทำไมโทรศัพท์ของเขาฉันถึงเป็นคนรับสายเหรอ?”
ซูสือเยว่คลี่ยิ้ม “เพราะว่าเมื่อวานนี้พวกเราหลับนอนด้วยกันแล้ว”
“ตอนนี้เขาหลับอยู่ยังไม่ตื่นเลยเนี่ย”
“ให้ฉันเรียกปลุกเขาให้ตื่น มาคุยกับคุณไหม?”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้เสียงของหนานยีโหรวสูงปรี๊ดเสียดหูขึ้นมาทันที
“แกพูดมั่ว!”
“แม้ว่าฉันจะไม่ได้ดูดีสวยเท่าซูสือเยว่ แต่ว่าเมื่อเอามาเปรียบกับคนอย่างคุณแล้ว ฉันสวยกว่าคุณพันเท่า!หมื่นเท่าเลยแหละ!”
“ท่านชายฉินจะไปตกหลุมรักคุณได้ยังไง!?”
เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวสูงปรี๊ดอย่างไม่สบอารมณ์ ฉินโม่หานถอนหายใจเล็กน้อย พลางใช้มือกำเป็นกำปั้นวางตรงริมฝีปากและกระแอมส่งเสียงออกมา จากนั้นก็เริ่มเปิดปากพูด
“คุณหนาน”
เมื่อคำง่ายๆ หลุดออกมาจากปาก พลางเกิดเสียงดังลั่น “ตุ๊บ” ดังออกมาจากปลายสาย
ชั่วครู่ เสียงปลายสายโทรศัพท์มีเสียงการเก็บโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงอ่อนหวานหยาดเยิ้มของหนานยีโหรว
“ท่าน…ท่านชายฉิน!”
“อื้อ”
น้ำเสียงของฉินโม่หานพูดตามปกติ “สิ่งที่คุณออกมาเมื่อครู่ ผมได้ยินทั้งหมดแล้ว”
ชายหนุ่มเปลี่ยนท่วงท่าเอนหลังพิงโซฟาอย่างสบาย พลางดึงซูสือเยว่ที่กำลังเดินผ่านด้านข้างเขาเข้าสู่อ้อมกอด และกอดเธอเอาไว้แน่น มุมปากข้างหนึ่งมีรอยยิ้มอันแสนเย็นชาออกมา
“ก่อนหน้านี้ที่ผมให้เบอร์โทรศัพท์คุณไป ก็เพื่อให้คุณเอาไว้ตอนที่มาถึงบริษัท สามารถมาหาผมได้โดยตรงได้ทันเวลา ถึงอย่างไรหน้าตาของคุณหนานก็ดูธรรมดาเช่นนี้ ทางเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์หน้าเคาน์เตอร์ก็มองไม่ออก ว่าคุณหนานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ผมกลัวว่าพวกเขาไม่ปล่อยให้คุณเข้ามา”
“แต่ว่า…”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม น้ำเสียงเยือกเย็นสุดโต่ง “คุณหนานเอาข้อสรุปมาจากไหนกัน ที่รู้สึกว่าคุณมีคุณสมบัติพอ ที่กลายเป็นคนที่จะยืนเคียงข้างผม?”
คำพูดของฉินโม่หาน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ปลายสายกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
เธอเม้มริมฝีปาก น้ำเสียงติดๆ ขัดๆ “ท่าน…ท่านชายฉิน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้”
“ฉัน…ฉันแค่รู้สึกว่าอาศัยความสามารถโดยเฉพาะทางของฉันแล้ว คุณก็ให้ค่ากับฉัน ฉันจะกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของคุณในวันข้างหน้า…”
“ฉันไม่ได้…ไม่ได้หมายถึงมีการวางแผนอื่นๆ กับคุณเลย”
“เหรอ?”
ฉินโม่หานเลิกคิ้ว น้ำเสียงเย็นชา “คำพูดของคุณเมื่อครู่ ผมได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ”
“คุณหนานรู้สึกว่าหูผมไม่ดีเหรอ หรือว่ามีปัญหาในการเข้าใจในความหมายเหรอ?”
หน้าผากหนานยีโหรวผุดเม็ดเหงื่อเย็นๆ ออกมาเต็มไปหมด
“ฉัน…”
“ฉัน…”
“คุณหนาน”
น้ำเสียงของฉินโม่หานดูเป็นปกติ “คุณถูกยกเลิกสัญญาการว่าจ้างแล้ว”
“แม้ว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ในเมืองหรงไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล”
“ถึงขั้นเมืองหรงไม่มีก็ตาม เมืองอื่นๆ ก็ยังมี ผมสามารถหาคนได้”
“พฤติกรรมและศีลธรรมส่วนบุคคลย่ำแย่เกิน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีความรู้ทางด้านเฉพาะทางมากสักแค่ไหน ผมก็ไม่ว่าจ้างคุณ”
พูดจบ ฉินโม่หานก็ทำท่าทีอยากจะตัดสายทิ้ง
“ท่านชายฉิน!”
เสียงหนานยีโหรวที่อยู่ปลายสายเริ่มเสียงดังขึ้นมา
“ฉันผิดไปแล้ว!”
“ฉันผิดไปแล้วจริงๆ!”
“ท่านไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพกว่าฉันคนที่สองในเมืองหรงได้ในขณะนี้ ก่อนหน้านี้ท่านก็พูดแล้ว ว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลของท่านคนก่อนลาออกไปแล้ว ท่านเลยต้องการคนอย่างฉัน ….ท่านคิดทบทวนให้ดีๆ ก่อน!”
“ท่านอย่า…อย่า…”
“อย่าเสียเวลาให้เปล่าประโยชน์เลย”
หลังจากพูดคำไม่กี่คำออกมา ฉินโม่หานอยากตัดสายทิ้ง ทว่ากลัวถูกซูสือเยว่ห้ามเอาไว้ก่อน
“คุณหนานถึงขั้นที่รู้ว่าตนเองผิดแล้ว งั้นก็ให้โอกาสเธอสักครั้งดูไหม?”
เธอเองก็เพิ่งจะกลับมาอยู่เคียงข้างฉินโม่หาน ไม่อยากให้เรื่องงานต้องล่าช้าเพราะว่าตนเองเป็นเหตุ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหนานยีโหรวคนนี้จะคิดไม่ซื่อก็ตาม แต่เธอก็เชื่อมั่นในตัวของฉินโม่หาน
ฉินโม่หานหรี่ตาลง แต่ยังคงตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ไปทางด้านข้าง ชายหนุ่มดึงซูสือเยว่เข้าสู่อ้อมกอด พร้อมทั้งจูบอย่างหนักหน่วง
“เรื่องไหนที่ทำให้คุณไม่สบายใจ ผมก็ไม่อยากจะทำทั้งนั้น”