การจูบอย่างเร่าร้อนและคำพูดออดอ้อนของชายหนุ่ม ทำให้ซูสือเยว่ลืมเสียสนิทว่าตนเองควรจะพูดอะไร หรือควรทำอะไรต่อ
ชั่วครู่ รอให้ฉินโม่หานยอมปล่อยเธอเพื่อเตรียมกินอาหารเช้า เธอถูกจูบจนสมองเบลอขาวโพลนไปจนในที่สุดก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิมจนได้
รอจนถึงตอนที่ชายหนุ่มยกอาหารเช้าของคนสองคนเข้ามานั้น โทรศัพท์ของฉินโม่หานก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อดูเบอร์โทรศัพท์ที่แสดงบนหน้าจอ ซูสือเยว่ก็มองออก เบอร์นี้ยังคงเป็นเบอร์ของหนานยีโหรวที่โทรศัพท์เข้ามาเมื่อครู่
เธอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนวินาทีที่ชายหนุ่มจะกดตัดสายโทรศัพท์นั้น ก็มีมือพุ่งเข้ามาหาฉินโม่หาน “ฉันเอง”
ฉินโม่หานเลิกคิ้วให้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ถึงได้เอาโทรศัพท์ที่อยู่ในมือยื่นให้กับเธอ
ซูสือเยว่กดรับสาย จากนั้นก็ฟัง
“ท่านชายฉิน”
เสียงอันนอบน้อมของหญิงสาวที่อยู่ปลายสายดังขึ้น “ฉันต้องการงานนี้จริงๆ ท่าน…”
“คุณสามารถทำงานที่บริษัทได้เลย”
ซูสือเยว่สูดลมหายเข้าใจลึกๆ แต่น้ำเสียงเย็นเฉียบ “เนื่องจากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่ฉินซื่อกรุ๊ปต้องการตัว ฉันเองก็ไม่อยากให้สาเหตุเป็นเพราะว่าฉัน เลยทำให้บริษัทต้องวุ่นวายไปด้วย”
“แต่ว่าคุณหนาน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ ว่าคนประเภทไหนเป็นคนที่ไม่ควรจะคิดเกินเลย”
“ครั้งนี้ฉันสามารถช่วยเกลี้ยกล่อมฉินโม่หานให้คุณอยู่ต่อได้ แต่ถ้ามีครั้งหน้า ฉันก็จะไม่ไว้หน้าคุณ”
หนานยีโหรวที่อยู่ปลายสายนั้นเริ่มเงียบขรึมลงเยอะ จนสุดท้ายมีเสียงสูดลมที่จมูก “ฉัน…ฉันรู้แล้ว”
“ฉันจะไม่ทำผิดแบบนี้ซ้ำสอง…
“อืม”
หลังจากที่ได้ยินคำรับปากจากเธอแล้ว ซูสือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางกดวางสาย
“ผมพูดแล้วนะ ว่าทางบริษัทสามารถหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเธอด้วยซ้ำ”
ฉินโม่หานมือข้างหนึ่งก็ยื่นตะเกียบให้ซูสือเยว่ พร้อมทั้งเหลือบมองเธออย่างเบื่อหน่าย “ครั้งนี้หนานยีโหรวทำเป็นครั้งแรก เดี๋ยวก็ต้องมีครั้งที่สองเกิดขึ้น”
“แล้วคุณถึงขั้นวางใจให้ผมกับผู้หญิงประเภทนี้อยู่ใกล้ชิดกันเหรอ?”
ซูสือเยว่ฉีกยิ้ม “คุณไม่ทำหรอก”
พูดจบ เธอก็หาวหวอดออกมา จากนั้นก็ชำเลืองมองโครงใบหน้าที่ดุร้ายเด่นชัดออกมาของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าคุณจะเอาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของตัวไปเที่ยวไปแจกให้กับพนักงานผู้หญิงในบริษัท”
“ส่วนหนานยีโหรว ยังเป็นพนักงานผู้หญิงที่ยังไม่ได้ทำงานด้วยซ้ำ นี่มันก็แปลกมาก ไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นคือ เมื่อมาถึงบริษัทก็มุ่งหน้ามาหาคุณโดยตรงเลย แค่พนักงานประชาสัมพันธ์หน้าเคาน์เตอร์สามารถบอกกับเธอได้โดยตรงเลย ว่าตกลงวันนี้คุณจะเข้าไปบริษัทหรือเปล่า เธอไม่มีความจำเป็นต้องโทรศัพท์หาคุณเองเลยด้วยซ้ำ ถูกต้องไหม?”
ฉินโม่หานหรี่ตาลง พลางทำทีท่าแกล้งกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมต่อไป พลางเลิกคิ้วชำเลืองมองเธอ “คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“สมองของคุณฉินยังคงใช้งานได้เต็มที่ขนาดนี้”
ซูสือเยว่ฉีกยิ้มพลางมองเขา นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้มเบื่อหน่ายอยู่บ้าง “ฉันคิดว่าอาศัยความเฉลียวฉลาดของคุณแล้ว คงไม่พลาดท่าเสียทีกับเรื่องขี้ปะติ๋วพรรค์นี้หรอก”
“อีกอย่างเมื่อครู่โทรศัพท์ก็ดังอยู่ที่หัวเตียงนานมาก ทั้งๆ ที่คุณก็นั่งอยู่ในห้องซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉัน แต่คุณกลับไม่คิดจะรับโทรศัพท์ นั่นเป็นเพราะว่าอะไรล่ะ?”
“เพราะว่าคุณหวังให้ฉันเป็นคนรับโทรศัทพ์แทน หวังให้ฉันรู้ถึง ความจริงใจของคุณที่มีต่อฉัน มันถึงขั้นไหนแล้ว”
สีหน้าของฉินโม่หานเคร่งขรึมลงทันที
เขาเลิกคิ้วให้ แต่ไม่พูดไม่จา
“คุณก็รู้อยู่แล้วว่าหนานยีโหรวคิดเกินเลยกับคุณ ดังนั้นคุณเลยจงใจที่จะเอาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของคุณไปให้เธอ เพื่อจงใจให้เธอโทรศัพท์เข้ามาหาตอนที่คุณอยู่กับฉัน เพื่อจงใจให้ฉันเป็นคนรับโทรศัพท์….”
“ฉินโม่หาน”
เธอจ้องมองเขา “ฉันรู้ว่าการที่คุณทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้ฉันเห็นถึงความจริงใจของคุณที่มีต่อฉัน แต่ว่า…”
หัวคิ้วของหญิงสาวเลิกขึ้นเล็กน้อย “ถึงขั้นคุณอยากใช้หนานยีโหรวมาเป็นเครื่องมือเพื่อแสดงความรู้สึกของคุณที่มีต่อฉันแล้ว”
“งั้นฉันก็สามารถเอาตัวของหนานยีโหรวมาเป็นตัวทดสอบเพื่อวัดถึงความซื่อสัตย์ของคุณที่มีต่อฉันได้ ไม่ใช่เหรอ?”
ซูสือเยว่พูดจบ ดวงตาสุกประกายคู่นั้นก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของฉินโม่หาน “คุณคิดว่ายังไง?”
ฉินโม่หานจ้องมองเธอ มองอยู่สักพัก
สักครู่ เขาก็ยิ้มออกมาพลางนวดหัวคิ้วของตนเองอย่างช่วยไม่ได้
“คุณนี่ฉลาดหลักแหลมขึ้นเรื่อยจริงๆ เลยนะ”
“แต่ว่า”
เขายังคงพูดอธิบายแทนตัวเองต่อ
“การใช้ประโยชน์จากหนานยีโหรวไม่ใช่ความคิดแรกๆ ของผมนะ”
“การที่ให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวกับเธอไปนั้น เป็นเพราะว่าเธอเป็นนักวิชาการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างมากจริงๆ ดังนั้นผมจึงแสดงความจริงใจต่อเธอเพื่อหวังในการว่าจ้างเธอ”
“ก็แค่ ตอนที่เธอโทรศัพท์เข้ามาหานั้น ผมเห็นว่าคุณขยับตัวแล้ว เลยปล่อยเรื่องให้เลยไปตามเลยจนคุณกดรับสาย”
พูดจบ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ในเมื่อคุณอยากให้ผมเอาหนานยีโหรวมาอยู่ข้างกาย…”
“งั้นหรือว่าคุณมาทำงานที่บริษัท จะได้คอยมาดูผมเอาไหม?”
ซูสือเยว่เลิกคิ้วขึ้น ทั้งก้มหน้ากินอาหาร ทั้งยิ้มให้อย่างเย็นชา “ต้องการให้ฉันไปนั่งจับผิดผู้ชายออกนอกลู่นอกทางตลอดเวลา…แล้วฉันยังจะต้องการคุณมาเพื่ออะไรด้วยล่ะ?”
ฉินโม่หาน “…”
ความจริงแล้วเขาอยากให้เธอมาทำงานที่บริษัท เพราะว่าเขานั้นคิดถึงเธอทุกเสี้ยววินาทีนะสิ…
ทว่าไม่ใช่เหตุเพราะว่ากลัวว่าเธอจะมีชู้นะ แต่เป็นเพราะว่าคิดถึงเธอเหลือเกิน
หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จแล้ว ซูสือเยว่ยืนบิดขี้เกียจตรงด้านหน้าของหน้าต่างจรดพื้นเพื่อมองไปยังภาพเมืองครึกครื้นด้านนอกหน้าต่าง พลันฉุกคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้และหันศีรษะกลับมาหาทันที
“ใช่สิ แล้วต่อมาเกิดอะไรขึ้นกับหยางชิงโยวและผู้ดูแลบ้านเสิ่นล่ะ?”
ตอนแรกที่หยางชิงโยวกับผู้ดูแลบ้านเสิ่นแอบอ้างสถานะของเธอ เพื่อฉวยจังหวะยักยอกทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยนตอนที่หลิวหรูเยียนอาการโคม่าอยู่
จากนั้นเธอกับฉินโม่หานก็ใช้ไม้ตายดักทุกทาง จนสถานะตัวตนที่แท้จริงของหยางชิงโยวถูกเปิดเผย
หลังจากนั้นซูสือเยว่ก็ออกมาจากเมืองสตัฟฟ์ เลยไม่รู้ว่าต่อจากนั้นแล้วพวกเขาต้องประสบกับเคราะห์กรรมอะไรบ้าง
ฉินโม่หานก้มหน้าก้มตามองงานที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และฉีกยิ้มไปด้วย
“นี่มันเป็นปัญหาของตระกูลเจี่ยนของพวกคุณนะ คุณยังจะมาถามผมอีกเหรอ?”
ซูสือเยว่กลอกตามองบน
ในตอนแรกที่เจี่ยนหมิงจงก็ออกมาจากเมืองสตัฟฟ์ พร้อมกับเธอทันที นอกจากเรื่องการสืบถามเรื่องของหลิวหรูเยียนแล้ว ก็ไม่ได้สนใจเรื่องในตระกูลเจี่ยนอีกเลย ส่วนเจี่ยนเฉิงเองก็ไม่ได้สนใจ
แม้ว่าพวกเธอเป็นคนในตระกูลเจี่ยนทั้งหมดก็ตาม แต่ว่าเรื่องเหตุการณ์ในตระกูลเจี่ยนที่เพิ่งเกิดขึ้น ทว่ากลับไม่เข้าใจสักนิดเลย
“หยางชิงโยวถูกผมพาตัวกลับมาที่เมืองหรงแล้ว เธอเป็นบ้าไปแล้ว ตอนนี้ก็ถูกกักตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช ทุกวันต่างจินตนาการเพ้อฝันว่าตนเองเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว”
“ส่วนผู้ดูแลบ้านเสิ่นนั้นถูกยึดทรัพย์สินและอำนาจของเขาที่มีมาหลายปีไปทั้งหมด และกลับไปอยู่บ้านเกิดของเขาแล้ว”
หลังจากที่พูดข่าวคราวของคนทั้งสองคนแบบง่ายๆ ให้ฟังแล้ว ฉินโม่หานก็ถอนหายใจออกมา “วางแผนว่าจะกลับไปเมื่อไหร่เหรอ?”
ซูสือเยว่ตะลึงทันที พลางหันกลับมามองเขาด้วยความสงสัย “กลับไปทำอะไรเหรอ?”
เธอไม่อยากกลับไปที่ตระกูลเจี่ยนเลยสักนิด ไปเป็นคุณหนูใหญ่อะไรนั่น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอก็รู้สึกมาตลอดว่าตนเองน่าจะเป็นลูกสาวคนขี้เมาหยำเปจนๆ คนหนึ่ง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะมีสถานะเช่นนั้นด้วย
สถานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยน ที่นำมาพร้อมกับ ถ้าไม่ความจำเสื่อม ก็คือความเจ็บปวดให้เธอ
เธอยินยอมที่จะเป็นสวี่หรงคนหน้าตาอัปลักษณ์ และก็ไม่อยากกลับไปที่ตระกูลเจี่ยน
“ฉินหลิงยี่”
ฉินโม่หานเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของเธอ พลางดึงตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอด “หลายปีที่ผ่านมาฉินหลิงยี่คอยเอาแต่ต่อกรสู้กับตระกูลเจี่ยนมาโดยตลอด”
“อำนาจที่คอยหนุนหลังเขาก็กำลังต่อกรกับตระกูลเจี่ยนเช่นเดียวกัน”
“สภาพของตระกูลเจี่ยนในเวลานี้ อำนาจมันตกไปอยู่ในมือของลูกพี่ลูกน้องที่เป็นน้องชายของคุณเพียงคนเดียว และสามารถถูกทำลายจนพ่ายแพ้ได้ทุกเมื่อ…”
“คุณไม่สนใจจริงๆ เหรอ?”
ซูสือเยว่เลิกคิ้ว พลางหันมาสบตาฉินโม่หาน “ไม่ได้ว่ามีคุณอยู่อีกคนเหรอ?”
ฉินโม่หานยิ้มให้เล็กน้อย “ผมไม่ใช่คนในตระกูลเจี่ยนนี่”
“แต่ว่า…”
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปาก “คุณเป็นสามีของฉันนะ”