ทีมเฮลิคอปเตอร์มาถึงแล้ว
ทีมค้นหาทางภาคพื้นดินก็มาถึงพร้อมกับสุนัขค้นหาและหน่วยกู้ภัย
ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาซิงเฉิน
หลังจากที่ ซูสือเยว่นั่งพักอยู่ในอ้อมแขนของฉินโม่หานสักพัก เธอก็เข้าร่วมในการค้นหาซิงเฉินพร้อมกับฉินโม่หาน
พวกเขาค้นหาทุกที่ แต่ไม่พบเด็กน้อยที่ชื่อซิงเฉินเลย
แม้แต่หน่วยกู้ภัยจะเข้าไปในถ้ำเสือโคร่งกับเสือดาว แต่ยังไม่พบซิงเฉิน
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว การค้นหาจึงยากขึ้นเรื่อยๆ และความหวังที่ซิงเฉินจะมีชีวิตอยู่ก็ริบหรี่ลงเรื่อยๆ…
เมื่อเวลาหนึ่งทุ่ม ทีมค้นหาและหน่วยกู้ภัยได้พบเข้ากับฝูงหมาป่า จึงต้องถอยกลับอย่างไม่มีทางเลือก
ซูสือเยว่ร้อนใจมากและต้องการอยู่ในป่าต่อไม่ยอมจากไป
ฉินโม่หานทนความปวดใจ แต่ดึงเธอออกจากป่ามา
“ฉันไม่ไป ฉันไม่ไป!”
ซูสือเยว่ที่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง “ฉันจะไปหาซิงเฉิน”
“ลูกต้องมีชีวิตอยู่ ฉันต้องหาเขาให้เจอ”
“ฉินโม่หาน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
“ฉินโม่หาน”
ฉินโม่หานสูดหายใจเข้าลึก “สือเยว่ มีสติหน่อย”
“ตอนนี้มันผ่านมาสิบชั่วโมงแล้ว”
“ถ้าซิงเฉินยังมีชีวิตอยู่ เรามีคนเยอะขนาดนี้ จะไม่เจอเขาได้ยังไงกัน”
เขาควบคุมความเศร้าของเขาและกอดเธอไส้แน่น
“ซิงเฉินกับซิงหยุนผมเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาหายตัวไปผมเสียใจมากกว่าคุณอีก”
“แต่ว่านะสือเยว่ คุณควรจะมีสติและเผชิญกับความเป็นจริง ตกลงไหม”
“เรายังมีซิงหยุนกับซิงกวงอยู่ ถ้าคุณคิดไม่ตก ลูกทั้งสองจะทำยังไง”
คำพูดของชายชายหนุ่มเอาชนะการเสียสติของซูสือเยว่ได้อย่างสมบูรณ์
เธอก้มศีรษะลง กัดข้อมืออย่างแรง และในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดแรง
ตลอดทั้งวัน เธอกลั้นน้ำตาไว้ และพยายามคิดว่าซิงเฉินยังมีชีวิตอยู่
แต่ตอนนี้ คำพูดของฉินโม่หาน เหมือนจะตัดความหวังเส้นสุดท้ายของเธอทิ้งไป
ซิงเฉินเขา…
หญิงสาวหลับตาลง ภาพความทรงจําที่เธอมีกับซิงเฉินปรากฏขึ้นต่อตรงหน้าเธอ
ตอนที่พวกเธอพบกันครั้งแรก ตอนที่ซิงเฉินปลอมตัวเป็นผีมาหลอกเธอ
และตอนที่ปลอมตัวเป็นพี่ชายวิ่งไปหาเธอออดอ้อนขอของกินจากเธออย่างน่ารักน่าเอ็นดู
น้ำตาของเธอไหลออกมาราวเขื่อนแตก
มันจะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง……
ทำไมกัน?
ทำไมซิงเฉินของเธอจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย?
เธอยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอต้องการทำกับซิงเฉิน และเธอก็อยากจะเฝ้ามองลูกทั้งสามคนของเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ตอนนี้ซิงเฉินของเธอหายไป ก็เหมือนความสุขของเธอหายไปครึ่งหนึ่ง
ซูสือเยว่ยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของฉินโม่หาน น้ำตาเปียกเสื้อของฉินโม่หาน
สุดท้าย แม้แต่ตอนที่ชายหนุ่มพาเธอขึ้นรถ เธอก็ยังร้องไห้อยู่
เมื่อต้องเผชิญกับน้ำตา ฉินโม่หานทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น
ซิงหยุนนั่งอยู่ข้างเธอเงียบๆ และคอยยื่นทิชชู่ให้เธอเช็ดน้ำตา
ในตอนที่ทั้งสามกลับถึงบ้าน ซิงกวงก็พุ่งเข้ามาหาทันทีที่เข้าประตูเปิด
“มีข่าวคราวของพี่รองบ้างไหมคะ?”
ซูสือเยว่ไม่ได้ตอบ เธอแค่ปาดน้ำตาให้ตัวเอง
ฉินโม่หานถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ แล้วเดินไปสูบบุหรี่ข้างนอก
ซิงหยุนส่ายหน้าให้น้องสาวของตนเอง
ซิงกวงเม้มปากแน่น ก่อนจะเซถอยหลัง เธอเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่พออ้าปาก น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ซูสือเยว่นั่งลงแล้วกอดซิงกวงไว้ ก่อนที่หญิงสาวทั้งสองคนจะกอดกันไว้ คนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่และอีกหนึ่งคนเป็นเด็กร้องไห้นั่งกอดกันร้องไห้
คฤหาสน์ตระกูลฉินถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเศร้าเสียใจ
ในตอนเย็นทุกคนในครอบครัวต่างกินข้าวไม่ลง พ่อบ้านกลัวว่าจะทุกคนจะหิว จึงสั่งให้สาวใช้อุ่นอาหารรออยู่ตลอด
จนกระทั่งรุ่งสาง ในที่สุดซูสือเยว่ก็ร้องออกมาจนหมดแรงแล้วผล็อยหลับไปบนโซฟา
ในช่วงสิบโมงเช้า ฉินโม่หานได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลก
“สวัสดีครับ”
เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ “นี่คือสถานีตำรวจในเขตตะวันตกนะครับ”
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีเด็กชายอายุ 5-6 ขวบหายตัวไปจากบ้านของคุณหรือเปล่าครับ”
หลังจากยุ่งกับการหาข่าวเกี่ยวกับเที่ยวบินทั้งหมดที่ออกจากเมืองหรง ฉินโม่หานก็พูดขึ้นทันที “ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนมาที่สถานีตำรวจในเขตตะวันตกได้ไหมครับ”
“เมื่อคืนตอนที่พนักงานทำความสะอาดเจอลูกของคุณหมดสติหมดสติอยู่ข้างถังขยะแล้ว”
“หลังจากที่เราส่งเขาไปที่โรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิต ตอนนี้เขายังอยู่ในอาการโคม่า ตอนที่พยาบาลที่โรงพยาบาลแก้ผ้าให้เขา เธอเห็นเบอร์โทรของคุณที่ข้อมือ เลยแจ้งมาทางเรารับทราบ”
“ได้ครับ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย”
ก่อนที่จะถามรายละเอียดเพิ่มเติม ฉินโม่หานก็รีบกดวางสายและเดินลงไปชั้นล่าง
บนโซฟาในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ซูสือเยว่กำลังนอนหลับอยู่โดยมีซิงกวงอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
เมื่อวานเธอร้องไห้ทั้งคืน และซิงกวงก็ร้องไห้ทั้งคืนเหมือนกัน
หญิงสาวตัวใหญ่และเด็กหญิงตัวเล็กที่มีใบหน้าน่ารักเหมือนกันมีขอบตาแดงและบวมเหมือนกัน
เขาถอนหายใจ แล้วอุ้มซิงกวงออกจากแขนของซูสือเยว่ และวางลงบนโซฟาอีกด้าน
การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มทำให้ซูสือเยว่สะดุ้งตื่น
เธอลืมตาขึ้นและมองเขาอย่างงุนงง “ได้ข่าวซิงเฉินบ้างไหมคะ?”
“ได้แล้วครับ”
คำสามคำง่ายๆ ทำให้ซูสือเยว่อึ้งไปทันที
เธอแทบจะกระเด้งขึ้นจากโซฟาด้วยความดีใจ
“จริงเหรอคะ?”
“จริงครับ”
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตำรวจในเขตตะวันตกเพิ่งโทรมาบอกว่าเมื่อวานพนักงานทำความสะอาดเห็นซิงเฉินที่หมดสติ แล้วโทรแจ้งตำรวจ”
“ตอนนี้ซิงเฉินอยู่ในอาการโคม่า พวกเขาจึงไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซิงเฉิง”
“วันนี้ พยาบาลเห็นเบอร์โทรของผมที่ด้านในสายรัดข้อมือของซิงเฉินเลยติดต่อมาหาผม”
“ดีจริงๆเลยค่ะ”
ซูสือเยว่โอบคอฉินโม่หานไว้ แล้วร้องไห้ด้วยความดีใจ “ฉันรู้อยู่แล้วเชียว”
“ฉันรู้ว่าซิงเฉินเป็นคนดวงดี จะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ”
“เราไปรับเขาที่โรงพยาบาลตอนนี้เลยได้ไหมคะ”
ฉินโม่หานพยักหน้า ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมของซูสือเยว่มาสวมให้เธอ “ไปกันเลยครับ”
ซูสือเยว่ล้างหน้าด้วยความดีใจ ไม่แม้แต่จะหวีผม เธอรีบเดินตามฉินโม่หานออกไป
ตอนที่นั่งอยู่ในรถ เธอสางผมผ่านกระจกมองหลังให้เรียบร้อย แล้วสูดหายใจออกอย่างแรง
“ถ้าครั้งนี้ซิงเฉินไม่เป็นอะไร ฉันจะกลับอยู่ที่บ้านกับคุณค่ะ”
จะไม่ปลอมตัวเป็นสวี่หรงแล้วอย่าหนีออกจากบ้านอีกแล้ว
“คุณพูดออกมาเองนะ ผมจะจำไว้”
ฉินโม่หานจับพวงมาลัยไว้ แล้วมุมปากของเขาก็ยกยิ้มเล็กน้อย
พอเห็นสีหน้าที่ยิ้มเล็กน้อยของเขา อารมณ์ของซูสือเยว่ก็ดีขึ้นเช่นกัน “ฉันพูดแล้วทำตามที่พูดแน่นอนค่ะ ไม่ใช่พวกพูดแล้วทำตามที่พูดไม่ได้สักหน่อย”
ฉินโม่หานหัวเราะออกมาเบา ๆ “ผมไปโกหกคุณตอนไหนกัน?”
“ก็ตอนที่อยู่เมืองสตัฟฟ์ ไงคะ”
“ตอนนั้นผมทำเพื่อให้คุณเรียกความทรงจำก่อนหน้านี้ของคุณกลับมาต่างหากล่ะครับ”
“ไม่ว่าจุดประสงค์ของคุณคืออะไร แต่คุณก็พูดโกหกและหลอกฉัน แสดงว่าคุณเป็นพวกชอบพูดโกหกหลอกลวง”
ท่าทางที่ดื้อรั้นของหญิงสาว ทำให้ฉินโม่หานถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ “โอเค ฉันเป็นคนโกหก”
“ฉันพูดโกหกหลอกลวงคนอื่น”
“แต่ว่า”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คุณไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”
“ทำไมซิงเฉินถึงหายตัวไปจากบริเวณป่าในแถบชานเมือง แล้วถูกเจอโดยพนักงานทำความสะอาดทางตะวันตกของเมือง?”