ลั่วเยรยนชะงัก ยังไม่ทันพูดอะไรเลยไร ฉินหนานเซิงก็พูดเองเออเองขึ้นมา
“ใช่สิ เธอเป็นถึงดาราดัง จะอยู่ข้างกายฉันที่เป็นพิการตลอดไปได้ยังไง”
พูดจบ เขาก็เหลือบมองลั่วเยียน “ถ้าไม่มีงานอะไร พรุ่งนี้ไปทำเรื่องหย่ากันเถอะ”
ลั่วเยียนชะงักแล้วเบิกตาโต “หนานเซิง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!”
“แล้วเธอหมายความว่ายังไง!”
ฉินหนานเซิงหันหน้ามาแล้วจ้องลั่วเยียนด้วยสายตาที่โกรธ “ลั่วเยียน ฉันรู้ว่าเธอชอบงานในวงการบันเทิง”
“เธอกับซูสือเยว่ไม่เหมือนกัน ซูสือเยว่ถอยออกมาจากวงการ เพราะว่าเธอไม่ชอบอาชีพนี้ เป็นนักแสดงก็เพื่อมีชีวิตรอดไปวันวัน”
“แต่เธอไม่ใช่ เธอเป็นนักแสดงเพราะความชอบของตัวเองล้วนๆ !”
พูดจบ ฉินหนานเซิงก็หลับตาลง แล้วถอนหายทีหนึ่ง “อยู่ข้างกายฉัน พ่อแม่ฉันไม่มีทางปล่อยให้เธอกลับไปทำงานในวงการบันเทิงได้หรอก”
“ในเมื่อเธอชอบในการงานของตัวเองขนาดนี้ พรุ่งนี้พวกเราไปทำเรื่องหย่ากันเถอะ เธอไปเป็นดาราที่โด่งดังของเธอใหม่ ฉันก็ไปเป็นผู้ชายที่ไม่เอาถ่านของฉันเหมือนเดิม”
คำพูดของผู้ชาย ทำให้ลั่วเยียนกัดปากไว้แน่น
หน้าที่ขาวๆ ของเธอตอนนี้เริ่มแดง มือทั้งสองกำเป็นหมัดอย่างแน่น
“หนานเซิง นายอย่าพูดคำพูดแบบนั้นอีกได้ไหม?”
“ฉันเคยบอกแล้วว่า ในเมื่อนายเลือกที่จะแต่งงานกับฉันในตอนที่ฉันลำบากที่สุด ไม่ทิ้งฉัน ฉันเองก็ไม่ทิ้งนายไปไหนแน่นอน”
“งานวงการบันเทิงฉันยอมสละได้ ฉันไม่ทำก็ได้”
“ฉันแอยากจะบอกนายว่าฉันเจอแฟนคลับของฉัน แค่นั้นเอง!”
“ทำไมนายถึงไปคิดเรื่องหย่าซะล่ะ?”
ฉินหนานเซิงหัวเราะหึทีหนึ่ง “ถูกเปิดโปงแล้ว เธอก็เลยพูดว่าแบบนั้นเอง”
“ลั่วเยียน เธอกลายเป็นคนหลอกลวงแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?’
หน้าของลั่วเยียนซีดขาวลงทันที
“ฉินหนานเซิงในสายตาของนาย ฉันคือผู้หญิงแบบนี้ใช่ไหม?”
ฉินหนานเซิงหึแล้วหันหน้าไปมองต้นไม้และนกน้อยนอกหน้าต่าง เพราะไม่แข็งใจพอ
แต่น้ำเสียงของเขากลับแน่วแน่และเย็นชา “แล้วเธอคิดว่า ในสายตาของฉัน เธอเป็นคนยังไง?”
ลั่วเยียนเบิกตาโต มองหน้าของฉินหนานเซิงด้วยตาคู่ที่คลอเต็มไปด้วยน้ำตา พูดด้วยเสียงร้องไห้เล็กน้อย “ฉินหนานเซิง ฉันมองนายผิดไปจริงๆ !”
พูดจบ เธอก็ปิดหน้าตัวเอง ร้องไห้แล้ววิ่งออกไป
ซูสือเยว่ขมวดคิ้วแล้วมองทางที่ลั่วเยียนวิ่งไป กำลังจากวิ่งไปตาม ฉินหนานเซิงกลับพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ปล่อยเธอไป”
ผู้หญิงขมวดคิ้ว มองหน้าของฉินหนานเซิงอย่างโกรธ “นายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“นายไม่ใช่คนแบบนั้นแท้ๆ ทำไมต้องพูดกับเธอแบบนั้นด้วย?”
ฉินหนานเซิงถ้าสงสัยลั่วเยียนจริงๆ คนที่ขี้สงสัยอย่างเขา หลังจากที่ลั่วเยียนถูกคนอื่นทำแบบนั้นแล้ว ในตอนที่เธอสลบไม่ฟื้น แล้วแต่งงานกับเธอแน่นอน
ลั่วเยียนน่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทฉินหนานเซิงเพื่อเธอมามากแค่ไหน
แต่ว่าช่วงเวลาเหล่านั้นที่ฉินหนานเซิงดูแลลั่วเยียนอย่างทั่วถึง ซูสือเยว่ก็เห็นอยู่กับตา
ผู้ชายแบบนี้ จะบอกว่าในใจของเขาไม่มีลั่วเยียนไม่เชื่อใจลั่วเยียน ซูสือเยว่ไม่เชื่อโดยเด็ดขาด
แต่ว่า ฉินหนานเซิงทำไมถึงต้องจงใจพูดแบบนั้นด้วยล่ะ ทำร้ายใจของลั่วเยียน?
“ฉันไม่อยากให้เธอต้องอยู่กับอีกต่อไปแล้ว”
ฉินหนานเซิงขยับรถเข็นไปหน้าหน้าต่าง มองดูแสงไฟและการจราจรที่คับคั่งด้านนอกไว้ “เมื่อกี้เธอก็เห็นแล้ว ตอนที่ลั่วเยียนพูดถึงแฟนคลับของตัวเอง ดวงตาเป็นประกาย”
“แต่ตั้งแต่ที่ลั่วเยียนเชื่อฟังพ่อแม่ หลังจากถอนตัวออกมาจากวงการบันเทิง นัยน์ตาของลั่วเยียนก็ไม่ประกายแบบนั้นอีกเลย”
ฉินหนานเซิงถอนหายใจ “ลั่วเยียนที่อยู่ในวงการบันเทิง ระยิบระยิบ เหมือนกับนกน้อยที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้าอย่างอิสระ”
“แต่ว่าหลังจากที่ลั่วเยียนอยู่กับฉัน…….”
“ตระกูลเฉินก็เหมือนกับกรงนก ที่ขังเธอไว้ข้างใน เธอไม่มีวิธีการโบยบิน และก็ไม่มีความสุข”
“ดังนั้น ฉันอยากไล่เธอไป ไม่ว่าหลังจากนั้นเธอไม่อยู่กับฉัน ไม่เป็นเพื่อนกับฉันอีกต่อไปก็ตาม”
“แต่ว่าตอนที่เธอเป็นดารา อย่างน้อยก็ส่องแสง”
คำพูดของผู้ชาย ทำให้ซูสือเยว่ชะงักลง
เธออยากจะพูดอะไรออกมา กลับเห็นฉินหนานเซิงที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เหมือนไม่ว่าพูดอะไร ก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น
เขาคิดดีแล้ว เขามองอะไรออกชัดเจน
ในเวลาแบบนี้ เธอนอกจาะจะสนับสนุนฉินหนานเซิงแล้ว อะไรก็ทำไม่ได้
แต่ว่า……..
“นายเชื่อหรอว่าหลังจากหย่ากับนาย ลั่วเยียนที่กลับเข้าไปในวงการบันเทิงใหม่อีกครั้ง จะยังส่องแสงเหมือนกับเมื่อก่อนไหม?”
ความศรัทธาของลั่วเยียนคือฉินหนานเซิง
เธอชอบฉินหนานเซิงจนคลั่ง พวกนี้ เป็นสิ่งที่ซูสือเยว่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน
แต่ว่า ฉินหนานเซิงตอนนี้กลับพูดว่า ลั่วเยว่อยู่กับเขาไม่มีความสุข
หรือว่าไปจากฉินหนานเซิง แล้วกลับเข้าไปในวงการบันเทิงใหม่ ลั่วเยียนก็จะมีความสุขหรอ?
ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง?
“แน่นอน”
ฉินหนานเซิงมองไปไกลๆ สายตากับน้ำเสียงแน่วแน่มาก “เธอต้องกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน ส่องแสงสว่าง กลายเป็นคนที่เปล่งประกายที่สุดในกลุ่มคน”
ซูสือเยว่ถอนหายใจ “ฉันรู้สึกว่านายผิดไปแล้ว”
“ถึงจะหย่ากับนายแล้ว ลั่วเยียนก็ใช่ว่าจะกลับเข้าไปในวงการบันเทิงใหม่อีกครั้ง ถึงจะกลับเข้าไปในวงการบันเทิงใหม่ เธอก็อาจไม่มีความสุข”
ฉินหนานเซิงหรี่ตาแล้วหันมามองซูสือเยว่ด้วยสายตาที่เย็นชา “เธอไม่นับ”
ซูสือเยว่ยิ้ม ที่เธอพูดก็ต้องไม่นับอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเรามาพนันกันไหม?”
“ถ้าหลังจากที่ลั่วเยียนหย่ากับนายแล้วกลับเข้าไปในวงการบันเทิง ฉันสัญญากับนายหนึ่งเรื่อง ไม่อย่างนั้น นายก็ต้องสัญญากับฉับเรื่องหนึ่ง”
“ถ้าลั่วเยียนกลับเข้าไปในวงการบันเทิงแล้วเปล่งประกายอีกครั้ง ฉันก็สัญญากับนายอีกเรื่องหนึ่ง ไม่อย่างนั้นนายก็สัญญากับฉันอีกเรื่องหนึ่ง”
ฉินหนานเซิงหรี่ตา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“ได้!”
เขามั่นใจ ไม่มีใครเข้าใจลั่วเยียนมากกว่าเขาแล้ว
หลังจากที่ลั่วเยียนหย่ากับเขาแล้วจะทำอะไร เขารู้ดีกว่าใครทั้งนั้น
“คำไหนคำนั้น”
ซูสือเยว่ยิ้ม กำลังจะพูดอะไร ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก
ฉินโม่หานเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า เขาเหลือบมองฉินหนานเซิงทีหนึ่ง แล้วมองซูสือเยว่ทีหนึ่ง “คุยอะไรกันอยู่?”
“คุยลั่วเยียนอยู่”
ฉินโม่หานยิ้ม หลังจากถามรายละเอียดการพนันของซูสือเยว่และฉินหนานเซิงแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้ฉินหนานเซิง:
“นายแพ้แน่”
ฉินหนานเซิงมองบน “พวกนายจะเข้าใจลั่วเยียนมากกว่าฉันได้ยังไง”
พูดจบ ผู้ชายก็หาวทีหนึ่ง แล้วหันหลังหมุนล้อรถเข็นจากไป
หลังจากเขาไป ซูสือเยว่ก็รีบขยับเข้าไปใกล้ฉินโม่หาน แล้วถามเบาๆ ว่า:
“ทางนายมีผลรึยัง?”
“เปรียบเทียบคนที่พาเด็กบนการจราจรสายอื่นบนถนนแล้วรึยัง?”
ฉินโม่หานหลับตาแล้วพยักหน้า “เมื่อวานมีทั้งหมด 463 คนที่พาเด็กผู้ชายเข้าไปในเขตเมืองฝั่งตะวันตก มี632 คนที่ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปในเขตเมืองฝั่งตะวันตก”
“พวกเราได้ตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่ทั้งนั้น”
ผู้ชายนวมหว่างคิ้ว “ซิงเฉินเขา………อยู่ทิศตะวันออกแล้วมาถึงได้ยังไง?”