ซูสือเยว่กัดปากไว้
การสืบสวนของฉินโม่หาน ที่จริงก็ถือว่าละเอียดมากแล้ว
ไม่เพียงแต่พาคนที่พาเด็กไปตรวจ แม้แต่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่สามารถใส่เด็กคนหนึ่งลงไปได้ก็ทำการตรวจสอบแล้ว
แต่ก็หาเบาะแสที่เกี่ยวกับการที่ซิงเฉินเข้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงกัดริมฝีปากอย่างเงียบๆ แต่ว่าถ้าวิธีแบบนี้ก็หาซิงเฉินไม่เจอ ถ้าอย่างนั้นซิงเฉิน……
“จะมีความเป็นไปได้ไหมว่า ซิงเฉินเข้ามาในเมืองทางทิศตะวันตกได้ยังไงที่ที่กล้องวงจรปิดมองไม่ถึง?”
“เช่นเฮลิคอปเตอร์หรืออะไรซะอย่าง?”
เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า:
“เมื่อวานทิศตะวันตกไฟดับทั้งซอย กล้องวงจรในถูกตัดขาดไปจนหมด ละแวกที่เธอค้นดูก็เป็นละแวกที่มีกล้องในเท่านั้น”
“แล้วบนท้องฟ้าล่ะ?”
คพูดของผู้หญิง ทำให้ฉินโม่หานถอนหายใจอย่างเบาๆ “ก็ทำการตรวจสอบแล้ว”
“เมื่อวานเฮลิคอปเตอร์ที่บินไปเขตตะวันตกมีแค่ลำเดียว มันถูกใช้โดยเด็กรวยในการขอแฟนสาวแต่งงาน”
“ไป๋ลั่วก็ได้ไปซักถามและสอบสวนอย่างละเอียดแล้ว เฮลิคอปเตอร์คันนั้น ไม่มีเบาะแสอะไรเลย”
“และเมื่อวานที่เขตตะวันตกก็ไฟดับทั่วเขต เพราะว่าแอร์ในบ้านไม่ทำงานกันหมด ประชาชนในเมืองตะวันตกก็แทบจะออกมาตากลมและเดินเล่นข้างนอกกันหมด ถ้าเกิดมีเฮลิคอปเตอร์หรืออะไรลงจอดจริงๆ ไม่มีทางที่ไม่มีคนเห็นหรอก”
“คนของพวกเราก็ได้ทำการตรวจสอบและสอบสวนประชาชนละแวกที่เจอซิงเฉิน ผลสุดท้าย ก็ไม่มี”
ซูสือเยว่กัดปากไว้ ในใจลึกๆ เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและถอดถอนใจ
สิ้นหวังเพราะว่าหาวิธีการเข้ามาเมืองตะวันตกของซิงเฉินไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าซินเฉินพบเจออะไรมากันแน่ถึงได้สลบ
ถอดถอนใจเพราะ……….
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 วัน ฉินโม่หานเพื่อซิงเฉินแล้ว ขยายกำลังคนมากมาย ใช้เวลาน้อยที่สุดในการตรวจสอบทุกอย่าง
ถ้าเอาเรื่องนี้ไปให้คนอื่นทำ คาดว่าครึ่งเดือนก็ไม่ได้ข้อสรุปที่ละเอียดขนาดนี้แน่นอน
นึกถึงตอนที่เมื่อวานหาซิงเฉินไม่เจอ แล้วเธอบ่นใส่ฉินโม่หาน
และภายใต้การใจร้อนของเธอ ได้พูดพวกคำพูดที่ว่าฉินโม่หานไม่รักเธอและลูกของเธอ…….
ซูสือเยว่รู้สึกว่าตอนนี้หน้าแสบร้อนไปหมด
“ที่รัก”
เธอกัดปากไว้ แล้วพูดข้างหูของเขาอย่างเบาๆ
เสียงที่อ่อนหวานของผู้หญิง ทำให้ฉินโม่หานตกใจเล็กน้อย
ผู้ชายเงยหน้ามองเธอ
สายตาที่ประหลาดใจของเขา ทำให้ซูสือเยว่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจในใจเล็กน้อย
เมื่อไร่ ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขา ถึงกลายเป็นแบบนี้?
เธอแค่กระซิบเรียกฉายารักที่สามีภรรยาทุกคู่จะเรียกกันแค่นั้นเอง
แต่ก็เพราะแค่นี้ ก็ทำให้ในสายตาของฉินโม่หานเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์
ก่อนหน้านี้เธอ…….
ห่างเหิงเขาแค่ไหนกัน?
พอิดแบบนี้ หัวใจของผู้หญิงก็อดไม่ได้ที่จะว่างเปล่าอีกครั้ง
เธอกัดปากไว้ น้ำเสียงที่พูดยิ่งอ่อนโยนขึ้น “เหนื่อยหน่อยนะ”
คำพูดที่มากกว่านี้ เธอก็พูดไม่ออกมาแล้ว
ในใจมีคำพูดมากมายที่ซ้อนไว้อยากจะพูด แต่พอเผชิญหน้ากับฉินโม่หาน เธอกลับพูดอะไรไม่ออกเลย
“ไม่เหนื่อย”
ผู้ชายถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าวันนี้จะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว…….”
พูดไป เขาก็เงยหน้ามองซิงเฉินที่นอนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเหมือนกับหลับไปบนเตียงผู้ป่วย แล้วยิ้มฝืน “แต่ก็ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย”
เขาไม่มีสิทธบอกว่าเหนื่อย
ซูสือเยว่กัดปากไว้ คำตอบของผู้ชาย ทำให้หัวใจของเธอยิ่งเจ็บปวดเข้าไปใหญ่
เธอลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินไปแล้วนั่งลงบนน่องของเขา แล้วพิงไว้ที่อกของเขา “ถึงจะยังไม่มีเบาะแสอะไร แต่ความพยายามของนาย ฉันเห็นแล้ว”
“ฉันขอโทษที่ก่อนหน้านั้นพูดว่านายไม่เห็นความสำคัญของซิงหยุนและซิงเฉิน”
นอนอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชาย เธอสูดดมกลิ่นไอที่ใสสะอาดจากบนตัวของเขาอย่างตะกละตะกลาม:
“ก่อนหน้านี้ฉันวู่วามไป ก็เลยพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเยอะ……”
ร่างกายที่บอกบางของผู้หญิง ทำให้ความเหนื่อยล้าของฉินโม่หานหายไปทันที
ผู้ชายยื่นมือออกมาแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่น “ฉันไม่เคยโทษเธอ”
“ที่จริงฉันก็มีความผิด……”
เขาหลับตา “ฉันตั้งใจคิดอย่างละเอียดแล้ว ฉันก็มีปัญหาเหมือนกัน”
“ฉันยึกความคิดของตัวเองเป็นหลักเกินไป คิดเพียงแต่ว่าจะปกป้องเธอให้ดี และทำให้สุดความสามารถของตัวเองในการทำให้เธอและลูกๆ ได้รับสิ่งดีที่สุด”
“แต่ว่าฉันกลับละเลยความรู้สึกของเธอ…..”
ถ้าก่อนเข้าไปในป่า เขาได้วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียในนั้นให้ซูสือเยว่ แล้วพาซูสือเยว่เข้าไปในป่าด้วย…….
บางที ทุกอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม
ตอนที่เขากับฉินยี่หลินต่อสู้กันอยู่ เธอก็สามารถไปหาเยว่เชียนจิ่วและซิงเฉินยังสามารถห้ามเรื่องที่จะเกิดขึ้นบางเรื่องได้
คำพูดของผู้ชาย ทำให้หัวใจของซูสือเยว่เปียกโชก
เธอหลับตาแล้วพิงไว้ที่ไหบ่ของเขา แขนทั้งสองโอบเอวที่แข็งแรงของเขาไว้ “ต่อไป พวกเราใช้ชีวิตกันดีๆ ได้ไหม?”
เขาควรหยุดตัดสินอะไรโดยพลาการแบบนี้อีก
เธอเองก็ห้ามวู่วามอีก
ต่อไปจะไม่แยกจากกัน จะไม่มีหยางชิงโยวอีก และจะไม่มีสวี่หรงอีกแล้ว
ฉินโม่หานถอนหายใจ แล้วพยักหน้า ยื่นมือออกมากอดเธฮไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่น “อื้ม”
“แต่ว่า……”
ผู้ชายเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางเตียงของซิงเฉินอย่างห่อเหี่ยวแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่:
“ลำบากซิงเฉินแล้ว”
“และไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาได้ตอนไหน…..”
ได้ยินเขาพูดถึงซิงเฉิน ซูสือเยว่ก็หายใจเข้าลึกๆ รีบจับมือของเขาแล้วพูดว่า:
“คืนนี้ตอนที่ฉันไปกินข้าวกับลั่วเยว่ ได้ยินพวกเขาพูดถึงหมอคนหนึ่ง ชื่อว่าเจียงหลีว่ากันว่ารักษาผู้ป่วยอาการโคม่าด้วยปัญหาต่างๆ เฉพาะทาง”
ผู้หญิงมองหน้าของฉินโม่หานด้วยตาที่สดใส
“ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้ประมาณ10ครึ่งเธอจะลงสนามบิน ฉันว่าจะไปหาเธอ”
“ถึงจะไม่รู้ว่าคุณหมอเจียงที่พวกเขาพูดถึงเป็นหมอวิเศษจริงๆ ไหม แต่เพื่อซิงเฉินแล้ว ฉันอยากจะลองดู”
“ถ้าเกิดได้ผลจริงๆ ซิงเฉินก็จะฟื้นขึ้นมาได้แล้ว!”
คำพูดของผู้หญิง ทำให้ฉินโม่หานขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “มีหมอแบบนี้ด้วยหรอ?”
“เธอไปได้ยินมาจากไหน?”
เขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องบังเอิญ
หมอที่รักษาผู้ป่วยอาการโคม่าโดยเฉพาะ ที่จริงไม่เจอได้ง่ายๆ หรอก บอกแต่เลยว่า แทบจะไม่มีคนเคยได้ยินว่ามีหมอแบบนี้
หนึ่งคือเจอยาก สองคือบังเอิญเกินไปแล้ว
ทำไมลูกของเขากับซูสือเยว่พึ่งถูกพบว่าหมดสติในวันนี้ เป็นอาการโคม่า คืนนี้ซูสือเยว่ออกไปกินข้าว ก็ได้ยินคนอื่นพูดถึง ว่ามีหมอที่รักษาอาการโคม่าโดยเฉพาะอยู่ท่านหนึ่ง?
เรื่องมันบังเอิญเกินไปแล้ว ยากที่จะไม่ให้สงสัย เบื้องหลังมีแผนร้ายอะไรรึเปล่า
“ที่รัก”
พิงไว้ที่หน้าอกของผู้ชาย ซูสือเยว่หายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง “วันนี้พวกเราพักผ่อนเช้าๆ เถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า นายไปสืบหาเหตุผลที่ซิงเฉินไปเมืองตะวันตกจากเมืองตะวันออกต่อ”
“ฉันกับฟู๋เชียนเชียนลั่วเยียนไปหาคุณหมอเจียงที่สนามบิน”
ถึงแม้ว่าช่วงนี้ฟู๋เชียนเชียนกับจี้หนานเฟิงกำลังยุ่งเรื่องการหย่ากันอยู่ แต่ซูสือเยว่ก็ยังตัดสินใจที่จะพาฟู๋เชียนเชียนไปด้วย
ถึงอย่างไงก็ เธอกับลั่วเยียนก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งอะไรขนาดนั้น แต่ไม่ใช่
ความสามารถพิเศษของฟู๋เชียนเชียนก็คือปากหวาน
ผู้หญิงพูดจบ ฉินโม่หานเงียบไปสักพัก
“พรุ่งนี้ฉันไปกับเธอดีกว่า”
เขาอยากลองดูว่าคุณหมอเจียง เป็นหมอวิเศษมาจากไหน