เช้าวันที่สอง เรื่องแรกที่ซูสือเยว่ตื่นมาทำก็คือขับรถไปที่โรงพยาบาล ตรวจดูสภาพของซิงเฉิน
เมื่อคืนหลังจากที่เธอกับฉินโม่หานกลับบ้านไปพักผ่อน เป็นผู้ดูแลบ้านที่เฝ้าดูแลซิงเฉินอยู่ข้างกาย
ถึงแม้ว่าซูสือเยว่เองก็รู้ว่าผู้ดูแลบ้านเป็นคนที่นิสัยดีมาก ก็เป็นคนที่ดูแลซิงหยุนและซิงเฉินมาจนโต
แต่ว่า ไม่เห็นซิงเฉินนอนอยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย เธอก็รู้สึกไม่สบายใจเลย
หลังจากที่ผู้หญิงมาถึงห้องผู้ป่วย ก็เปิดประตูเข้าไปอย่างชินทาง
เธอคิดว่าแผ่นหลังที่นั่งอยู่ในห้องเป็นผู้ดูแลบ้าน ก็เลยพูดขึ้นมาพร้อมเดินเข้ามาว่า :
“เหนื่อยหน่อยนะ ฉันเอาโจ๊กที่ฉันต้มเองเช้านี้มาให้ คุณรีบกินก่อนที่จะเย็นแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอบคุณ”
เสียงที่แก่ๆ ก็ได้ดังขึ้น
ซูสือเยว่ที่กำลังจากเปิดโจ๊กก็หยุดชะงักไป
เสียงนี้……
ไม่ใช่สิ!
ถึงเสียงจะแก่มาก แต่กลับไม่ใช่เสียงของผู้ดูแลบ้าน
เสียงของผู้ดูแลบ้าน จะแหบกว่านี้มาก
ผู้หญิงรีบเงยหน้าขึ้นอย่างเฝ้าระวัง “คุณ…….”
ยังไม่ทันพูดจบ ตอนที่เธอเห็นใบหน้าของชายชราคนนั้นก็ชะงักอยู่กับที่ทันที
“พ่อ?”
คนที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าเตียงของซิงเฉินไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพ่อบุญธรรมของฉินโม่หาน ท่านปู่ฉิน
ท่านปู่อายุ70กว่าปีแล้ว ดูท่าทางเหมือนจะเฝ้าอยู่ข้างเตียงของซิงเฉินมาทั้งคืน ในตายังมีเส้นเลือกเล็กน้อย บนหน้าก็มีขอบตาดำ
ซูสือเยว่ชะงักครู่เดียวก็รีบเดินไปพยุงท่านปู่ลุกขึ้น แล้วไปนั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว “พ่อมาได้ยังไง?”
เมื่อคืนฉินโม่หานบอกให้ผู้ดูแลบ้านค้างคืนที่นี่แท้ๆ
ท่านปู่ฉินตักโจ๊กขึ้นมาเริ่มกินไปด้วยยิ้มไปด้วย “ทำไม ฉันมาดูแลหลานของตัวเองไม่ได้?”
พูดไป เขาก็เหลือบมองซูสือเยว่ด้วยความโกรธเล็กน้อย “เพราะรู้ว่าฉันไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของฉินโม่หาน ก็เลยทำเหมือนฉันเป็นคนนอก?”
ซูสทอเยว่ชะงักแล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ค่ะ”
ไม่ว่าเธอหรือฉินโม่หาน ก็ไม่เคยคิดว่าท่านปู่ฉินเป็นคนนอกมาก่อน
ท่านปู่ดีต่อซิงหยุนและซิงเฉิน อันนี้เธอก็เห็นอยู่กับตา
และฉินโม่หานก็เคยพูดแล้วว่า ท่านปู่ฉินดีต่อเขามาก
นี่ก็เป็นเพราะเหตุผลที่ว่า ฉินโม่หานหลังจากรู้ว่าตัวเองเป็นคนตระกูลจี้แล้ว ก็ยังยืนหยัดที่จะใช้นามสกุลฉิน และยังยอมปล่อยวางชวงซิงกรุ๊ปในเมืองสตัฟฟ์ กลับมาที่เมืองหรงช่วยดูแลฉินซื่อกรุ๊ป
เพราะฉินโม่หานบอกแล้ว ฉินยี่หลินตายแล้ว ผู้สืบทองของตระกูลฉินก็มีแค่ฉินหนานเซิงแล้ว
ฉินหนานเซิงที่เอ้อระเหยลอยช้า ไม่มีทางอยู่นิ่งแล้วทำงานดีๆ
ดังนั้นเขาก็เลยอยากจะช่วยดูแลบริหารฉินซื่อกรุ๊ปต่อ จนกว่าฉินหนานเซิงจะยอมรับมือฉินซื่อกรุ๊ปด้วยความเต็มใจกับมือ
ไม่ว่ายังไง……
ไม่ว่าจะซูสือเยว่หรือฉินโม่หาน ไม่มีการดูหมิ่นท่านปู่ฉินเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่?”
ท่านปู่ ทำเสียงหึ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ซิงเฉินไม่สบายใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่บอกฉัน?”
ซูสือเยว่ลังเลไปสักพักแล้วกัดปากไว้อย่าเงียบๆ “เพราะว่า……..ท่านพึ่งเสียลูกชายไปหนึ่งคน……”
การตายของฉินยี่หลิน คนที่เสียใจที่สุด น่าจะเป็นท่านปู่ฉิน
ท่านปู่ฉินถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลินยี่เด็กคนนี้นะ……”
เขาหันมามองซูสือเยว่ “รู้ไหมว่าทำไมฉินหลินยี่ถึงใช้ชื่อนี่ไหม?”
ซูสือเยว่ชะงักแล้วส่ายหน้า
ท่านปู่ฉินถอนหายใจยาวทีหนึ่ง” เพราะว่าพ่อแท้ๆ ของเขานามสกุลยี่”
ซูสือเยว่เบิกตาโตขึ้นมาทันที “ท่านหมายความว่า………”
“เขาเป็นลูกชายของภรรยาที่เสียชีวิตของฉันกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง”
คำพูดขอท่านปู่ฉิน ทำให้หัวของซูสือเยว่ดังก้องขึ้นมาทันที
เธอมองหน้าของท่านปู่ไว้อยู่อย่างนั้น จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอก็รู้แล้วว่า ฉินโม่หานไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านปู่ฉิน
แต่ว่าเธอไม่คิดว่า ฉินหลินยี่เองก็ไม่ใช่?
“ตกใจมากใช่ไหม?”
ท่านปู่ฉินถอนหายใจ แล้วมองไปไกลๆ พูดเบาๆ ว่า “ภรรยาของฉันเคยหักหลังฉันมาก่อน ฉันถูกปกปิดมาโดยตลอด”
“จนฉินหลินยี่อายุ 7 ขวบ เธอป่วยระยะสุดท้าย ก่อนตายถึงจะยอมบอกความจริงต่อฉัน”
“หลินยี่เด็กคนนี้เห็นศักศรีดิ์ของตัวเองเป็นสำคัญ เพื่อไม่ทำร้ายเขา ฉันปิดบังเขามาโดยตลอด”
“แต่ว่าใจฉันเองก็ไม่รู้สึกดีเหมือนกัน พอนึกถึงว่าเขาเป็นลูกที่ภรรยาฉันหักหลังฉันแล้วคลอดออกมา…….”
“ฉันก็ไม่มีทางที่จะดีต่อเขาเหมือนกับที่ดีต่อฉินหนานเซิงเหมือนพ่อแท้ๆ”
ซูสือเยว่กัดปาก แล้วพูดขึ้นมาอย่างระวังว่า “แต่ว่า……..”
ฉินโม่หานเองก็………
น่าจะเป็นเพราะว่ามองความคิดของเธอออก ท่านปูฉินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉินโม่หานเขาไม่เหมือนกัน”
พูดไปด้วย ท่านปู่ยักคิ้วมองซูสือเยว่ “ใครๆ ก็บอกว่าฉันท่านปู่แก่เกินที่จะเคารพ อายุใกล้จะ 50 กว่ายังแต่งงานกับผู้หญิงอายุ 20 กว่า ได้มีความรักที่ยากที่จะลืม”
“แต่ไม่มีใครเลย ฉันกับแม่ของฉินโม่หานลู่เนี่ยนโหรว อะไรก็ไม่มี”
ซูสือเยว่ชะงัก
ที่วันนี้ท่านปู่ฉินบอกกับเธอพวกนี้ ทำให้เธอเหมือนถูกกระทบอย่างแรง “แล้วท่าน…….”
“ฉันสงสารเธอ และสงสารเด็กในท้องของเธอก็เลยตกลงที่จะแต่งงานกับเธอ สัญญากับเธอว่าหลังจากที่เธอเสียชีวิต ช่วยเธอเลี้ยงดูลูกชาย”
ท่านปู่ก้มหน้าลง แล้วกินโจ๊กไปอย่างชิวๆ พูดไปด้วยว่า “พ่อแท้ๆ ของฉินโม่หาน ชื่อว่าจี้ว่านเชิ่ง ในเรื่องการทำธุรกิจ ตอนนั้นมีหนุ่มสาวเพียงไม่กี่คนที่สามารถสู้กับเขาได้”
“พ่อของเธอเจียงหมิงจงและแม่หลิวหรูเยียนร่วมมือกัน……..ถึงจะสู้เสมอกับเขาได้”
ซูสือเยว่เม้มปาก “ถ้าหลังจากนั้นเขาล่ะ…….”
เกี่ยวกับพ่อแท้ๆ ของจี้หนานเฟิง ซูสือเยว่เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง
ว่ากันว่าเขาเสียชีวิตนานแล้ว
“เพราะว่าพวกเขาดีเด่นเกินไป ก็เลยทำให้มีคนอิจฉา”
“ไม่เพียงแต่จะมีคนอิจฉา ยังมีพวกผู้หญิงที่คอยคิดอยู่”
ท่านปูฉินหลับตา แล้วถอนหายใจยาวๆ ทีหนึ่ง “จี้ว่านเชิ่งและลู่เนี่ยนโหรว เคยเป็นคู่รักที่ทำให้คนอื่นอิจฉา”
“ลู่เนี่ยนโหรวเป็นเด็กกำพร้า ถูกตระกูลเจี่ยนรับเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เหมือนกับพ่อบุญธรรมของเธอเจี่ยนเฉิน เป็นเพื่อนที่ดีของพ่อเธอเจี่ยนหมิงจงทั้งนั้น”
“จากนั้นที่งานเลี้ยงธุรกิจการค้า เธอได้เจอกับจี้ว่านเชิ่ง ทั้งสองคนก็ได้รักและแต่งงานกัน”
“จี้ว่านเชิ่งเพื่อตอบแทนบุญคุณตระกูลเจี่ยนที่เลี้ยงลู่เนี่ยนโหรว ก็เลยให้ตระกูลจงและตระกูลเจี่ยงทำการหมั้น และสัญญาว่า ถ้าเกิดอนาคตตระกูลเจี่ยงมีปัญหา ในวันที่ทำตามสัญญา ก็คือวันที่ตระกูลจี้ช่วยเหลือตระกูลเจี่ยงอย่างสุดความสามารถ”
ซูสือเยว่กัดปากไว้
ก่อนหน้านี้เธอยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมผู้ดูแลบ้านเสิ่นถึงเอาแต่พูดว่า ขอแค่ตระกูลเจี่ยนและตระกูลจี้เกี่ยวดองสมรสกัน ตระกูลจี้ก็สามารถช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนพ้นจากความยากลำบาก
ตอนนั้นเธอยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเกี่ยวดองสมรสกันแล้ว ตระกูลจี้ก็ไม่เห็นว่าต้องช่วยตระกูลเจี่ยนเลยนิ?
คำพูดของท่านปู่ฉินก็ถือว่าแก้ข้อสงสัยที่มีมานานของเธอซะที
แต่ว่า……..
“แล้ว……..คุณจี้เสียชีวิตได้ยังไงหรอค่ะ?”
“เขาเหมือนฉินโม่หาน ไม่เพียงแต่มีความสามารถที่โดดเด่นและยังหล่ออีกด้วย”
ท่านปูฉินถอนหายใจทีหนึ่งแล้วส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง กินโจ๊กไปด้วยพูดไปด้วย “หลังจากนั้น เชาก็พบเจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่จะได้เขาแล้วยอมทำทุกวิถีทาง”
“เพื่อยั่วยวนเขา ถึงขึ้นเปลี่ยนชื่อตัวเอง ให้เหมือนกับลู่เนี่ยนโหรว ชื่อว่าขงเนี่ยนโหรว”