คำพูดของซิงหยุน ทำให้ซูสือเยว่กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
เธอหันไปมองฉินโม่หานอย่างคับแค้นใจ “ขนาดเด็กยังรู้เลย”
ฉินโม่หานแสยะยิ้ม แล้วไปนั่งลงบนโซฟา มองซิงหยุนและซิงกวงอย่างสง่าและขี้เกียจ “แล้วผู้นำตัวเล็กทั้งสองคน ผมควรทำยังไงครับ?”
ซิงหวงมองบน “หนูไม่สนว่าแด๊ดดี๊จะทำยังไง แต่ว่าต้องห้ามทำร้ายหม่ามี๊ ไม่ทำให้หม่ามี๊เสียใจ!”
“ไม่อย่างนั้น…….”
ยัยสาวน้อยกำหมัดแน่น แล้วทำท่าทางที่จะตีคน “หนูจะตีแด๊ดดี๊นะ!”
ฉินโม่หานหัวเราะแล้ว
เขาดึงยัยสาวน้อยเข้าอ้อมกอด “ถ้าอย่างนั้นแด๊ดดี๊จะพยายามไม่ให้ลูกมีโอกาสตีแด๊ดดี๊เลย”
พูดเสร็จ เขาก็หันไปมองซิงหยุนทีหนึ่ง “ลูกคิดว่ายังไง?”
“ผมคิดว่า……..”
ซิงหยุนหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แล้วมองซูสือเยว่อย่างเงียบๆ “ผมรู้สึกว่าหม่ามี๊อาจจะต้องเสียใจช่วงหนึ่ง”
“ผมรู้สึกว่า ถึงแม้ว่าเป้าหมายของคุณหมอเจียงเป็นแด๊ดดี๊ เรื่องที่อยากจะทำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าแยกแด๊ดดี๊กับหม่ามี๊ออกจากกัน”
“แต่ว่าในเมื่อเขาสามารถดึงดูดความสนใจของแด๊ดดี๊กับหม่ามี๊โดยการรักษาให้ซิงเฉินได้ แล้วยังมาเมืองหรงอย่างเปิดเผยแบบนั้น หนึ่งคือเขามีความสามารถจริงๆ”
“สองคือเขาเป็นพวกเดียวกับที่ทำร้ายซิเงเฉิน บางทีบนตัวของเขามียาแก้ก็ว่าได้”
“ดังนั้นผมคิดว่า ให้แด๊ดดี๊หักหลังตัวเองก่อน หม่ามี๊แกล้งทำเป็นหึงและโกรธระยัหนึ่ง หลอกให้คุณหมอเจียงรักษาซิงเฉินให้หายดี พวกเราค่อยคิดตอนต่อไป”
พูดจบ เจ้าหนุ่มน้อยก็เงยหน้าขึ้น มองฉินโม่หานอย่างจริงจังและมองซูสือเยว่ “แด๊ดดี๊หม่ามี๊คิดว่ายังไงครับ?”
คำพูดของเจ้าหนุ่มน้อยทำให้ซูสือเยว่ตะลึงไม่น้อย
เมื่อก่อนเธอแค่รู้ว่าซิงหยุนเป็นเด็กที่มีจิตใจเป็นผู้ใหญ่
แต่เธอคิดไม่ถึงว่า จิตใจของเขาจะเป็นผู้ใหญ่มากขนาดนี้แล้ว
ในเวลาแบบนี้ ยังสามารถวิเคราะห์ผลดีและผลร้ายของเรื่องเจียงหลีได้อย่างใจเย็นขนาดนี้ ยังสามารถเสนอแผน ให้ฉินโม่หานทำให้เจียงหลีวางใจก่อน แล้วคิดแผนต่อไป
ซิงหยุนแบบนี้……
เป็นเด็กที่มีอายุ 5 ขวบจริงๆ หรอ?
“ความคิดเดียวกับฉันเลย”
ต่างจากความตะลึกของซูสือเยว่ ฉินโม่หานเหมือนว่าชินกับจิตใจความเป็นผู้ใหญ่ของลูกชายตั้งนานแล้ว เขายิ้มแล้วเงยหน้ามองซูสือเยว่ “เธอคิดว่ายังไง?”
ซูสือเยว่อ้าปาก ลังเลปักพัก สุดท้ายก็พยักหน้า
เธอไม่ยอมรับไม่ได้ว่า แผนของซิงหยุน มีความเป็นไปได้
ไม่ว่าเป้าหมายของคุณหมอเจียงหลีคืออะไร ขอแค่เธอสามารถรักษาให้ซิงเฉินได้ สามารถทำให้ซิงเฉินฟื้นขึ้นมา……
อย่าว่าแต่ให้ฉินโม่หานหักหลังเลย ถึงแม้ว่าเจียงหลีอยากจะอยู่กับเธอ เธอก็ยอมแกล้งอยู่กับเขาได้!
แต่ไม่ว่ายังไงเงื่อนไขคือไม่หักหลังตัวเอง ทำให้ซิงเฉินฟื้นขึ้นมา คือสิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้
“เธอคิดได้แบบนี้ ฉันดีใจมาก”
ฉินโม่หานหัวเราะทีหนึ่ง ปล่อยซิงกวงที่อยู่ในอ้อมกอดลง แล้วเดินไปข้างกายซูสือเยว่ อุ้มผู้หญิงในท่าอุ้มเจ้าหญิงขึ้นมา
อยู่ๆ ก็ถูกผู้ชายอุ้มขึ้นมาแบบนี้ ซูสือเยว่อึ้งไปเลย จากนั้นก็เขม็งใส่เขาทีหนึ่ง “นายทำอะไร?”
“ในเมื่อพรุ่งนี้จะเริ่มแสดงละครกับคุณหมอเจียงหลีแล้ว ดูว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่………”
ผู้ชายขยับเข้าหูเธอ แล้วกัดหูเธอเบาๆ พร้อมพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไปได้ยังไง?”
ซูสือเยว่อึ้งไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าเขาจะทำอะไร
เธอกัดปากไว้แล้วพูดเบาๆ ว่า:
“ฉินโม่หาน!”
“กลางวันแสกๆ พวกเด็กๆ ก็อยู่บ้านด้วย นายจะทำอะไร?”
ผู้ชายอุ้มเธอแล้วขึ้นไปชั้นบน “พ่อของฉันส่งข้อความมาบอกฉันว่า รถของท่านอยู่หน้าวิลล่าแล้ว ท่านจะพาซิงหยุนและซิงกวงไปหาซิงเฉิน”
พูดจบ ฉินโม่หานก็ถีบประตูห้องออก แล้วโยนซูสือเยว่ไปไว้บนเตียงใหญ่ที่นุ่มๆ
เขาปลดกระดุมเสื้อแล้วแสยะยิ้มไปด้วย “หรือคุณนายฉินไม่กลัวว่าฉันจะถูกคุณหมอเจียงหลีวางยาอะไร แล้วควบคุมตัวเองไม่ได้หรอ?”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว
ปัญหานี้ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลย
แต่ตอนนี้ฉินโม่หานพูดขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่านี่เป็นปัญหาจริงๆ
เจียงหลีเป็นหมอ ยาที่เธอสามารถหาได้ต้องเยอะแน่ๆ
ถ้าเธอวางยาใส่เขาจริงๆ ……
เธอมองหน้าฉินโม่หานอย่างไม่รู้อะไรเลย “แล้วนายว่า ควรทำยังไง?”
“ควร……”
ผู้ชายโน้มตัวลงมาก น้ำเสียงที่แหบและต่ำเข้าหูของเธอ กระตุ้นให้เธอกระตุกเป็นช่วงๆ
“ก่อนที่จะแสดงละครอะไรกับเขา ควรจะเอากระสุนที่สะสมมาในระยะเวลาช่วงนี้ ใช้มันบนตัวของเธอเลย”
ซูสือเยว่ชะงักไปสักพัก จากนั้นหน้าแดงขึ้นมา!
ผู้ชายคนนี้ ทำไมอะไรก็กล้าพูดออกมาได้เนี่ย!
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ฉินโม่หานไม่ใช่แค่อะไรก็พูดออกมาได้ เรื่องอะไรก็ทำลงไปได้เหมือนกัน
วันนี้ตอนเที่ยงจนถึงกลางคืน เขาให้ผู้ดูแลบ้านพาซิงหยุนและซิงหวง ตามท่านปู่ฉินไปที่โรงพยาบาล
เขาแยกย้ายคนใช้ในบ้านไปจนหมด ปล่อยผ้าม่านในวิลล่าลงจนหมด
หลังจากนั้น……..
บนเตียงในห้อง บนพื้น
ในอ่างอาบน้ำ ในห้องรับแขก จนกระทั่งบนบันได……
ทุกที่และวิธีที่ซูสือเยว่คิดได้และคิดไม่ได้ เขาก็ได้พาเธอลองจนหมด
เช้าวันที่สองตอนที่ตื่นขึ้นมา ซูสือเยว่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายแล้ว
แสงแดดส่องเข้ามาในช่องว่างม่าน เธอหาวอย่างขี้เกียจแล้วบิดขี้เกียจ กำลังจะลุกขึ้นมาจากบนเตียง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายที่หัวเราะส่งมาจากทางระเบียง :
“ผมจำคุณหมอเจียงได้อยู่แล้ว”
“เมื่อวานตอนที่เห็นคุณหมอเจียงที่สนามบิน ผมนี่ตะลึงจริงๆ”
“พูดออกมาคุณหมอเจียงคุณอาจจะไม่เชื่อ คุณเหมือนกับแม่ที่เสียชีวิตไปหลายปีของผมมากเลย”
“ไม่ทราบว่าครอบครัวของคุณหมอเจียงมีญาติที่นามสกุลลู่ไหมครับ?”
“ไม่มีหรอครับ?ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็นพรหมลิขิตของผมกับคุณหมอเจียงละมั้งครับ…..”
………
ซูสือเยว่ครึ่งหลี่ตา ฟังเสียงของผู้ชายที่ระเบียงแล้วอดไม่ได้ที่จะหาวทีหนึ่ง
เธอเอาโทรศัพท์ขึ้นมามองทีหนึ่ง
นี่พึ่งจะ 9 โมงเองนะ
ฉินโม่หานทำสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วจริงๆ นี่ก็เริ่มแล้ว
ตอนที่ผู้หญิงคิดอยู่ ที่โทรศัพท์ของเธอก็มีคนการขอเป็นเพื่อนเด้งขึ้น
เป็นบัญชีที่ชื่อว่า “หลี”
บนคำแนะนำการเพิ่มเพื่อนบอกว่า : ฉันคือเจียงหลี
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว
เขาเหลือบมองผู้ชายที่ยังคุยสายอยู่กับเจียงหลี
เสียงของเขายังพูดอยู่
นี่ก็แปลว่า สายของเขากับเจียงหลียังไม่ได้ตัด
แต่ว่าเจียงหลีกลับโทรคุยกับฉินโม่หานไปด้วย เพิ่มเพื่อนเธอไปด้วย?
ซูสือเยว่เบะปาก แกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วกดตกลง “คุณหมอเจียง คุณเพิ่มฉันเป็นเพื่อนเองแบบนี้ ฉันดีใจมากเลยค่ะ!”
“เมื่อวานพวกเราเจอกันที่สนามบินแล้ว คุณยังจำฉันได้ไหมค่ะ?”
คำพูดอบอุ่นพวกนั้นพึ่งส่งไปได้ไม่นาน เจียงหลีก็ตอบกลับมาแล้ว:
“จำเธอได้อยู่แล้วซูสือเยว่”
“เพิ่มเธอ เพื่อบอกให้รู้ว่า ฉันตกหลุมรักสามีของเธอฉินโม่หานแล้ว”