อากาศในร้านกาแฟค่อนข้างเย็น
ตอนที่ซูสือเยว่ออกมาจากร้านกาแฟนั้น รู้สึกว่าอากาศจะร้อนเย็นกว่าอีก
ระหว่างทางที่กลับนั้น เธอก็เอาแต่นึกถึงเงื่อนไขที่หานหยุนให้เธอรับปาก……
ทำไมถึง……เป็นเงื่อนไขแบบนี้?
เธอหลับตาและนั่งพิงเก้าอี้ที่เบาะหลัง ถึงแม้ว่าเงื่อนไขที่หานหยุนจะทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจและตกใจมาก
แต่ว่าเพื่อซิงเฉินแล้ว กับเงื่อนไขที่มันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหรือหลักการ เธอก็เลยตกลง
เพียงแค่……
หญิงสาวนวดขมับของตัวเอง
วันเวลาต่อจากนี้ น่าจะโศกเศร้ามากเลยใช่ไหม?
ซูสือเยว่นั่งพิงเบาะหลังด้วยความเหนื่อยล้า เธอหลับตาลงเตรียมจะงีบ แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
ฉินโม่หานส่งข้อความมาหาเธอ
เหมือนกับว่าข้อความจะถูกส่งมาอย่างเร่งรีบ แถมยังเขียนผิดอีกต่างหาก
เห็นได้ชัดว่า นี่คือข้อความที่เขาแอบส่งหาเธอก่อนที่เครื่องบินจะขึ้น
เนื้อหาในข้อความนั้นเรียบง่ายมาก:
“ร่างกายของซิงเฉินมียาพิษ เจียงหลีมียาแก้ ต้องให้กินทุกวัน วันละเม็ด”
“พาซิงเฉินไปเมืองสตัฟฟ์”
สองประโยคที่เรียบง่าย แต่กลับทำให้น้ำตาของซูสือเยว่เกือบไหลลงมา
ความคิดของฉินโม่หานกับเธอนั้นเหมือนกันพอดี
แล้วอีกอย่าง……
ถ้าเกิดว่าเจียงหลีมียาแก้อยู่ในมือ เธอพาซิงเฉินไปที่เมืองสตัฟฟ์ แล้วถ้าเกิดสามารถติดต่อฉินโม่หานได้แล้วก็ ถ้ายังงั้นก็ไม่ได้จำเป็นต้องให้หานหยุนอยู่ติดกับซิงเฉินเพื่อดูแลเขาเลย
ถ้าเกิดว่าข้อความนี้ของฉินโม่หานมันดึกกว่านี้อีกนิดเดียว แม้แต่แค่ 10 นาทีก็ได้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องตอบรับเงื่อนไขที่ไม่มีเหตุผลของหานหยุน
แต่ว่าตอนนี้ เธอตกลงกับหานหยุนไปเรียบร้อยแล้ว เซ็นสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว แต่เจียงหลีกลับมียาแก้อย่างนั้นเหรอ!
โชคชะตาเล่นตลกกับเธอจริงๆ ……
แต่ว่าก็ยังดี เธอหลับตาลงมาปลอบใจตัวเอง บางทีจะให้เธอไปที่เมืองสตัฟฟ์ อาจจะไม่ได้เจอฉินโม่หานอยากราบรื่นก็ได้นะ?
การมีหานหยุนคอยสำรองอยู่ข้างๆ ยังดีกว่าการที่พอถึงเวลาที่อาการของซิงเฉินกำเริบ แล้วเธอทำอะไรไม่ถูกซะอีก
พอคิดได้แบบนี้ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบกลับฉินโม่หานด้วยข้อความที่เรียบง่าย
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะออกเดินทางบ่ายนี้”
เธอไม่อยากจะให้ฉินโม่หานรู้เกี่ยวกับรายละเอียดที่เธอตกลงกับหานหยุน
ไม่ใช่เขาว่าเขาไม่สามารถรู้ได้ แต่ว่าเธอไม่อยากให้เขาไม่มีสมาธิ
ฉินโม่หานในตอนนี้ กำลังปลอมตัวอยู่ต่อหน้าเจียงหลี ที่จริงเราทุกวินาทีของเขาเหมือนการเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียว
เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาเป็นกังวลหรือเป็นห่วงมากเกินไป
ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมา วางโทรศัพท์ลง เอนตัวลงบนรถ เราก็ยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาแหละ……
เธออาจถูกลิขิตไว้ให้หนีออกจากวงการบันเทิงนี้ไม่ได้
เธอหลับตา ในหัวปรากฏภาพที่หานหยุนมองมาที่เธอ
หานหยุนเปิดโทรศัพท์ แล้วเปิดไปที่อัลบั้มรูป
สิ่งที่ทำให้ซูสือเยว่แปลกใจก็คือ ในอัลบั้มรูปนั้นต่างเป็นรูปภาพของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นในกองถ่าย หรือว่าวันธรรมดา มีรูปถ่ายของเธอตอนเข้าร่วมงานสำคัญในตอนเย็นและพิธีมอบรางวัลต่างๆ อีกด้วย
ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของเธอนั้น หานหยุนกอดอก สายตานิ่งเรียบ “ซูสือเยว่ ที่จริงแล้วผมเป็นแฟนคลับของคุณ”
“ตั้งแต่ตอนที่คุณเริ่มเป็นนักแสดง ผมก็แอบสนับสนุนคุณมาโดยตลอด”
“บัญชีที่ชื่อจ้งซินก่งเยว่ ผมก็เคยกดติดตาม”
เขามองเธอ เหมือนกับว่ามีดวงดาวอยู่ในสายตาของเขา “เพราะว่าคุณคือไอดอลของผม ดังนั้นเพราะผมรู้ว่าคุณคือเสียความทรงจำ รู้ว่าคุณไม่สบาย สิ่งแรกที่ผมคิดก็คือไปต่างประเทศเพื่อตามหายาให้กับคุณ”
“และเพราะว่าคุณเป็นไอดอลของผม ดังนั้นผมก็เลยยอมเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ”
“แต่ว่าตอนนี้พอกลับมาที่เมืองหรง คุณกลับประกาศออกจากวงการบันเทิง”
“ผมยังคงรอติดตามข่าวสารของคุณ แต่ว่ากลับไม่มีเลย”
“ผมรู้สึกเสียใจมาก ผมได้แต่รอคอยให้คุณกลายเป็นนักแสดงหญิงดีเด่น พร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปล่งประกาย”
“ตอนนี้คุณออกจากวงการบันเทิงแล้ว เหมือนความสุขของผมหายไปครึ่งหนึ่ง”
“ดังนั้นซูสือเยว่ ผมไม่ต้องการเงินหนึ่งล้านจากคุณ ผมสามารถช่วยดูแลลูกชายคุณได้ฟรี”
“แต่ว่าเงื่อนไขของผมก็คือ……”
“คุณต้องกลับมาในวงการบันเทิง แล้วได้รางวัลนักแสดงหญิงดีเด่น ค่อยคิดอีกครั้งว่าจะออกจากวงการบันเทิงดีไหม”
“ผมไม่สามารถปล่อยให้ชีวิตการติดตามดาราของผมเป็นเรื่องตลกได้”
มองดูสีหน้าของหานหยุน ฟังคำพูดของหานหยุน ตอนนั้นใบหน้าของซูสือเยว่เต็มไปด้วยคำว่าตกใจแล้วตกใจอีก
มีใครบอกเธอได้บ้าง วันนี้ไม่ใช่เรื่องจริง?
หมอที่มีพรสวรรค์อย่างหานหยุน คือแฟนคลับของซูสือเยว่อย่างนั้นเหรอ?
แล้วเงื่อนไขที่จะทำให้เขามาดูแลลูกชายของเธอ ก็คือให้เธอกลับเข้าไปในวงการบันเทิงแล้วก็ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นอย่างนั้นเหรอ?
ซูสือเยว่ตกใจอยู่ครึ่งวันก็พูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็มองหน้าหานหยุนด้วยความอึ้ง แล้วก็ถามคำถามที่ถึงแก่ความตาย
“แล้วถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นและจะทำยังไง?”
วิธีแก้ปัญหาที่หานหยุนให้เธอนั้นช่างเรียบง่ายและหยาบๆ
“ก็พยายามต่อไป เพื่อให้ได้มา”
“สรุปก็คือ ตอนที่คุณยังไม่ได้รับรางวัลนักแสดงหญิงดีเด่น ผมไม่อนุญาตให้คุณออกจากวงการบันเทิง”
“ซูสือเยว่ ในใจของผม คุณคือนักแสดงหญิงที่มีทักษะในการแสดงและมีบุคลิกดี ผมเชื่อว่าคุณต้องได้รางวัลมาอย่างแน่นอน!”
พอนึกถึงท่าทางที่ตื่นเต้นตอนที่หานหยุนพูดประโยคนี้ ซูสือเยว่ก็ถอนหายใจออกมายังไม่มีทางเลือก
ต่อให้ฝีมือการแสดงของเธอจะไม่เลว แต่ว่าเธอยังอยู่ไกลจากการที่จะได้รางวัลนักแสดงหญิงดีเด่นอีกมาก
แล้วอีกอย่าง……
ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะออกจากวงการบันเทิงมาได้ ตอนนี้จะให้เธอกลับไปเองอย่างนั้นเหรอ?
แต่ว่า พอนึกถึงอาการป่วยของซิงเฉิน เธอก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันและตกลงไป
ก็แค่กลับสู่วงการบันเทิงเท่านั้นเอง สามารถทำได้
ขอแค่รับประกันความสุขของซิงเฉินได้ จะให้เธอทำอะไรเธอก็ยอมทั้งนั้น
แต่ว่าเธอไม่คิดเลยว่า……
พอออกมาจากร้านกาแฟ เธอจะได้รับข้อความว่าเจียงหลีนั้นมียาแก้พิษอยู่
ถ้าเกิดว่ารู้ตั้งแต่แรก เธอก็ไม่จำเป็นต้องตกลงหานหยุนแล้วสิ?
“คุณนายครับ”
เพราะเห็นว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังดูไม่มีชีวิตชีวา คนขับรถก็ถอนหายใจออกมา “ให้ผมพาคุณไปพักใจที่สงบๆ ไหมครับ?”
“ไม่มีเวลาหรอกค่ะ”
ซูสือเยว่ดึงสติกลับมา แล้วก็ถอนหายใจยาว “กลับบ้านเถอะค่ะ ฉันต้องไปเก็บของเตรียมไปเมืองสตัฟฟ์”
คนขับรถชะงักไป หลังจากนั้นก็ทำได้แค่พยักหน้า “ได้ครับ”
……
เช้าตรู่วันที่สอง พอซูสือเยว่ตื่นขึ้นมาก็พุ่งเข้าไปที่ห้องนอนของซิงเฉินในทันที
เด็กน้อยคนนี้ยังหลับอยู่
เธอรีบเรียกซิงเฉินให้ตื่น “ซิงเฉิน ได้เวลาออกเดินทางแล้ว!”
เด็กน้อยลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียและมองใบหน้าของซูสือเยว่ “หม่ามี๊?”
“ทำไมถึงอยู่ที่บ้านผมล่ะครับ?”
“ทำไมถึงไม่ได้ใส่หน้ากาก หม่ามี๊ปลอมตัวแล้วบอกว่าตัวเองชื่อสวี่หรงเป็นเจ้าของโรงยิมไม่ใช่เหรอ?”
“หม่ามี๊ไม่ทำรอยแผลเป็น แล้วไปทำงานแล้วเหรอครับ?”
พอพูดจบ เขาก็กลอกตาใส่ซูสือเยว่ที่มองเขาด้วยสายตาที่ตกใจ “ทำไมมองผมแบบนี้ ไม่เคยเห็นสุดหล่อเหรอ?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก
หมอพูดไม่ผิดเลย
ภาวะความจำเสื่อมของซิงเฉิน จะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างจะเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ไม่สามารถฟื้นคืนได้แล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “ซิงเฉิน หม่ามี๊จะพาลูกไปเมืองสตัฟฟ์ โอเคไหม?”
“เมืองสตัฟฟ์?”
ซิงเฉินเลิกคิ้ว “เมืองสตัฟฟ์คือเมืองที่ทำร้ายแม่ของผมใช่ไหม?”