มองดูท่าทางของซิงเฉิน ซูสือเยว่ทั้งร้อนรนและทุกข์ใจ
ดูท่าทาง เรื่องที่ซิงเฉินลืมมันจะมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
นี่พึ่งออกอาการแค่สองวันเท่านั้นเอง แต่ว่าเด็กน้อยคนนี้กลับลืมเรื่องที่เธอกลับฉินโม่หานดีกันแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นแล้วดึงซิงเฉินมากอดไว้ในอ้อมแขน “อืม แด๊ดดี้ของลูกกับพี่ชายอยู่ที่เมืองสตัฟฟ์ พวกเราต้องไปหาพวกเขา”
สีหน้าของซิงเฉินยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “พวกเขาไปทำอะไรที่นั่น?”
“เพราะว่าซิงเฉินไม่สบาย พวกเขาไปตามหายามารักษาลูกไง”
ซิงเฉินขมวดคิ้ว“ผมไม่สบายเหรอ?”
“อืม ลูกป่วยเป็นโรคที่จำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่ได้”
หญิงสาวถอนหายใจ แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดปฏิทินให้ซิงเฉินดู “ดูสิ วันที่ของวันนี้ เหมือนกับในความทรงจำของลูกหรือเปล่า?”
ซิงเฉินมองไปที่ปฏิทินแล้วก็เกาหัว “จริงด้วย……”
“นี่ผมนอนไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่ ลูกลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน”
ซูสือเยว่กอดเขาแน่น “ดังนั้นตอนนี้พวกเราจะไปที่เมืองสตัฟฟ์กัน ไปตามหายารักษากับพี่ใหญ่และแด๊ดดี้ของลูก”
“แต่ว่าผมจำไม่ได้แล้ว……”
เด็กน้อยเกาหัวด้วยความกลัดกลุ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า
ซูสือเยว่หัวเราะเบาๆ เราก็จุ๊บที่หน้าผากของเด็กน้อย “แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก หม่ามี๊ยอมที่จะเล่าเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นให้ลูกฟังเอง”
“ลูกลืมครั้งหนึ่ง หม่ามี๊ก็เล่าให้ฟังครั้งหนึ่ง”
พอพูดจบเธอก็อุ้มเขาขึ้นมา “ไป ตอนนี้พวกเราไปเมืองสตัฟฟ์กันเถอะ ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน หม่ามี๊จะเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้หลายวันนี้ให้ลูกฟังเอง !”
“หนูก็เล่าได้นะ!”
ซิงกวงที่สะพายกระเป๋าใบเล็กสวมใส่เสื้อผ้าสีชมพูยืนอยู่ตรงหน้าบันได เธอยิ้มตาหยีเราก็มองมาที่พี่รองที่ถูกหม่ามี๊อุ้มอยู่ “ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พี่รองจะเอาแต่รังแกหนู แต่ว่ายังไงพี่ก็คือพี่รองของหนูอยู่ดี”
“คนแข็งแรงอย่างพี่กว่าจะป่วยครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย หนูก็ต้องดูแลพี่ให้ดี!”
พอพูดจบ เด็กน้อยก็วิ่งเข้ามา แล้วก็ยื่นมือไปจับมือของซิงเฉินที่ถูกซูสือเยว่อุ้มอยู่ “พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!”
ซูสือเยว่พยักหน้า แล้วสามแม่ลูกก็พูดคุยหัวเราะกันพร้อมกับออกมาจากคฤหาสน์
ตอนที่ทั้งสามคนมาถึงสนามบินนั้น หานหยุนก็มารอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
เขาพกกระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ บนกระเป๋ายังมีสติ๊กเกอร์ของซูสือเยว่แปะอยู่
พอเห็นว่าซูสือเยว่มาแล้ว เขาก็เข้ามาอย่างตื่นเต้นและคึกคัก เอากระเป๋าเดินทางโชว์ให้ซูสือเยว่อย่างกับโชว์สมบัติ
“ดูสิ มันดูดีมากเลยใช่ไหม?”
“นี่มันคือสติ๊กเกอร์การพิมพ์สีที่แพงมากเลยนะ!”
“ต่อไปคุณต้องดังให้ได้เลย!”
ซูสือเยว่:“……”
เธอมองไปที่รูปบนกระเป๋าเดินทางของหานหยุน แล้วเส้นเลือดตรงหน้าผากก็พูดขึ้นมา
เธอรู้แล้วว่าหานหยุนคือแฟนคลับของเธอ เธอคือไอดอลของเขา
แต่ที่ไม่รู้ก็คือ……
หานหยุนคือแฟนตัวยงของเธอเลยจริงๆ
สติ๊กเกอร์อันนี้ ถ้าเกิดว่าฉินโม่หานเห็นเข้า……
เธอไม่รับประกันว่าหานหยุนจะได้เห็นพระอาทิตย์ของวันต่อไปหรือไม่
“ว้าว นี่มันหม่ามี๊นี่!”
ซิงกวงพุ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้น แล้วก็ลูบกระเป๋าเดินทางของหานหยุน “ลุงหานหยุนคะ นี่ไปทำที่ไหนมาเนี่ย?”
“แบ่งหนูหน่อยสิ?”
“ยังมีอันอื่นอีกไหมคะ?”
ในที่สุดหานหยุนก็เจอคนที่เข้าใจ เขารีบเปิดกระเป๋าและดึงกองสติ๊กเกอร์ของซูสือเยว่ออกมา “ลุงมีเยอะเลย!”
“ทั้งกระเป๋านี้แหละ!”
ซูสือเยว่:“……”
“ที่แท้ถึงแม้ว่าหม่ามี๊จะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแล้ว แต่ว่าในวงการบันเทิงก็ยังคงมีเรื่องเล่าของหม่ามี๊อยู่สินะ”
ซิงเฉินที่ถูกซูสือเยว่อุ้มไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ
“แต่ว่า”
เด็กน้อยหันมามองใบหน้าของซูสือเยว่ “ผมก็ชอบเห็นหม่ามี๊เชิดฉายอยู่ในหนังแล้วอยู่บนเวทีเหมือนกัน”
คำพูดของซิงเฉิน ทำให้หัวใจของซูสือเยว่ชะงักเล็กน้อย
เธอสูดหายใจเข้า แล้วก็จุ๊บซิงเฉินเบาๆ “รอให้ลูกหายดีเมื่อไหร่ หม่ามี๊ก็จะกลับแต่วงการบันเทิง แล้วก็เปล่งประกายให้ลูกเห็น !”
ซิงเฉินพยักหน้า นำปากกาบันทึกเสียงออกมาจากกระเป๋าแล้วก็กดปุ่ม “หม่ามี๊ พูดอีกรอบสิครับ”
“ผมกลัวว่าพรุ่งนี้ผมจะลืมคำพูดวันนี้ของหม่ามี๊ ก็เลยจะอัดไว้หมดเลย!”
คำพูดของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของซูสือเยว่เต็มไปด้วยความเศร้าที่ไม่สามารถควบคุมได้
เธอถอนหายใจออกมา แล้วก็ให้คำมั่นสัญญากับปากกาบันทึกเสียงอย่างจริงจัง
“หม่ามี๊จะต้องรักษาซิงเฉินให้ได้”
“แล้วพอซิงเฉินหายเมื่อไหร่ หม่ามี๊จะกลับไปในวงการบันเทิง แล้วก็เป็นประกายให้ซิงเฉินได้เห็น!”
หลังจากได้รับคำตอบจากหญิงสาว ซิงเฉินก็เก็บปากกาอัดเสียงอย่าเพิ่งถอดใจ “หม่ามี๊ต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ซูสือเยว่พูดไปด้วย พร้อมกับอุ้มซิงเฉินเข้าไปในสนามบินด้วย
ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูนั้น หญิงสาวก็หันกลับไปมองหานหยุนและซิงกวงที่กำลังแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กันอยู่ “ไปได้แล้ว!”
แล้วเพื่อนรักต่างอายุทั้งสองคนนี้ก็เลยหยุด พร้อมกับตามซูสือเยว่เข้าไปในสนามบิน
ด้านนอกสนามบินนั้น มีรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงมุม
ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนรถมองไปยังทิศทางที่ซูสือเยว่และกลุ่มเดินจากไปด้วยสีหน้าที่เย็นชา แล้วก็ยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น
……
เมืองสตัฟฟ์。
เจียงหลีตื่นขึ้นมาในห้องนอนของตัวเอง สิ่งแรกที่ทำก็คือหยิบขวดยาที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงของตัวเอง เทออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วก็เดินไปเคาะประตูห้องซิงหยุน
ประตูห้องเปิดออกอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยที่อยู่หน้าประตูดูสงบนิ่ง
หญิงสาวส่งยาให้กับเขา“ยาของวันนี้”
ซิงหยุนเหลือบมองของในมือของเธอ “นี่คืออะไรครับ?”
เจียงหลีขมวดคิ้ว “ยาที่ให้หนูไง”
พอพูดจบ เธอก็เหลือบมองเขาด้วยความสงสัย “เมื่อวานหนูก็กินยาไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมถึงจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ล่ะ?”
ซิงหยุนยังคงมองเธอยังเฉยเมย “กินยาอะไรเหรอครับ?”
“บอกว่าพาผมมาที่นี่เพื่อฟื้นไม่ใช่เหรอ? ต้องกินยาด้วยเหรอ?”
เจียงหลี:“……”
สรุปว่าเด็กคนนี้จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้จริงๆ เหรอ?
“หรือบางที ปริมาณยาที่เด็กคนนี้กินเข้าไปมันจะไม่เพียงพอ?”
ไม่ไกลจากตรงนั้น ฉินโม่หานใส่หน้ากาก ก้มหน้าลงและทำความสะอาด ถูพื้นไปด้วยแหละพูดไปด้วย “อายุยังน้อย แต่ว่าความอยากอาหารมันไม่น้อยเลย”
เจียงหลีขมวดคิ้วและคิดไตร่ตรอง
หรือว่าการคำนวณปริมาณมีปัญหาจริงๆ ?
เธออดไม่ได้ที่จะถามซิงหยุนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานสองสามคำถาม
ผลก็คือ เรื่องก่อนหน้านี้เขาจำได้หมด แต่ว่าเขากลับจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้เลย
เจียงหลีกลอกตา
เธอไม่อยากจะมานั่งเล่าให้เด็กคนนี้ฟังทุกวัน ว่าเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ดังนั้นเธอก็เลยกลับไปที่ห้องแล้วก็หยิบยาอีกเม็ดมาให้ซิงหยุน “วันนี้กินสองเม็ด ฉันไม่เชื่อว่าพรุ่งนี้หนูจะยังลืมอีก!”
พอพูดจบ เธอก็ยัดยาเข้าไปในปากของซิงหยุน
เด็กน้อยขมวดคิ้วอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
พอแน่ใจว่าเขากลืนยาลงไปแล้ว เจียงหลีถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กำลังจะเดินกลับห้องของตัวเอง แต่จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้
เธอหันกลับไปมองฉินโม่หาน “เฉิงคัง วันนี้นายควรจะกลับไปรายงานผลของภารกิจกับKไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก?”