“ในสายตาของฉินโม่หาน ฉันต้องมีดีมากกว่าแค่หน้าตาเหมือนแม่ของเขาแน่ๆ ”
เจียงหลีกลอกตาใส่ฉินโม่หานอย่างเย็นชา เมื่อพาพ่อลูกไปที่ประตูเหล็กอีกบานหนึ่ง พวกเขากดสวิตช์ที่ด้านข้างของประตู
แล้วก็มีกล้องหนึ่งโผล่ออกมา
ลำโพงข้างกล้องนั้น มีเสียงของหญิงวัยกลางคนที่ดูเย็นชาเล็กน้อย “เจียงหลี?”
“หนูเองค่ะ”
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นอย่างเคร่งขรึม แล้วก็ยื่นหน้าไปที่กล้อง “แม่คะ หนูพาซิงเฉินกับเฉิงคังมาที่นี่แล้วค่ะ”
กล้องนั้นชี้ไปที่ฉินโม่หานกับซิงหยุน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กล้องก็หดกลับไปและประตูเหล็กก็เปิดออก
เจียงหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พาผู้ชายตัวเล็กกับตัวใหญ่เข้าไปข้างในประตู
ข้างในนั้นเป็นห้องผู้ป่วยที่ประณีตและสวยงาม
ที่จริงถ้าจะบอกว่าเป็นห้องผู้ป่วย เรียกว่าเป็นคุกที่ดูเหมือนห้องผู้ป่วยจะดีกว่า
กลางห้องคั่นด้วยกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน
ด้านหนึ่งของกระจก มีเตียงผู้หญิง โต๊ะกาแฟ โซฟา แม้กระทั่งห้องรับประทานอาหารและห้องน้ำ
ส่วนอีกด้านนึงของกระจกนั้น มีเตียงผู้ป่วยขนาดใหญ่
บนเตียงผู้ป่วยนั้น มีชายคนหนึ่งนอนใบหน้าซีดเซียวอยู่บนนั้น เขาสวมใส่ชุดผู้ป่วยสีฟ้า
ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่มีสีเลือดเลย บนร่างกายของเขามองไปทางไหน ก็มีแต่ท่อ
เครื่องมือที่อยู่ด้านข้างยังคงส่งเสียง แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ยังคงมีชีวิตอยู่
เมื่อสายตาของฉินโม่หานได้สัมผัสกับใบหน้าของผู้ชายคนนั้น ก็หยุดไปในทันที
ที่แท้เขาก็หน้าเหมือนจี้ว่านเชิ่งมาก
มิน่าล่ะตอนที่แม่ของจี้หนานเฟิงเห็นเขาแค่แว๊บเดียว ก็แทบจะไม่ต้องตรวจDNA ก็ตัดสินใจได้เลยว่า เขาคือลูกชายแท้ๆ ของจี้ว่านเชิ่ง
ที่แท้ก็เพราะว่าหน้าเขาเหมือนกันอย่างกับแกะ
แต่ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ไม่เหมือนกับฉินโม่หาน
นอกจากอายุที่ค่อนข้างที่จะเยอะ เขาก็ผอมจนแทบจะไม่เหมือนมนุษย์แล้ว
ฉินโม่หานไม่เคยเห็นผู้ชายที่ผอมขนาดนี้มาก่อน
เขานอนอยู่บนเตียง แต่ว่าฉินโม่หานก็สามารถเห็นโครงร่างที่แทบเหลือแต่กระดูกของเขาได้
มันไม่เกินจริง ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนนี้ผอมจนเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก
เขามองไปที่ผู้ชายที่ถูกกระจกกั้น แล้วดวงตาก็หรี่ลง
ที่แท้จี้ว่านเชิ่งก็ยังคงมีชีวิตอยู่
แต่พอมาคิดแล้วก็น่าจะจริง
ถ้าเกิดว่าจี้ว่านเชิ่งเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ บางทีหลายปีที่ผ่านมานี้ ความรู้สึกที่ขงเนี่ยนโหรวมีต่อเขาก็คงจะเสื่อจางลงแล้ว ก็คงจะไม่คอยตามกัดตระกูลเจี่ยนอยู่แบบนี้ ไม่ตายไม่หยุด
เขาว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ขงเนี่ยนโหรวถึงเดินออกมาจากปีศาจในหัวใจไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมานี้ ถึงได้ใช้ทุกวิถีทาง ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเจี่ยน
เพราะคิดแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่าขงเนี่ยนโหรวช่างน่าสงสาร
ถึงแม้ว่าวิธีการจะเลวร้าย ถึงแม้ว่าจะทำให้ศัตรูหัวใจลู่เนี่ยนโหรวตายไป
แล้วมันมีประโยชน์อะไรกัน?
ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ถึงแม้ว่าจะนอนกึ่งเป็นกึ่งตายอยู่บนเตียงแห่งนี้ แต่ว่าในหัวใจของเขาก็ไม่มีที่ว่างสำหรับขงเนี่ยนโหรวเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ว่า……
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองไปรอบๆ
เมื่อกี้ตอนที่พวกเขาอยู่ด้านนอกนั้น ได้ยินเสียงของขงเนี่ยนโหรวอย่างชัดเจน
แต่ว่าทำไมพอเข้ามาแล้ว ผู้หญิงคนนี้ถึงได้หายไปละ?
ห้องที่ใหญ่แห่งนี้สามารถมองได้อย่างรวดเร็ว ที่นี่นอกจากจี้ว่านเชิ่งที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
“หาฉันอยู่เหรอ?”
ทันใดนั้น เสียงของผู้หญิงมีอายุและเย็นชาก็ดังขึ้น
เสียงของเธอช่างมืดมนเกินไป ทำให้ซิงหยุนตกใจตนขอตัวเข้าไปในอ้อมแขนของฉินโม่หาน
ฉินโม่หานขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นปิดตาของซิงหยุนเอาไว้ แล้วก็มองตามเสียงไป——
ในห้องด้านข้าง ผู้หญิงที่ดูเหมือนแค่อายุ 30 กว่าสวมใส่ชุดกี่เพ้า เดินออกมาจากห้องด้านข้างอย่างสง่างาม
ดวงตาที่เย็นชาของเธอมองฉินโม่หานตั้งแต่หัวจรดเท้า “จ้องนานขนาดนั้น……”
“สามีของฉันดูดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
คำว่า “สามี” ทำให้ฉินโม่หานชะงักไปในทันที มีความหนาวเหน็บโผล่ขึ้นมาในหัวใจของเขา
จี้ว่านเชิ่งในตอนนี้ป่วย แล้วก็ถูกคุมขัง
บอกว่าเขากลายมาเป็นสามีของเธอ……
มันเป็นนิยายน้ำเน่าเกินไปหรือเปล่า?
“สายตาของนายหมายความว่ายังไง?”
ทุกการกระทำของฉินโม่หาน ถูกขงเนี่ยนโหรวเห็นทั้งหมด
หญิงสาวเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เย็นชา แล้วก็กดสวิตช์บนผนัง ยกประตูกระจกขึ้น เพื่อให้ห้องผู้ป่วยของจี้ว่านเชิ่งกับห้องที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้กลายเป็นห้องเดียวกัน
เธอเดินเข้าไปหาจี้ว่านเชิ่งด้วยท่าทีที่เย็นชา น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับน้ำ “สามี วันนี้พักผ่อนเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ดีมาก”
ขงเนี่ยนโหรวพยุงชายร่างผอมที่เหลือแต่กระดูกลุกขึ้นจากเตียง
“สามท่านนี้คือ……”
เสียงของชายชราทำขึ้น
ขงเนี่ยนโหรวคลี่ยิ้ม งามหยาดเยิ้ม “สามท่านนี้ คือลูกสาวของคุณกับฉัน เจียงหลี”
“แล้วก็คู่หมั้นของเจียงหลี ฉินโม่หาน”
“แล้วก็ฉินซิงหยุน ลูกชายของฉินโม่หานกับเจียงหลี”
คำพูดของขงเนี่ยนโหรว ทำให้ห้องเงียบลงในทันที
เจียงหลีเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
เธอตกใจ ไม่ใช่เพราะว่าขงเนี่ยนโหรวบอกว่าเธอกลับฉินโม่หานเป็นคู่กัน แต่เป็นเพราะว่า……
“แม่คะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”
“ผู้ชายที่อยู่ข้างหนูในตอนนี้ ไม่ใช่ฉินโม่หานนะคะ แต่เป็นเฉิงคังที่แม่ส่งไปสอดแนมที่เมืองหรงมาหลายปีแล้ว!”
“แล้วก็เด็กที่เฉิงคังอุ้มอยู่นั่นก็คือ……”
“เขาไม่ได้ชื่อฉินซิงหยุน แต่ว่าชื่อฉินซิงเฉินต่างหาก แม่จำผิดแล้ว!”
“ซิงหยุนคือพี่ชายของเขา!”
ขงเนี่ยนโหรวพยุงให้จี้ว่านเชิ่งลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน แล้วก็เทน้ำให้เขา พร้อมกับป้อนน้ำให้เขาอย่างอบอุ่น แล้วก็หัวเราะออกมาเย็นๆ ช้า “แกคิดว่าแกพาซิงเฉินที่พวกเราต้องการกลับมาได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ? ”
“โง่ พาคนขึ้นรถมาก็ไม่รู้จักตรวจสอบให้ดี!”
พอพูดจบ เธอก็มองฉินโม่หานด้วยแววตาที่เย็นชา “ไม่น่าแปลกใจที่มีภรรยาทำงานในวงการบันเทิง”
“ฉันเกือบจะนึกว่าการแต่งหน้าด้วยเทคนิคพิเศษนี้เป็นของจริงซะอีก”
ในเมื่อขงเนี่ยนโหรวมองออกทั้งหมดแล้ว ฉินโม่หานก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรต้องเสแสร้งต่อไปอีก
เขาหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วก็ถอดหน้ากากออก พร้อมกับลบเมคอัพออกอย่างสง่างาม
เจียงหลีมองแล้วอึ้งไป
“คุณ……”
“คือฉินโม่หานจริงๆ เหรอ?”
“ของแท้แน่นอน”
ฉินโม่หานหัวเราะอย่างเย็นชา เงยหน้าขึ้นมองหน้าขงเนี่ยนโหรว “ผมไม่ค่อยเข้าใจ ดูออกได้ยังไง? ”
การแต่งหน้าพิเศษของเขานี้ ถูกตั้งโดยช่างแต่งหน้าชั้นนำของเมืองหรง เปรียบเทียบหน้าของเฉิงคังแบบ1:1 คนที่ไม่คุ้นเคยกับเฉิงคัง จะมองไม่เห็นข้อบกพร่องตรงนี้เลย
ที่เจียงหลีจำไม่ได้ เพราะว่าเจียงหลีไม่ได้รู้จักเฉิงคังดี
แต่ว่าเจียงหลีไม่ได้รู้จักเฉิงคังดีเท่าไหร่นัก ขงเนี่ยนโหรวก็ไม่ได้รู้จักดีไปมากกว่าเจียงหลีเท่าไหร่หรอก ยังไงเฉิงคังก็อยู่ที่เมืองหรงมา 20 กว่าปี
ขงเนี่ยนโหรวไม่มีทางมองแล้วรู้เลยว่าเขาเป็นตัวปลอม
ขงเนี่ยนโหรวหัวเราะอย่างเย็นชา เปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าที่สบายและพิงหัวเตียง ดวงตาที่ลึกซึ้งจับจ้องไปที่ใบหน้าของฉินโม่หาน “คุณกับพ่อนี้หน้าตาเหมือนกันมากเลยนะ”
พอพูดจบ หญิงสาวก็หาวนอน “ที่จริงมันง่ายมากเลย”
“คนบ้าคลั่งอย่างเฉิงคัง ไม่มีทางปกป้องเด็กน้อยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขา”
“แต่ว่าเมื่อกี้ตอนที่ฉันออกมา คุณกลับเอามือมาปิดใบหน้าของเด็กน้อยโดยอัตโนมัติ”