เมื่อเผชิญหน้ากับซูสือเยว่พี่ดูเปราะบางขนาดนี้ ฟู๋เชียนเชียนก็กัดริมฝีปากแน่น เธออยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก
น้ำตาร่วงลงมาอย่างไร้เสียง เธอสูดน้ำมูก ไม่กล้าเผชิญหน้ากับซูสือเยว่ “ฉัน…… ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
แต่ว่ายิ่งฟู๋เชียนเชียนพูดแบบนี้ ซูสือเยว่ก็ยิ่งแน่ใจ ว่าทุกอย่างมันคือเรื่องจริง
ที่แท้มันก็คือเรื่องจริง……
ฉินโม่หานกับเจียงหลี……
ซูสือเยว่พิงหัวเตียง สองมือของเธอกำผ้าห่มแน่น แล้วน้ำตาก็ไหลลงมายังไร้เสียง
เป็นไปได้ยังไง……
ฉินโม่หานไม่ได้……ถูกวางยาไม่ใช่เหรอ?
จี้ว่านเชิ่งก็บอกเองนี่ ว่าเขาเปลี่ยนยาให้ฉินโม่หาน?
แถมเขายังบอกว่า อย่างมากฉินโม่หานก็จะหมดสติไป ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นอกเสียจาก……นอกเสียจากฉินโม่หานจะเป็นคนเริ่มเอง
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก ความเจ็บปวดเริ่มแผ่คลุมในหัวใจ
ไม่มีทาง……
ไม่มีทางเป็นไปได้!
ผู้ชายของเธอ เธอไม่เชื่อ!
มันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ !
ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ !
อาจจะ……
อาจจะเป็นเจียงหลีที่จงใจสร้างสถานการณ์มาก็ได้!
ถ้าคิดได้แบบนี้ ดวงตาของซูสือเยว่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
เธอกระโดดลงจากเตียง “ฉันจะไปดูหน่อย!”
ซูสือเยว่รีบร้อนมาก
แม้แต่ลืมไปว่า ตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหนแล้ว
เพราะว่าเธอหมดสติไปนาน ร่างกายของเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงเลย
ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของหญิงสาวแตะพื้น เธอก็ล้มลงกับพื้นอย่างไรเรี่ยวแรง
เสียงดัง “ปัง” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็แผ่ซ่านมาที่หัวเข่าของเธอ ซูสือเยว่เจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวไปหมด
แต่ว่าเธอก็พยายามฝืนพยุงร่างของตัวเองให้ลุกขึ้น “ฉันจะไปดูหน่อย”
การเคลื่อนไหวของซูสือเยว่ตั้งแต่กระโดดลงจากเตียงและล้มลง และพยายามลุกขึ้นนั้นมันเร็วเกินไป
ตอนที่ฟู๋เชียนเชียนตั้งสติได้อีกครั้งนั้น ซูสือเยว่ก็วิ่งออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว
เธอรีบตามออกไป แล้วก็จับแขนของซูสือเยว่เอาไว้ “สือเยว่ แกจะไปไหน?”
ซูสือเยว่เสียงแหบเพราะว่าเจ็บปวดและหมดสติมาหลายวัน “ฉันจะไปดู”
“เจียงหลีต้องใช้วิธีการอะไรแน่ๆ ”
“ฉันจะไปดูสถานที่จริงอีกครั้ง”
“ฉินโม่หานไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นอย่างแน่นอน”
“ฉันจะ……”
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปาก แล้วก็จับแขนของผู้หญิงคนนั้นไว้แน่น “สือเยว่ สงบสติหน่อย!”
“แกไม่รู้เหรอว่าแกหมดสติไปนานแค่ไหน?”
“แกหมดสติไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม!”
“เวลาผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรอีก? ของเหลวในที่เกิดเหตุมันแห้งหมดแล้ว!”
ซูสือเยว่อึ้งไป
เธอเหม่อลอยและเงยหน้าขึ้นมองฟู๋เชียนเชียน “ฉันหมดสติไป……อาทิตย์หนึ่งเลยเหรอ?”
“แล้วฉินโม่หานล่ะ?”
หญิงสาวกับริมฝีปาก แล้วก็จับแขนของฟู๋เชียนเชียนแน่น เสียงของเธอแพ้ “ฉินโม่หานน่าจะฟื้นแล้วใช่ไหม?”
“แล้วเขาล่ะ?”
“ทำไมคนที่เฝ้าฉันคือแก ไม่ใช่เขา?”
“เขา……”
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปาก แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา “สือเยว่ แกใจเย็นๆ แล้วฟังฉันพูดนะ ฉินโม่หานเขา……”
ฟู๋เชียนเชียนยังไม่ทันจะพูดจบ ก็มีเสียงประตูลิฟต์เปิด
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว แล้วก็หันหน้าไปมอง
ฉินโม่หานนั่นเอง
ฉินโม่หานในตอนนี้ สวมใส่ชุดสูทสีดำ เขาดูเย็นชาและน่าประหลาดใจ
ใบหน้าที่เย็นชา ไม่ยิ้มแย้ม แล้วก็ดวงตาคู่นั้น……
เย็นชาราวกับคนแปลกหน้า
เหมือนกับว่าเขาไม่คิดว่าพอประตูลิฟต์เปิดออกมาแล้วจะเจอกับซูสือเยว่ ดังนั้นตอนที่เห็นเธอ แววตาของเขาก็ขยับเล็กน้อย
หลังจากนั้น เขาก็เหลือบมองเธออย่างนิ่งเฉย “ฟื้นแล้วเหรอ?”
ซูสือเยว่มองผู้ชายตรงหน้าอย่างใจลอย “อืม ฟื้นแล้ว”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าฉินโม่หานที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ดูห่างไกลมาก
ห่างไกล จนเหมือนอยู่กันคนละโลก
เธอเลียริมฝีปากที่แห้งของเธอ “สามี ฉัน……”
“เรียกผมว่าคุณฉินแล้วกัน”
ชายหนุ่มเหลือบมองเธออย่างเย็นชา แล้วก็หันหน้าไปมองฟู๋เชียนเชียนด้วยแววตาที่ตำหนิ “เธอเพิ่งจะฟื้นก็พาออกมาแล้วเหรอ?”
“เรียกหมอหรือยัง?”
เม้มปาก ก้มหน้าและตอบด้วยเสียงเบา “ยัง คือว่าฉัน……”
“แล้วทำไมไม่รีบไปเรียกหมอ?”
ฉินโม่หานเลิกคิ้ว แล้วก็เหลือบมองฟู๋เชียนเชียนอย่างเย็นชา “มีเพื่อนคนไหนเป็นแบบเธอด้วยเหรอ?”
ฟู๋เชียนเชียนถูกแรงกดดันจากผู้ชายคนนี้จนรู้สึกหายใจไม่ออก
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันจะไปตามหมอตอนนี้แหละ”
พอพูดจบ หญิงสาวก็หันแล้วเดินออกไป
ในตอนนั้น ตรงทางเดินเหลือแค่ซูสือเยว่กับฉินโม่หานเพียงสองคน
ซูสือเยว่เม้มปาก เงยหน้ามองชายที่สูงกว่าตัวเอง “สามี ทำไมถึงได้ดุเชียนเชียนขนาดนั้นล่ะ? ”
“ผมบอกแล้ว ว่าให้เรียกผมว่าคุณฉิน”
ฉินโม่หานมองเธออย่างเฉยเมย แล้วก็ชี้นิ้วไปที่ห้องผู้ป่วย “ตอนนี้คุณคือคนป่วย ผมไม่อยากพูดอะไรรุนแรงกับคุณ”
“สิ่งที่คุณต้องทำในตอนนี้ ก็คือกลับขึ้นไปบนเตียง แทนที่จะมาพูดพร้อมกับผมตอนนี้”
พอพูดจบ ชายคนนั้นก็เหลือบมองนาฬิกาอย่างเฉยเมย “ทำให้ผมเสียเวลาไปหนึ่งนาที”
เขาเก็บโทรศัพท์ แล้วก็หันหลัง เดินไปที่ห้องทำงานของหมอ
ซูสือเยว่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังที่เย็นชาของผู้ชายคนนั้น เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เธอรู้สึกแม้แต่สงสัยในสายตาของตัวเอง
ที่เธอเห็นเมื่อกี้คือ……
สามีของเธอฉินโม่หานจริงๆ เหรอ?
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เย็นชากับเธอเหมือนคนแปลกหน้าเลยล่ะ?
เธอคือภรรยาของเขานะ
เธอกล้าที่จะเสี่ยงเพื่อเขา พาลูกทั้งสองคนบุกเข้าไปในฐานทัพของขงเนี่ยนโหรว แล้วก็ทำในเรื่องที่คนธรรมดาไม่สามารถที่จะทำได้
สุดท้าย เธอก็เห็นหลักฐานว่าเขานอนกลับเจียงหลีแล้วก็หมดสติไปหนึ่งอาทิตย์
ในช่วงเวลาเหล่านี้เขาไม่ได้เฝ้าอยู่เคียงข้างเธอก็ช่างเถอะ แต่ว่าตอนนี้เขายัง……
ทำกับเธอแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?
นี่เขาหมายความว่ายังไงกัน?
หญิงสาวกับริมฝีปากแน่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินตามไป
เธออยากถามให้ชัดเจน ว่านี่เขาหมายความว่าอะไรกันแน่!
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขารักกันมาก แต่ว่าหลังจากที่เธอหมดสติไปอาทิตย์หนึ่ง เขาก็เย็นชากับเธอขนาดนี้
แม้แต่……
ไม่อนุญาตให้เธอเรียกเขาว่าสามี แต่ให้เรียกว่าคุณฉิน!?
ซูสือเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง เดินไปยังทิศทางที่ผู้ชายคนนั้นเข้าไปข้างใน
“ตอนนี้สถานการณ์ของเขาซับซ้อนมาก ไม่มีใครสามารถตัดสินได้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่……”
ซูสือเยว่เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงาน ก็ได้ยินเสียงคุณหมอถอนหายใจออกมาจากด้านใน
“แค่พวกเราสามารถรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ ก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว”
“คุณฉิน คุณอย่าดุด่าพวกเรามากไปหน่อยเลยครับ เพราะว่าแม้แต่หมอที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลของเรา ก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน”
พอคุณหมอพูดจบ ในห้องก็มีเสียงถอนหายใจของผู้ชายคนนั้น
“แต่ว่า ถ้าเกิดว่าเขาไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วก็……”
ประโยคถัดมา เขาไม่ได้พูดต่อ
ชายหนุ่มเงียบไปสักพัก แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองคุณหมอ “ใช่สิ เมื่อกี้ตอนอยู่ที่ทางเดิน ผมเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้ว”
“ผมหวังว่าคุณจะสามารถประเมินสถานการณ์ของผู้หญิงคนนั้นได้”
“ถ้าเกิดว่าอาการของเธอดีแล้ว ผมอยากจะใส่เรื่องหย่าในตารางนัดหมายของผมด้วย”