พอกลับมาถึงห้องผู้ป่วย ซูสือเยว่ก็ถูกหมอที่ฟู๋เชียนเชียนถ้ามาตรวจร่างกายอยู่หลายครั้ง หลังจากแน่ใจว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร ถึงได้เขียนข้อมูลแล้วก็จากไป
วินาทีที่ประตูห้องถูกปิด น้ำตาของซูสือเยว่ก็ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้
เธอหลับตาลง ร่างกายของเธอพังทลายจนเหมือนจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
เธอก็แค่หมดสติไปไม่กี่วันเท่านั้นเอง ทำไมพอฟื้นขึ้นมาแล้ว โลกของเธอถึงได้พังทลายไปเลยล่ะ?
ฉินโม่หาน……
ทำไมถึงได้ทำกับเธอแบบนี้ ทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้?
เธอร้องไห้จนหายใจไม่ทัน
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปาก แล้วก็นั่งลงข้างๆ ซูสือเยว่ พร้อมกับยื่นมือไปกุมมือเธอเอาไว้ “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
“สือเยว่ ในเมื่อ……ในเมื่อฉินโม่หานทำไม่ดีกับแกขนาดนี้ แกก็ควรที่จะเริ่มชีวิตใหม่ ใช่ไหม? ”
“เดี๋ยวพอพวกเธออยากกันเมื่อไหร่ แกก็จะได้กลับไปที่เมืองสตัฟฟ์ กลับไปตระกูลเจี่ยน”
“ใช่สิ ช่วงที่แกหมดสติไป แม่ของแกหลิวหรูเยียนก็ฟื้นขึ้นมาแล้วนะ”
“ที่พ่อของแกไม่ได้มาอยู่เฝ้าแก ก็เพราะว่าไปเยี่ยมเธอนั่นแหละ”
“ได้ยินมาว่าตอนนี้ร่างกายของเธอยังอ่อนแอ ทุกวันก็ได้แต่นอนอยู่บนเตียงแล้วก็พูดออกมาได้ไม่กี่คำเท่านั้น แต่ยังไงก็ถือว่าฟื้นแล้ว”
“ก่อนหน้านี้แกบอกว่า ถ้าเกิดว่าแม่ฟื้นขึ้นมา แกจะดูแลเธอให้ดี แล้วก็กตัญญูต่อเธอไม่ใช่เหรอ?”
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปาก “แกอยาก……ให้จี้หนานเฟิงไปส่งแกที่เมืองสตัฟฟ์ ไปหาแม่แกหน่อยไหม?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากแน่น
หลิวหรูเยียนฟื้นขึ้นมาตอนที่เธอหมดสติ……
นี่เป็นเรื่องที่เธอนึกไม่ถึงเลย
เดิมที เรื่องที่หลิวหรูเยียนฟื้นขึ้นมานั้นเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเกิดว่าเป็นซูสือเยว่เมื่อก่อนนี้ เธอก็คงจะตื่นเต้นและโทรหาเจี่ยนหมิงจง แล้วก็ไปดูแลหลิวหรูเยียนพร้อมกับเจี่ยนหมิงจง
แต่ว่าตอนนี้……
ทั้งหัวของเธอมีแต่ฉินโม่หาน
ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ได้กตัญญู……
แต่มันเป็นเพราะว่า……
ถึงแม้ว่าหลิวหรูเยียนกับเจี่ยนหมิงจงจะเป็นพ่อแม่แท้ๆ ของเธอ แต่ว่าหลายปีมานี้ พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมกับชีวิตของเธอเลย
ต่อให้ช่วงหลังมานี้เจี่ยนหมิงจงเคยใช้ชีวิตอยู่กับเธอช่วงเวลาหนึ่ง แต่ว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเจี่ยนหมิงจงนั้น มันยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่เธอมีให้ฉินโม่หาน
ฉินโม่หานอยู่ใกล้และไกล ส่งผลกระทบต่อเธอมาห้าปีแล้ว
ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดตอนที่เธอถูกเฉิงเซวียนกับเซี่ยงหวั่นฉิงหักหลัง ก็มีแต่ฉินโม่หานที่ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจและให้ความหวังที่จะเผชิญกับชีวิตอีกครั้ง
และก็เป็นฉินโม่หาน ที่พาลูกชายทั้งสองคนเข้ามาในชีวิตของเธอ เธอถึงได้กลายเป็นซูสือเยว่ในทุกวันนี้
แต่ว่า……
ตอนนี้ ฉินโม่หานไม่ได้ต้องการเธออีกต่อไปแล้ว
ต่อให้เขาไม่ต้องการเธอ แต่ว่าเธอก็เป็นคนพูดเรื่องหย่าขึ้นมาก่อน
แต่ว่า ในใจของซูสือเยว่รู้ดีว่า ที่พวกเขาต้องหย่ากัน ต้องแยกออกจากกัน ทั้งหมดเป็นเพราะฉินโม่หาน……
ต่อให้เธอไม่พูด ไม่ช้าก็เร็วเขาก็พูดอยู่ดี
พอคิดได้แบบนี้ หัวใจของหญิงสาวก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง
เธอไม่สามารถจินตนาการชีวิตที่ไม่มีฉินโม่หานอยู่ได้เลย และก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ลูกทั้งสามคนของเธอหลังจากนี้จะทำยังไง
พวกเขาเพิ่งห้าขวบเท่านั้นเอง
หรือว่าตั้งแต่ห้าขวบเป็นต้นไป พวกเขาก็จะมีชีวิตที่ไม่มีพ่อแล้วเหรอ?
ต่อไปเธอต้องใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวพร้อมกับลูกทั้งสามคนใช่ไหม?
พวกลูกๆ โตแล้ว เธอควรจะสั่งสอนพวกเขายังไง จะทำให้พวกเขาเติบโตมาในบรรยากาศแห่งความรักได้ยังไง……
เพราะคิดแบบนี้ น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาเป็นสายน้ำ
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปาก มองดูท่าทางของซูสือเยว่ สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถอดทนได้
“สือเยว่”
ฟู๋เชียนเชียนเม้มปาก “แกไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเรียกฉินโม่หานว่าท่านชายฉินไม่ใช่เหรอ”
“เขาก็ยอมรับเองว่าตัวเองคือท่านชายฉิน”
“แกไม่เคยคิดเหรอว่า……ฉินโม่หานในตอนนี้ ทำไมถึงให้แกเรียกเขาว่าคุณฉิน?”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ซูสือเยว่ชะงักไป
เธอเม้มปาก เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฟู๋เชียนเชียนด้วยน้ำตานองหน้า “เชียนเชียน แกหมายความว่ายังไง?”
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปาก จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
เธอเคยรับปากจี้หนานเฟิง ว่าจะไม่บอกเรื่องของตระกูลจี้กับซูสือเยว่
แต่ว่า……
พอเห็นเพื่อนรักของตัวเองร้องไห้ขนาดนี้ เธอก็อดไม่ได้
แล้วอีกอย่าง ในช่วงเวลานี้ ฟู๋เชียนเชียนก็คิดอยู่ตลอดว่า เรื่องนี้ จะปิดบังซูสือเยว่ไปตลอดอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าเกิดว่ามันเป็นเหมือนที่คุณหมอพูด……ฉินโม่หานไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ หนึ่งปีหลังจากนี้การทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายจะเริ่มหยุดทำงาน……
แล้วถ้าซูสือเยว่ยังไม่รู้ความจริง แม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิตฉินโม่หาน ก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้?
ถ้าเป็นแบบนี้มันยุติธรรมสำหรับเธอแล้วเหรอ?
การที่ทำให้เธอเกลียดผู้ชายที่เธอเคยรักมากที่สุด มันคือวิธีที่ทำให้เธอลืมฉินโม่หานได้ดีที่สุด
แต่ว่า ถ้าเกิดว่าซูสือเยว่รับรู้ความจริงขึ้นมาล่ะ……
ถ้าเกิดว่าเธอเลือกที่จะทำลายความสัมพันธ์กับเพื่อนและญาติพี่น้อง แล้วฆ่าตัวตายตามฉินโม่หานไปล่ะ?
หลายวันมานี้ ฟู๋เชียนเชียนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกวันจนทรมาน
ในที่สุดตอนนี้ซูสือเยว่ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “สือเยว่ ฉันคิดว่าแกลองสังเกตต่อไปเรื่อยๆ ดีกว่า”
“บางที……ฉินโม่หานคนนี้ อาจจะไม่ใช่ฉินโม่หานตัวจริงก็ได้? ”
“แกน่าจะรู้จักผู้ชายของแกดีที่สุด ท่าทางของเขาที่มีต่อแก ให้ความรู้สึกแกเหมือนกันไหม? ”
ซูสือเยว่อึ้งไป
เธอกัดริมฝีปากแน่น เงยหน้าขึ้นมองหน้าฟู๋เชียนเชียน ตรงหน้าของเธอตอนนี้ปรากฏภาพทั้งหมดที่เธอได้เจอฉินโม่หานหลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา
มันผิดปกติ……
นอกจากสิ่งที่ฟู๋เชียนเชียนพูด ว่าเขาให้เรียกเขาว่าคุณฉิน ผู้ชายคนนี้ก็ยังมีอีกหลายแห่งที่ไม่เหมือนกับฉินโม่หาน
อย่างเช่น……
ฉินโม่หานเมื่อก่อน ต่อให้เขาไม่รู้ว่าฟู๋เชียนเชียนเป็นเพื่อนรักของเธอ ก็ไม่มีทางใช้น้ำเสียงแบบนั้นพูดกับฟู๋เชียนเชียน
เขาคนนี้ ถึงแม้ว่าจะเย็นชากับคนนอก แต่ว่ากับญาติหรือเพื่อนของตัวเอง เขาจะเข้าหาง่ายมาก
เขาจะใช้น้ำเสียงที่เหมือนคุยกับคนแปลกหน้า สั่งให้ฟู๋เชียนเชียนไปตามหมอได้ยังไงกัน?
แล้วอีกอย่างสายตาที่เขามองมาที่เธอมันก็ผิดปกติ
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากแน่น
ฉินโม่หานเมื่อก่อนนั้น ต่อให้เขาทำเพื่อที่จะให้เธอรื้อฟื้นความทรงจำกลับมา จงใจคบกับหยางชิงโยว แต่ว่าสายตาของเขาที่มองมาที่เธอนั้นก็ยังคงลึกซึ้ง
แต่ว่าวันนี้ ตอนที่มองมาที่เธอนั้น……
มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย
สายตาไม่สามารถหลอกคนได้
ต่อให้ฉินโม่หานไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเธอแล้ว สายตาที่เขามองมาที่เธอ ก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้!
เพราะว่าเมื่อกี้อารมณ์ของเธอมันค่อนข้างที่จะตื่นเต้นไปหน่อย ก็เลยไม่ทันสังเกตอะไรพวกนี้
ตอนนี้พอฟู๋เชียนเชียนพูดแบบนี้แล้ว เธอถึงได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนกับฉินโม่หานหลายแห่งมากๆ !
ต่อให้ฉินโม่หานไม่รักเธอแล้ว ก็ไม่มีทางพูดกับคุณหมอว่าเธอคือ “ผู้หญิงคนนั้น”
พอคิดได้แบบนี้แล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วก็มองหน้าฟู๋เชียนเชียนด้วยแววตาที่ตกใจ “เชียนเชียน……”
“แกหมายความว่า ผู้ชายที่ฉันเจอเมื่อกี้นี้ ไม่ใช่ฉินโม่หานใช่ไหม? ”
ฟู๋เชียนเชียนกัดริมฝีปากและพยักหน้า “อืม”