“สือเยว่?”
เพราะเห็นว่าสือเยว่เหม่อมองไปไกลแสนไกล ฉินหนานเซิงก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เงยหน้ามองเธอ “คุณก็คิดว่าพฤติกรรมนี้มันผิดปกติใช่ไหม”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก
ถ้าเกิดไม่ได้ยินผิดล่ะ็ เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องทำงานของคุณหมอนั้น ได้ยินอย่างชัดเจนว่าลู่จิ่งเฉินพูดกับหมอว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว
ที่แท้คู่หมั้นของเขาก็คือเจียงหลียังงั้นเหรอ?
นี่มันเป็นไปไม่ได้
ฟังจากน้ำเสียงของลู่จิ่งเฉินแล้ว คู่หมั้นคนนี้ น่าจะรู้จักกับเขามานานแล้ว
ส่วนเจียงหลี น่าจะเพิ่งรู้จักกันหลังจากที่ฉินโม่หานหมดสติไป
เขาน่าจะพาเจียงหลีไปออกตามงานสังคมต่างๆ ทั้งๆ ที่มีแฟนอยู่แล้ว
พฤติกรรมนี้มันแปลกๆ
ไม่ว่าในฐานะที่เขาเป็นฉินโม่หานหรือว่าลู่จิ่งเฉินก็ตาม ซูสือเยว่ก็ไม่รู้ว่าแรงจูงใจที่ผู้ชายคนนี้ทำแบบนี้คืออะไรกัน
……นอกจากเขาจะเป็นคนบ้าที่คลั่งไคล้แม่ของตัวเอง
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าพอลู่จิ่งเฉินเกิดก็ถูกลู่เนี่ยนโหรวส่งตัวให้คนอื่นทันที เขาน่าจะไม่เคยสัมผัสกับแม่ของเขาเกินวันเดียว
แล้วเขาจะมีความคิดที่ซับซ้อนแบบนั้นได้ยังไง?
ไม่ว่าจะคิดยังไงซูสือเยว่ก็ไม่เข้าใจ
ความจริงแล้ววิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือไปถามลู่จิ่งเฉินด้วยตัวเอง
แต่ว่าตอนนี้เธอไม่สามารถเปิดเผยเรื่องที่ตัวเองรู้ความจริงแล้วได้
อย่างน้อย ก่อนที่เธอจะได้เจอฉินโม่หาน เธอจะเปิดเผยไม่ได้
ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายเริ่มเพิ่มการป้องกันและตื่นตัวมากขึ้น เธอก็ยิ่งจะเจอเขาได้ยากขึ้นไปใหญ่
ถ้าคิดได้แบบนี้แล้ว ซูสือเยว่ก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“หนานเซิง เรื่องพวกนี้ได้ไม่ต้องยุ่งแล้วกัน”
“นายกลับลั่วเยียนช่วยฉันดูแลลูกฉันทั้งสามคนให้ดีก็พอแล้ว”
ฉินหนานเซิงพยักหน้า
แล้วทั้งสองคนก็คุยกันต่ออีกหน่อย ลั่วเยียนก็โทรหาฉินหนานเซิง บอกว่าเด็กน้อยทั้งสามคนรออย่างใจจดใจจ่อแล้ว
ฉินหนานเซิงก็เลยต้องเข็นวีลแชร์ออกจากห้องไป
ตอนที่มาถึงหน้าประตูนั้น เขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันกลับมามองซูสือเยว่
“มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าควรบอกคุณหรือเปล่า”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว “ทำไมเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้ผมอยากหย่ากับลั่วเยียนมาโดยตลอด แต่ว่าหาเหตุผลไม่ได้ ตอนนี้ผมหาได้แล้ว”
ฉินหนานเซิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ลู่จื่อเหยากลับมาแล้ว”
“ผมอยากอาศัยเรื่องที่ลู่จื่อเหยากลับมา ให้เธอกลับเข้าไปในวงการบันเทิง กลายเป็นลั่วเยียนที่เปล่งประกายอีกครั้งหนึ่ง”
“แต่ว่าก่อนหน้านั้น เธออาจจะเศร้าไปสักพักหนึ่ง”
“ถ้าเกิดว่าคนมีเวลา ก็ช่วยเกลี้ยกล่อมเธอหน่อยแล้วกัน”
ซูสือเยว่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกถึง “ลู่จื่อเหยา”ที่ฉินหนานเซิงพูดขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งน้องชายของลั่วเยียนเคยบอกกับเธอ ว่าก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้เคยเป็นเพื่อนกับลั่วเยียนที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วหลังจากนั้นก็คบกับฉินหนานเซิงแทนที่ลั่วเยียน
แต่ว่า ตอนนั้นลู่จื่อเหยาเสียชีวิตเพราะอาการป่วยไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
ลั่วชิงเจ๋อน้องชายของลั่วเยียนเคยพูดกับซูสือเยว่ ว่าเหตุผลที่ลั่วเยียนไม่แฉะเรื่องพฤติกรรมของลู่จื่อเหยา ก็เพราะว่าลู่จื่อเหยาป่วยหนัก
ลั่วเยียนที่เป็นคนจิตใจดีไม่สามารถอธิบายให้ฉินหนานเซิงฟัง แล้วทำร้ายคนที่ป่วยจนใกล้เสียชีวิตได้
แต่ว่าตอนนี้……
“ลู่จื่อเหยายังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
ฉินหนานเซิงหยุดชะงัก
“อืม”
“คนที่เสียชีวิตในตอนนั้นไม่ใช่เธอ แต่ว่าเป็นคนป่วยในห้องผู้ป่วยเดียวกับเธอ เธอถูกส่งไปรักษาที่ต่างประเทศ ตอนนี้หายดีแล้ว”
ซูสือเยว่ช็อกจนพูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็เงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วก็มองหน้าฉินหนานเซิง
“ดังนั้นในก็ได้วางแผนจะหย่ากับลั่วเยียน แล้วก็คบกับลู่จื่อเหยาอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น”
ฉินหนานเซิงถอนหายใจ “ตอนนี้ลู่จื่อเหยามีคู่หมั้นแล้ว”
“ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าคู่หมั้นของเธอคือใคร แต่ขอแค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว”
พอพูดจบ ชายหนุ่มก็เข็นวีลแชร์ออกไป
ซูสือเยว่นั่งพิงหัวเตียง นวดศีรษะที่ปวดร้าวของตัวเอง
เธอหมดสติไปแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นเอง
แต่พอฟื้นขึ้นมา โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปหมด
แต่ว่าตอนนี้เธอไม่มีเวลาที่จะไปคิดถึงปัญหาของลั่วเยียนกับฉินหนานเซิง
ตอนนี้ทั้งหัวของเธอมีแต่ฉินโม่หาน
เช้าตรู่วันที่สอง ฟู๋เชียนเชียนส่งข่าวดีมาให้เธอ:
“ตอนนี้จี้หนานเฟิงกำลังเดินทาง ใกล้จะมาถึงห้องผู้ป่วยของแกแล้ว”
“ก็อยากจะพูดอะไรกับเขา ก็พูดให้หมดเลย มีเวลาเหลือเฟือ”
ซูสือเยว่เม้มปาก ตอนที่ส่งข้อความไปหาฟู๋เชียนเชียนว่า “ขอบคุณ” ประตูห้องของเธอก็ถูกเปิดออก
จี้หนานเฟิงเข้ามาพร้อมกับถืออาหารเช้าสำหรับคนสองคนเข้ามาด้วย
ไม่ได้เจอกันนาน จี้หนานเฟิงดูหล่อเหลาและแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อน
พอเขาเข้ามา ก็ขมวดคิ้วและมองหน้าซูสือเยว่ “เธอล่ะ? ”
ซูสือเยว่สับสน แล้วก็เข้าใจในทันที ว่า “เธอ”ที่จี้หนานเฟิงพูดถึงนั้น ก็คือฟู๋เชียนเชียน
เธอเม้มปากและยิ้ม “เชียนเชียนบอกคุณว่าฉันอยู่ที่นี่เหรอ?”
ถ้าไม่อย่างนั้น จี้หนานเฟิงก็คงจะไม่ถืออาหารเช้าสำหรับสองคนเข้ามาหรอก
ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างรุนแรง:
“นี่ผมโดนหลอกเหรอ?”
ซูสือเยว่ยักไหล่แล้วก็รับอาหารเช้าที่เขาส่งมาให้ “จะเรียกว่างั้นก็ได้”
ใบหน้าของจี้หนานเฟิงมืดมนลงในทันที
ต้องรู้ว่า เขาเลื่อนการถ่ายโฆษณาในตอนเช้า เพื่อตั้งใจมาหาฟู๋เชียนเชียน
แต่ว่าผู้หญิงคนนี้กับเบี้ยวเขาซะอย่างนั้น!
พอคิดได้แบบนี้ จี้หนานเฟิงก็ถอนหายใจออกมา วางของในมือลงแล้วก็เดินไปที่ประตูอย่างสง่างาม
“ขอโทษที่รบกวน ผมไปก่อนละ”
“รอก่อน”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว แล้วก็เงยหน้ามองหน้าจี้หนานเฟิงอย่างจริงจัง
“ฉันอยากเจอฉินโม่หาน”
“ฉินโม่หานตัวจริง”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้สีหน้าของจี้หนานเฟิงดูตื่นตกใจ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทำอะไรไม่ถูก
“เธอบอกคนแล้วเหรอ?”
ซูสือเยว่เม้มปาก แล้วก็พยักหน้าเงียบๆ “ฉันเดาได้”
“ต่อให้คุณเดาได้ก็คงเดาไม่ได้ทุกด้านหรอก เธอต้องบอกคุณอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา แล้วก็หันหลังเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตู
“สือเยว่ พวกเรารู้จักกันมานานแล้ว ผมเป็นคนยังไงคุณก็รู้ดีอยู่”
“ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผมสามารถช่วยได้ ผมก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงอยู่แล้ว”
“แต่ว่าเรื่องนี้……”
“มันเป็นไปไม่ได้”
ซูสือเยว่หลับตาลง “ทำไมล่ะ?”
“ฉินโม่หานคือสามีของฉัน”
“ตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเจอสามีของตัวเองเหรอ?”
จี้หนานเฟิงขมวดคิ้วและตัดบทเธอ:
“ไม่ใช่ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่แค่ไม่อยากให้คุณเห็นสภาพของเขาที่ใกล้จะไม่รอดเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มสุดหายใจเข้าลึกๆ “แล้วอีกอย่างคุณเองก็ดูดีอยู่ เพราะว่าไม่อยากจะรับช่วงต่อกิจการของตระกูลจี้ ผมก็เป็นคนที่อยู่ห่างๆ ตระกูลจี้มาก ไม่สามารถเข้าถึงความลับสิ่งหลายอย่างได้”
“ต่อให้วันนี้ผมรับปากคุณ ว่าจะแอบพาคุณไปหาฉินโม่หาน คุณจะได้เจอเขาอย่างนั้นเหรอ?”
“แม้แต่ผมยังไม่ได้เจอเลย!”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก แล้วก็เงยหน้ามองจี้หนานเฟิงอย่างจริงจัง
“แล้วลู่จิ่งเฉินคิดจะทำอะไรกันแน่?”
อยากจะใช้ชีวิตเป็นฉินโม่หานอย่างนั้นเหรอ?
หรือว่าอะไรอีก?
ถ้าไม่อย่างนั้น ซูสือเยว่คิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมเรื่องที่ฉินโม่หานหมดสตินั้น ถึงต้องทำให้มันเป็นความลับและปิดบังอยู่แบบนี้
แล้วก็ปล่อยให้พี่ชายฝาแฝดปลอมตัวกลายเป็นเขา และก็ปรากฏตัวที่ด้านนอกอย่างปกติราบรื่น
เขาบอกว่ามันเป็นการทำให้ศัตรูสับสน……
แต่ว่าขงเนี่ยนโหรวก็ตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
หรือว่าฉินโม่หานยังมีศัตรูคนอื่นอีก?