ที่โรงพยาบาล
มือทั้งสองข้างของซูสือเยว่ถูกพันไว้แน่น
เธอนั่งอยู่ด้านข้างเตียงผู้ป่วยของฉินโม่หาน ริมฝีปากมีรอยยิ้ม แล้วก็มองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของชายหนุ่มที่แทบจะไม่มีเลือดเลย
“สามี”
“ฉันไร้ประโยชน์”
เธอพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง:
“ฉัน……ไม่ได้ดูแลเครื่องอัดเสียงนั้นให้ดี”
“ที่อัดเสียงนั้นถูกลู่จื่อเหยาเอาไปแล้ว แล้วฉันก็ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องของเธอได้ และก็ไม่สามารถเอาที่อัดเสียงกลับคืนมาได้ด้วย”
“ดังนั้น……”
เธอสูดน้ำมูก แล้วก็ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเอง
น้ำตาเปียกผ้าก๊อซที่หลังมือของเธอ แล้วก็ผสมกับรอยเลือดที่เลือดบนผ้าก๊อซนั้น
หญิงสาวกัดริมฝีปาก “ดังนั้นคืนนี้ ฉันจะไม่นอน”
“สิ่งที่เจียงหลีพูดนั้น ฉันจำได้อย่างชัดเจน……”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันจะเล่าให้นายฟัง ว่าวันนั้นหลังจากไหนหมดสติไป เจียงหลีทำอะไรกับนายบ้าง……”
“นายไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะ และก็ไม่ต้องโทษตัวเองด้วย นายจะไม่เชื่อตัวเองไม่ได้ อย่าคิดว่าตอนที่ไหนไม่มีสติ แล้วนายจะทำเรื่องที่เหลือเชื่อ”
“แต่ฉันรู้สึกว่า……”
“นายไม่ควรจะคิดเยอะขนาดนี้ เพราะว่าฉันเชื่อในมาโดยตลอด”
“สามีของฉัน ต่อให้มีสติ ก็รู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้”
“วันนั้น……”
สายตาของเธอมองไปที่ใบหน้าของฉินโม่หานที่กำลังหลับตาสนิท เธอพูดทีละคำ เล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เจียงหลีพูดก่อนหน้านี้ให้เขาฟังทั้งหมด
อีกครั้ง และอีกครั้ง
เริ่มดึกแล้ว
ฟู๋เชียนเชียนยืนอยู่หน้าห้องICU มองผ่านกระจกบานใหญ่ที่สูงพื้นจรดเพดาน เห็นท่าทางของซูสือเยว่ที่กำลังพยายามอธิบายให้ฉินโม่หานฟังอย่างตั้งใจ น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า
“เขาจะต้องดีขึ้น”
จี้หนานเฟิงเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ฟู๋เชียนเชียน แล้วก็วางมือบนไหล่ของฟู๋เชียนเชียนอย่าเงียบๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“ถ้าเกิดว่าฉันเป็นฉินโม่หาน ขอแค่ฉันได้ยิน แม้ว่าต้องพยายามอย่างสุดชีวิต ก็ต้องตื่นขึ้นมาให้ได้ มีชีวิตต่อไปให้ได้”
เสียงและการสัมผัสของชายหนุ่มทำให้ฟู๋เชียนเชียนขมวดคิ้วเข้าหากัน
เธอหันหน้าไป แล้วก็จ้องน่าจี้หนานเฟิง
“ดังนั้นตอนนี้ นายแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าในใจของนาย ยังชอบซูสือเยว่อยู่ ใช่ไหม?”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้จี้หนานเฟิงแข่งชื่อไปในทันที
เธออึ้งไป แล้วก็มองลงไปที่ผู้หญิงในอ้อมแขนของเขา
“ทำไมจู่ๆ ……ถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา?”
ฟู๋เชียนเชียนอย่าใกล้ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองซูสือเยว่กับฉินโม่หานที่อยู่ในห้องกระจก “แล้วมันไม่ใช่เหรอ?”
“นายบอกว่าถ้าเกิดว่านายเป็นฉินโม่หาน ซูสือเยว่เรียนายขนาดนี้ในจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
พอพูดจบเธอก็ถอนหายใจออกมา “แต่ว่าฉันขอแนะนำนะ ว่ายอมแพ้ซะเถอะ”
“ซูสือเยว่กับฉินโม่หานสองคนนี้เขารักกัน นายเองก็รู้”
“นายไม่มีโอกาสตั้งแต่แรกแล้ว”
จี้หนานเฟิงแค่รู้สึกว่าเขาอดไม่ได้ที่เส้นเลือดที่หน้าผากปูดขึ้นมา
ผู้หญิงคนนี้……
ความโง่ของเธอมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนกัน!?
ที่เขาพูดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเพราะอยากจะสารภาพกับเธอ อยากจะบอกเธอว่าถ้าเกิดว่าเขาเป็นฉินโม่หาน แล้วฟู๋เชียนเชียนอยู่ข้างๆ เขาแล้วทำกับเขาแบบนี้ เขาจะต้องตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน
แต่ว่าผู้หญิงคนนี้……
ผู้หญิงคนนี้!
จี้หนานเฟิงกัดฟันและถลึงตาใส่ฟู๋เชียนเชียน
“สมองเธอไม่ค่อยดีเหรอ?”
ฟู๋เชียนเชียนขมวดคิ้วแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองจี้หนานเฟิง “ฉันเตือนนายด้วยความหวังดี แต่นายกลับมาบอกว่าฉันจะบอกไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ได้เลย”
เธอสะบัดมือของจี้หนานเฟิงออก แล้วก็ถอยไปด้านหลังหนึ่ง“ ถ้าอย่างนั้นจะไม่เกลี้ยกล่อมอะไรแล้ว นายชอบซูสือเยว่ต่อไปเถอะ ความรู้สึกของการรักแต่ไม่ได้ครอบครองมันทรมาน นายค่อยๆ สัมผัสมันเองแล้วกัน!”
พอพูดจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินออกไป
จี้หนานเฟิงยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินจากไป มือทั้งสองข้างก็กำหมัดแน่น
ผู้หญิงคนนี้……
นี่มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว!?
ทุกครั้งที่เขาอยากจะสารภาพรักกับเธอ ถ้าเธอไม่เชื่อก็เข้าใจเขาผิด!
เธอเป็นเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไปไม่ได้เหรอ วิเคราะห์เขาดีๆ แล้วก็คบกับเขาดีๆ !?
ผู้หญิงแบบนี้……
เคยเป็นแฟนคลับของเขา
แต่ว่าแค่เขาคิดยังไงก็ยังถ่ายไม่ออก!
“มัวแต่งงอะไรอยู่เหรอครับ?”
ที่ไกลจากตรงนั้น หานหยุนเอามือกอดอกและพิงกำแพง มองมาที่จี้หนานเฟิงด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“ยังไม่ตามไปอีก ภรรยาตัวเองจะหนีไปแล้วจริงๆ นะ”
“เห็นได้ชัดว่ายัยสาวน้อยคนนี้ชอบคุณ แต่ว่าเธอไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าเธอเทียบกับผู้หญิงที่สวยงามอย่างซูสือเยว่ไม่ได้”
“ตอนนี้คนไม่ตามไป มัวแต่รออะไรอยู่เหรอ?”
จี้หนานเฟิงเงียบไปครู่นึง แล้วบก้าวยาวตามไป
“วัยรุ่นสมัยนี้เนี่ย”
เขาถามหายใจออกมา แล้วก็มองไปยังทิศทางที่จี้หนานเฟิงเดินออกไป พร้อมกับหันกลับเข้ามามองในห้องICU
ซูสือเยว่ยังคงเต็มไปด้วยน้ำตา เอามือทั้งสองข้างที่พันผ้าก๊อซหนากุมมือของฉินโม่หานเอาไว้ ร้องไห้ไปพูดไป
หยุนขมวดคิ้วเงียบๆ
เขาเชื่อว่า คืนนี้ซูสือเยว่ก็ไม่ยอมนอนอย่างแน่นอน
เธอจะเฝ้าอยู่ข้างๆ ฉินโม่หานทั้งคืน และก็เล่าเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นให้เขาฟังทั้งคืน
ความจริงแล้วหานหยุนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนี้จะมีประโยชน์อะไรไหม
ความจริงแล้ว……
คำพูดที่ซูสือเยว่เอามาเล่าต่อ ผลที่ได้มันไม่ดีเท่ากับออกมาจากปากของเจียงหลีเองหรอก
แต่ว่าเจียงหลีตายไปแล้ว และเครื่องอัดเสียงก็ถูกแย่งไปแล้ว เธอทำได้แค่แบบนี้แหละ……
พอคิดได้แบบนี้ ทันใดนั้นหานหยุนก็นึกอะไรขึ้นมาได้
เขาขมวดคิ้ว แล้วก็ให้พยาบาลคอยดูแลซูสือเยว่เอาไว้ ตัวเองก็เดินออกจากโรงพยาบาลไป แล้วก็ขับรถไปยังร้านอาหารที่ซูสือเยว่ไปก่อนหน้านี้
ในห้องดูกล้องวงจรปิดของร้านอาหาร พนักงานกำลังหลับอยู่
หานหยุนหยิบแบงก์กองหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ
“ขอดูกล้องวงจรปิดหน่อยครับ”
คนตรงนั้นมองหน้าเขาแล้วก็หาวนอน จัดการกล้องวงจรปิดไปด้วย แล้วก็ถอนหายใจไปด้วย
“มาดูกล้องวงจรปิดของดาดฟ้าใช่ไหม?”
“เย็นนี้ดาดฟ้าคึกคักมาก”
หานหยุนขมวดคิ้ว “นอกจากผมแล้วยังมีคนอื่นมาที่นี่อีกเหรอ?”
คนคนนั้นพยักหน้า:
“ดาราใหญ่ลั่วเยียน”
“ตอนนี้ควรพูดว่า อดีตดาราใหญ่ลั่วเยียนมากกว่า”
“ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง หน้าตาก็สวยสดงดงามขนาดนั้น ไม่คิดเลยว่าจะออกจากวงการ และก็ออกจากวงการแล้วยังคิดจะฆ่าคนอีก……”
“น่าเสียดายจริงๆ ”
มือทั้งสองข้างของหานหยุนกำหมัดแน่น
เขามองดูภาพเหตุการณ์ในกล้องวงจรปิด แล้วก็ฟังเสียงของลู่จื่อเหยา แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่น
ผู้หญิงคนนี้……
ต้องการที่จะทำร้ายลั่วเยียน และทรัพย์สินของฉินโม่หานที่สร้างมาหลายปี……
เลวร้ายจริงๆ
แต่ว่า ถ้าเกิดว่าตอนที่ซูสือเยว่เล่าเรื่องนั้นให้ฉินโม่หานทางขึ้นมาไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องมาย้อนคิดเรื่องที่จะเอาปากกาอัดเสียงนั้นกลับคืนมา
เขาถอนหายใจ แล้วก็เก็บวิดีโอนั้นไว้ในโทรศัพท์แล้วก็เดินออกไป
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
ตอนที่ลั่วเยียนตื่นขึ้นมา เรื่องแรกที่เธอทำก็คือโทรหาฉินหนานเซิง
“ฉินหนานเซิง”
เธอนั่งอยู่บนโซฟา พูดกับผู้ชายที่อยู่ปลายสายด้วยใบหน้าที่เฉยชา น้ำเสียงเยือกเย็นโดยที่ไม่มีความรู้สึกปนอยู่ในนั้นเลย
“พวกเราหย่ากันเถอะ”