ฉินหนานเซิงที่อยู่ปลายสายนั้นน่าจะคาดไม่ถึง ว่าพอรับสายแล้วลั่วเยียนจะพูดเรื่องนี้เป็นอย่างไร เขาอึ้งไปหลายวินาที หลังจากนั้นก็ตอบด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
“โอเค”
“เมื่อไหร่ดี?”
“ตอนนี้เลยแล้วกัน”
ลั่วเยียนหลับตาลง “ถ้าเกิดว่าตอนนี้เรามีเวลาเราก็……”
“ไม่มี”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้วแล้วก็มองหน้าจอทีวี “ทำไมเธอต้องรีบหย่าขนาดนั้น? ”
ลั่วเยียนที่อยู่บริษัทสายก็คลี่ยิ้มออกมา “แน่นอนว่าเพื่อที่จะมอบโอกาสให้นายกับลู่จื่อเหยาไง”
“ฉินหนานเซิง ไม่ว่าฉันจะพูดอย่างไร ไหนก็เชื่ออยู่ดีว่าคนที่เขียนจดหมายกับนายเมื่อตอนนั้นคือลู่จื่อเหยา และนายก็ยังเชื่อมั่นว่า ลู่จื่อเหยาคือผู้หญิงที่นายเคยชอบมากที่สุด……”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะยอมรับ ว่าเธอใช่ ฉันไม่ใช่ ฉันหลอกนายมาโดยตลอด”
“มันไม่มีการสวมรอย แล้วก็ไม่มีเรื่องที่ลู่จื่อเหยาเขียนแบบลายมือชั้น ฉันต้องหาที่เรียนแบบลายมือของลู่จื่อเหยา ฉันวางแผนว่าหลังจากที่ลู่จื่อเหยาตายไปแล้วฉันจะมาแทนที่ของเธอ สิ่งที่นายเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มันถูกต้องทั้งหมด”
ลั่วเยียนที่นั่งอยู่บนโซฟาพูดด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ฉันในเมื่อก่อนหมกมุ่นอยู่กับการอยากคบกับนาย ฉันรู้สึกว่าถ้าเกิดว่าลู่จื่อเหยาตายไปแล้ว น่าจะมอบโอกาสให้ฉัน แต่ว่าตอนนี้ฉันมองออกแล้ว”
“ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะหย่ากับนาย ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
ตอนที่พูดคำพูดพวกนี้นั้น น้ำเสียงของลั่วเยียนดูสงบนิ่งมาก เหมือนกับว่ากำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่
แต่มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่รู้ว่า มืออีกข้างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเธอ เล็บจิกมือแน่นจนฝังลงไป
เธอเป็นนักแสดงหญิงที่ยอดเยี่ยม เคยได้รับเกียรติให้เป็นนักแสดงหญิงดีเด่นตั้งหลายครั้ง
เรื่องการซ่อนอำพรางอารมณ์พวกนี้ ไม่มีใครดีกว่าเธอหรอก
“ฉินหนานเซิง เรื่องเมื่อก่อนนี้ฉันผิดไปแล้ว ฉันควรจะหย่ากับนายตั้งนานแล้ว มันเป็นความผิดของฉันเอง ที่ไม่คิดให้ดี”
เธอพยายามอดทนต่อความอาลัยอาวรณ์และความเศร้าในดวงตาของเธอ แม้แต่ยิ้มให้กับโทรศัพท์
“ไหนว่า ถ้าเกิดว่าฉันคิดได้เร็วกว่านี้ ฉันก็คงไม่จำเป็นต้องดูแลคนพิการอย่างนายนานขนาดนี้หรอก น่าจะยืนได้หรือไม่ได้ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”
“แต่ว่า……”
เธอสูดน้ำมูก แล้วก็คลี่ยิ้ม
“นายเองก็รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ลู่จื่อเหยามีคู่หมั้นแล้ว?”
“คู่หมั้นของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก นายอาจจะสู้ไม่ได้ แต่ว่าต่อให้สู้ไม่ได้ก็อย่าท้อแท้นะ บนโลกใบนี้จะมีผู้หญิงตาบอดชอบในอีกแน่นอน แล้วนายก็ไม่ต้องตายเพียงลำพัง”
ลั่วเยียนพูดทุกอย่างที่อยากจะพูดในเวลาเดียวกัน ถึงได้พบว่าฉินหนานเซิงที่อยู่ปลายสายนั้นไม่พูดอะไรเลย
เธอเม้มปาก แล้วก็แกล้งหัวเราะเบา
“ฮัลโหล ฉินหนานเซิง นายตายหรือว่าโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“ไม่ง่ายเลยนะกว่าที่ฉันจะคุยแบบซื่อสัตย์แบบนี้ มันคงไม่บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง?”
ผ่านไปนาน ปลายสายโทรศัพท์ถึงได้มีเสียงที่ทุ้มต่ำของฉินหนานเซิงดังขึ้น
“ลั่วเยียน แล้วเธอล่ะ?”
เขาถามเธออย่างนั้นเหรอ?
ลั่วเยียนนึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน “อะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า”
ปลายสาย มือข้างหนึ่งของฉินหนานเซิงกำโทรศัพท์ไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำราววีลแชร์ไว้แน่น
“ฉันจะไม่แก่ตายอย่างโดดเดี่ยว แล้วเธอล่ะ?”
“ต่อไปเธอจะทำยังไง?”
ลั่วเยียนอึ้งไป หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมา
“แปลกจริงๆ แต่งงานกับนายมาตั้งนาน ในไม่เคยแคร์ฉันเลย ทำไมพอพูดถึงเรื่องอย่า อยู่ดีๆ ก็เกิดใจดีขึ้นมา? ”
“แต่ว่านายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ต่อไปฉันจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ”
“นายเอาแต่บอกว่าฉันควรจะกลับวงการบันเทิงไม่ใช่เหรอ? ”
“หลังจากหย่ากับนายแล้ว ฉันก็ต้องกลับเข้าไปในวงการบันเทิง ถ่ายละครต่อ แสดง ร้องเพลง เข้าร่วมรายการวาไรตี้……แล้วก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เป็นนักแสดงหญิงดีเด่น”
ลั่วเยียนพูดไปพูดมาก็รู้สึกพูดต่อไม่ไหว
เธอเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
“ช่างมันเถอะ พูดกับนายไปเยอะแยะก็ไม่มีประโยชน์หรอก นายก็หย่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี”
“ฉินหนานเซิง ให้เวลาเจาะจงฉันมาเลยดีกว่า ว่าจะไปหย่ากับฉันตอนไหนดี?”
ฉินหนานเซิงหลับตาลง แล้วก็พยายามฝืนยิ้มยังไม่เต็มใจ
“อีก 2-3 วันแล้วกัน”
“สรุปกี่วันกันแน่?”
“ 2 วัน”
“โอเค!”
ลั่วเยียน สูตรน้ำมูก
“ถ้าอย่างนั้นอีก 2 วันพวกเราเจอกันที่สำนักงานกิจการพลเรือน ไม่เจอไม่กลับ!”
หลังจากพูดประโยคสุดท้ายจบ เธอก็ไม่รอให้ฉินหนานเซิงตอบอะไร แล้วก็ตัดสายไปในทันที
ตอนที่วางโทรศัพท์โรงนั้น น้ำตาไหลนองเต็มหน้าขอลั่วเยียน
ในที่สุดความรู้สึกที่เธอเก็บเอาไว้ก็เพิ่งออกมา
เธอกอดหมอนและนอนร้องไห้
แต่ว่าเธอกลับไม่มีเสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมา
เธอรู้ดีว่า ชั้นบน เด็กน้อยทั้งสามคนของซูสือเยว่และฉินโม่หานน่าจะกำลังหลับอยู่
เธอจะไม่ปลุกพวกเขา
ลั่วเยียนก็เป็นคนแบบนี้แหละ
เป็นคนที่เห็นความสำคัญของคนรอบข้าง……
แม้แต่ตอนที่เธอเจ็บปวด ยังไม่อนุญาตให้ตัวเองออกเสียง
และในขณะเดียวกัน ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาล
ฉินหนานเซิงวางโทรศัพท์ลง เราก็นั่งดูจอทีวีเงียบๆ
บนจอทีวีนั้น ข่าวของลั่วเยียนกำลังออกอากาศอยู่
พาดหัวข่าวก็คือ
“อดีตนักแสดงหญิงดีเด่นใช้มีดจ่อเพื่อนเก่าตัวเอง มันเป็นความบิดเบี้ยวทางด้านมนุษยธรรม หรือว่าสูญเสียศีลธรรมไปแล้ว?”
ภาพบนข่าวนั้น เป็นตอนที่ลั่วเยียนใช้มีดสีลู่จื่อเหยา ที่ร้านอาหารบนดาดฟ้าเมื่อตอนกลางวันเมื่อวาน
ในขณะที่ภาพบนหน้าจอเล่นไปเรื่อยๆ เสียงนักข่าวที่อยู่ด้านข้างก็ดังขึ้น
“พวกเราสัมภาษณ์นายกสมาคมศิลปินแห่ง เมืองหรง นายกสมาคมกล่าวว่า บุคคลสาธารณะต้องมีนิสัยที่ดีงาม ถึงจะสามารถเป็นแบบอยากให้ทุกคนได้ แต่ว่าการกระทำแบบนี้ขอลั่วเยียน มันทำให้เธอสูญเสียเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดในการที่จะอยู่ต่อไปในวงการบันเทิงได้”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้ลั่วเยียนจะออกจากวงการบันเทิงไปแล้ว แต่ว่า ถ้าเกิดว่าต่อไปเธออยากจะกลับเข้ามาในวงการบันเทิงอีก มันเป็นเรื่องที่ยากมาก……”
“เรื่องอื้อฉาว การเปลี่ยนแปลงในครอบครัว อดีตเพื่อนที่เลิกรา และต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าตั้งใจฆ่า…”
“อดีตนักแสดงหญิงดีเด่นลั่วเยียนจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้? สถานีเราจะดำเนินการรายงานต่อไป……”
ท้ายสุดของข่าว เป็นการสัมภาษณ์ลู่จื่อเหยา
ที่น้ากล้องนั้น ลู่จื่อเหยายิ้มอย่างสดใสมาก มองไม่ออกเลยว่า เธอคือผู้หญิงที่ถูกมีดข่มขู่เมื่อวานนี้
เธอยิ้มพร้อมกับมองกล้อง:
“ฉันกับลั่วเยียนเคยเป็นเพื่อนกันจริง แต่ว่าฉันไม่คิดเลยว่า พวกเราไม่เจอกันหลายปีขนาดนี้ ตอนที่มาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง ลั่วเยียนจะทำกับฉันแบบนี้……”
“ที่จริงแล้วฉันไม่อยากฟ้องเธอเลย ถึงยังไงฉันก็ยังจำความรู้สึกเก่าๆ ตอนที่เราเป็นเพื่อนรักกันได้ ยังไงเธอก็เป็นนักแสดงคนหนึ่ง ถ้าเกิดว่ามีคดีติดตัว อาจจะทำให้อาชีพของเธอสิ้นสุดลง”
“แต่ว่า……”
เธอก้มหน้าลง แล้วก็เช็ดน้ำตาด้วยความคับข้องใจ
“แต่ว่าคู่หมั้นของฉันโกรธมาก จะต้องให้ฉันฟ้องลั่วเยียนให้ได้ ให้เธอต้องชดใช้ เมื่อวานฉันพยายามกล่อมคูมันฉันอยู่นาน เขาถึงได้ยอมให้ฉันยังไม่ต้องฟ้องลั่วเยียนในตอนนี้……”
“พวกคุณถามว่าคู่หมั้นฉันคือใครอย่างนั้นเหรอคะ?”
ผู้หญิงคนนั้นทำปากมุ่ยและยิ้มอย่างเขินอาย
“คู่หมั้นของฉัน……คือท่านประธานของฉินซื่อกรุ๊ป ฉินโม่หาน”
เสียง“พลั่ก——!”เมื่อข่าวจบลง มือถือของฉินหนานเซิงก็หล่นลงที่พื้น