ในวิดีโอ ซูสือเยว่มีท่าทีที่ถ่อมตนเศร้าเสียใจ แล้วก็ยังมีฉินโม่หานที่มีสีหน้าที่ขาวซีดเสียยิ่งกว่ากำแพงเสียอีก มันได้บาดตาผู้อาวุโสทั้งสาม
เจี่ยนหมิงจงกับหลิวหรูเยียนที่จากเดิมยังคุยเล่นไปเรื่อยอยู่นั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หัวคิ้วของจี้ว่านเชิ่งเองก็ย่นเข้าหากันแน่น
หลังจากที่เงียบกันไปอยู่สักพักนึง มือถือของจี้ว่านเชิ่งก็ได้ดังขึ้นมา เป็นสายที่จี้หนานเฟิงเป็นคนโทรเข้ามา
“คุณลุง”
ทันทีที่เพิ่งจะรับสาย เสียงทอดถอนหายใจของจี้หนานเฟิงจากทางฝั่งนั้นก็ได้ดังขึ้นมา
“ผมรู้ว่าวันเวลาที่คุณอยู่ที่ต่างประเทศมันก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แต่…ผมคิดว่ายังต้องให้คุณได้รู้จะดีกว่า”
“ลู่จิ่งเฉินไม่ให้ผมบอกคุณเรื่องสถานการณ์ที่แท้จริงของฉินโม่หานกับคุณมาโดยตลอด และก็ไม่ยอมให้พวกคุณรู้ว่าทางซูสือเยว่ได้ตกอยู่ในความยากลำบากอย่างนี้ไปแล้ว…”
“แต่ผมคิดว่าบางเรื่องพวกคุณก็ยังต้องรู้อยู่”
“ฉินโม่หานเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
“ซูสือเยว่กำลังคิดหาวิธีให้เขาฟื้นขึ้นมา”
“หมอหานหยุน ถ้าให้เจียงหลีไปอยู่ที่ข้างกายฉินโม่หานด้วยตัวเอง เอาเรื่องทั้งหมดในตอนนั้นบอกออกไปให้ชัดเจน ให้ฉินโม่หานเชื่อไปจริงๆ ว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำออกไป เขาถึงจะฟื้นขึ้นมา”
“แต่ว่าเมื่อวานเจียงหลีได้กระโดดตึกฆ่าตัวตายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทางเดียวที่จะสามารถทำให้ฉินโม่หานได้ยินคำพูดที่เจียงหลีได้พูดออกมาเองจากปากเหล่านั้น….มีเพียงบันทึกเสียงของซูสือเยว่เมื่อก่อนหน้านี้เท่านั้น”
“แต่บันทึกเสียงนั้น ถูกลู่จื่อเหยาเอาไปแล้ว”
“ข้อเสนอที่ลู่จื่อเหยาเสนอมาคือหนึ่งให้เพื่อนของซูสือเยว่หย่ากับสามี แล้วก็ทิ้งงานของตัวเองไป”
“สอง…คือเธออยากให้ลู่จิ่งเฉินครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของฉินโม่หาน”
จี้หนานเฟิงพูดสิ่งพวกนี้ออกมาจบในรวดเดียว
“ผมรู้ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น บางเรื่องก็ควรแก้ปัญหากันเอง ไม่ไปรบกวนญาติผู้ใหญ่”
“แต่ว่าตอนนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย…”
“ผมไม่อาจปิดบังต่อไปได้จริงๆ”
“คุณลุง ถ้าคุณลุงยังยอมรับฉินโม่หานลูกชายคนนี้อยู่ และยังหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตต่อไป…”
“ผมคิดว่าเรื่องนี้มีเพียงแค่คุณลุงที่จะไปหาลู่จิ่งเฉินด้วยตัวเองถึงจะสามารถแก้ปัญหาไปได้”
คำพูดนี้ของจี้หนานเฟิง ทำให้ภายในห้องรับแขกของวิลล่าตระกูลจี้ได้เงียบลงทันที
จี้ว่านเชิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ มองหลิวหรูเยียนกับเจี่ยนหมิงจงที่อยู่ทางด้านหลังไปด้วยสายตาที่ล้ำลึก
“พวกคุณคิดว่ายังไงกันล่ะ?”
หลิวหรูเยียนแสยะริมฝีปากออกมา ความเป็นมิตรต่อจี้ว่านเชิ่งก่อนที่จะเปลี่ยนไป มุมปากได้ประดับไปด้วยความเยือกเย็นเล็กน้อย “อย่างนั้นแล้วฉินโม่หานลูกเขยของพวกเรากำลังจะตาย คุณกับลูกชายคนโตของคุณปิดบังฉันมาโดยตลอด ใช่มั้ย?”
เจี่ยนหมิงจงเองก็มีสายตาเยือกเย็นออกมาเช่นเดียวกัน
“จี้ว่านเชิ่ง ฉันไม่สนว่าภายในตระกูลจี้ของพวกคุณคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ว่าฉินโม่หานเป็นลูกเขยของพวกเรา อีกอย่างหลายปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ได้ช่วยฉินซื่อกรุ๊ปหามา ก็ยังเป็นทรัพย์สินของชวงซิงกรุ๊ปของตัวเขาเอง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะเป็นเขาสร้างมาด้วยตัวเองทีละก้าวๆทั้งนั้น”
“คุณกับลูกชายคนโตของคุณลู่จิ่งเฉินคิดจะเอาสิ่งที่เป็นของเขาไป พวกเราตระกูลเจี่ยนเองก็ไม่อนุญาตด้วยเหมือนกัน!”
หลิวหรูเยียนเองก็ได้พยักหน้าออกมาเล็กน้อย “ถ้าคุณปกป้องลู่จิ่งเฉินล่ะก็ พวกเราจะต้องปกป้องลูกเขยของพวกเรา”
“ถึงตอนนั้นถ้าพวกคุณลงมือ คุณก็อย่ามาหาว่าฉันโหดร้ายแล้วกัน”
จี้ว่านเชิ่งนวดคลึงตรงกลางระหว่างคิ้วที่เริ่มเจ็บขึ้นมาไปอย่างเงียบๆ
หลิวหรูเยียนผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็เคยเจอมาก่อน
ถึงอย่างไรก็…
ไม่มีแม่ที่ไม่รักไม่ปกป้องลูกของตัวเองหรอก
แต่ว่าหลิวหรูเยียนนั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ขงเนี่ยนโหรวใช้ซูสือเยว่ลูกสาวคนนี้มาขู่เธอ ก็สามารถที่จะตัดความสัมพันธ์กันไปได้ทันทีเลย ปล่อยให้ซูสือเยว่อยู่ในกำมือของเจี่ยนเฉิงมายี่สิบกว่าปีเต็มๆ!
เธอต้องสู้รบตบมือกับขงเนี่ยนโหรวผู้หญิงที่เสียสติจำพวกนั้นมายี่สิบกว่าปี ขงเนี่ยนโหรวเป็นคนที่บ้าวิกลจริตเลยคนหนึ่ง หลิวหรูเยียนเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรด้วยเหมือนกัน!
ถ้าบีบบังคับให้หลิวหรูเยียนลงมือด้วยตัวเองจริงๆ…
จี้ว่านเชิ่งสะเทือนใจขึ้นมา จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาพ่อบ้านทันที
“ตอนนี้ ทันที เดี๋ยวนี้!”
“ลงทะเบียนช่องทางการเดินทางไปเมืองหรงให้ฉัน เอาเที่ยวบินพิเศษ ฉันจะต้องไปเมืองหรงเพื่อไปหาลู่จิ่งเฉิน!”
พูดจบแล้วเขาก็หันหน้าไปมองหลิวหรูเยียนด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“พวกคุณว่าผมทำอย่างนี้…มันโอเคหรือเปล่า?”
หลิวหรูเยียนแสยะยิ้มออกมาจางๆ
“ในเมื่อคุณจี้วางแผนที่จะใช้เที่ยวบินพิเศษ…”
“งั้นพวกเราก็ตามไปด้วยกันเถอะ พอดีเลยหลังจากที่ฉันฟื้นขึ้นมา สือเยว่ก็ไม่ได้เจอฉันเลย”
“ครั้งนี้ฉันไปดูด้วยตัวเองสักหน่อย คุณจี้จะกวาดล้างสิ่งสกปรกออกไปจากบ้านของตัวเองยังไง”
“ถือโอกาสไปด้วยเลย…”
“ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้สือเยว่”
จี้ว่านเชิ่งหรี่ตาลง อยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เที่ยวบินพิเศษก็ได้ขึ้นเทคออฟจากเมืองสตัฟฟ์
และในเวลานี้เอง ในโรงแรมใหญ่ระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในเมืองหรง ลู่จื่อเหยากำลังนั่งพิงเข้ากับโซฟา จิบชาอู่หลงกลิ่นพีชที่เพิ่งชงมาใหม่ๆไปพลาง แสยะริมฝีปากมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆไปจางๆไปพลาง
“ฝีมือการชงชาของเธอยังดีเหมือนเดิมเลย”
ลั่วเยียนแสยะริมฝีปากออกมา ยกกาน้ำชาขึ้นมานิ่งๆ และก็ได้รินให้เธอไปอีกแก้วนึง “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันก็ลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนฉันยังชอบชงชาด้วย”
พูดจบเธอก็วางกาน้ำชาลง เลิกสายตาขึ้นไปมองลู่จื่อเหยาไปอย่างไม่แยแส
“ชาก็ดื่มแล้ว สิ่งที่อยากให้ฉันต้องอับอาย เธอก็ได้ทำให้อับอายกันไปเสร็จแล้ว สามารถคุยกันได้แล้วล่ะมั้ง?”
ลู่จื่อเหยาหัวเราะออกมาเบาๆ วางแก้วน้ำชาลงไปด้วยท่วงท่าที่สง่างามไปพลาง กวาดสายตามองลั่วเยียนอย่างเรียบนิ่งไปพลาง
“ทำไมจะต้องพูดให้มันไม่น่าฟังอย่างนี้ด้วย?”
“ฉันได้ทำให้เธออับอายแล้วเหรอ? ฉันก็แค่คุยเรื่องเก่าๆกับเธออยู่เท่านั้นเอง พูดคุยเรื่องที่เธอเคยทำให้ฉันพวกนั้น”
“เมื่อตอนนั้นฉันบอกว่าฉันมีตอนที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย เธอทำเรื่องพวกนั้นเพื่อฉัน ฉันจะจดจำมันไปชั่วชีวิต”
“อันที่จริงเธอเองก็ไม่ได้เสียหายมากเลยเหมือนกันนี่”
“เมื่อตอนนั้นถ้าเธอไม่ได้เพื่อให้ฉันได้รักษาตัวจึงไปสมัครบริษัทโมเดลลิ่ง เธอจะได้ไปกลายเป็นลั่วเยียนนักแสดงหญิงดีเด่นในเวลาถัดมาได้ยังไงน่ะ?”
“พูดจากมุมนี้แล้ว…เธอควรจะขอบคุณฉัน”
เธอขยิบตาให้กับลั่วเยียนไปเบาๆ
“เธอว่าใช่หรือเปล่า?”
มือทั้งสองข้างของลั่วเยียนกำหมัดแน่นอยู่ข้างๆ
เธอแสยะริมฝีปากออกมา พลางมองหน้าลู่จื่อเหยาไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งออกมา“งั้นเหรอ”
“โชคดีที่มีเธอ ฉันถึงมีทั้งหมดในภายหลังมาได้”
“ดังนั้นแล้วตอนนี้เธอก็เลยอยากจะทำลายฉัน ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ปฏิเสธไปหรือไง?”
คำพูดประโยคนี้ของเธอทำให้ลู่จื่อเหยาได้หัวเราะฮาเฮด้วยความพอใจออกมาในทันที
“ลั่วเยียน เธอควรจะเข้าใจชัดเจนมานานแล้วว่าเธอสู้ฉันไม่ได้”
“โชคชะตาไม่เป็นธรรม มันทำให้เธอมีครอบครัวที่มีความสุข มีพ่อแม่และน้องชายที่รักคุณ แต่ฉันกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง”
“แต่ว่าโชคชะตามันก็ยุติธรรมอยู่ เพราะถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีญาติพี่น้องเหล่านั้นของเธอ แต่ฉันมีหนานเซิง มีจิ่งเฉิน แล้วยังกำลังจะได้ทรัพย์สมบัติมหาศาลของฉินโม่หานมาด้วย…”
พูดจบ เธอก็ได้แสยะยิ้มออกมา
“วันนี้เธอมาหาฉัน ก็เป็นเพราะว่าซูสือเยว่ใช่มั้ยล่ะ?”
“ไม่มีปัญหา ขอเพียงแค่เธอกับฉินหนานเซิงหย่ากัน แล้วประกาศออกไปต่อหน้าสาธารณชน ว่าเธอจะถอนตัวออกไปจากวงการบันเทิง ฉันจะลองพิจารณาดู แล้วเอาบันทึกเสียงชุดนั้นคืนกลับให้ซูสือเยว่ไป”
ลั่วเยียนกัดริมฝีปากเอาไว้ จ้องมองลู่จื่อเหยาไปด้วยสายตาที่ล้ำลึกอ่านยาก
“ฉันต้องการให้เธอให้คำตอบที่ชัดเจนกับฉันมา ถ้าฉันทำเรื่องพวกนั้นแล้ว สุดท้ายแล้วเธอจะให้หรือว่าจะไม่ให้”
“ถ้าเพียงแค่คิดที่จะคืนให้ซูสือเยว่แล้วล่ะก็ ฉันไม่มีวันทำ”
ลู่จื่อเหยาเลิกคิ้วออกมา
นึกไม่ถึงว่า ลั่วเยียนคนโง่เมื่อตอนนั้น จะเปลี่ยนกลายมาเป็นฉลาดขึ้นมาได้น่ะ