“ลู่จื่อเหยา”
เห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆไม่พูดอะไรออกมา ลั่วเยียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ สายตาเย็นชาไม่แยแส “เธอให้ฉันรับปากเรื่องของเธอฉันก็รับปากให้เธอได้ สิ่งที่ฉันต้องการมีเพียงแค่หลักประกันสักอย่างนึงจากเธอเท่านั้นเอง รับประกันว่าเธอจะคืนบันทึกเสียงให้กับซูสือเยว่ไปหลังจากที่ฉันทำเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อยแล้ว”
พูดไปแล้วเธอก็ได้แสยะยิ้มเย็นออกมา “ทำไมเธอไม่พูดเลย? ไม่กล้าเหรอ?”
“ถ้าเธอไม่อาจรับประกันได้…งั้นฉัน…”
“ทำไมฉันจะรับประกันไม่ได้ล่ะ?”
ลู่จื่อเหยายิ้มเย็นออกมา หยิบกระดาษออกมาแผ่นนึง เขียนสิ่งที่ลั่วเยียนต้องการให้เธอทำลงไป
ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เธอก็ได้แสยะริมฝีปากออกมา เขียนชื่อของตัวเองลงไปข้างบนไปด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างาม
“เธอดูสิ ฉันเซ็นแล้ว”
“ขอเพียงแค่เธอทำตามสัญญา ไปหย่ากับฉินหนานเซิงเสีย แล้วก็ถอนตัวออกไปจากวงการบันเทิงตลอดกาล…”
“ฉันก็จะเอาบันทึกเสียงที่ซูสือเยว่ต้องการคืนหล่อนไป”
พูดจบ เธอก็เลิกสายตาขึ้นไปมองลั่วเยียนนิ่งๆ “ในเมื่อเธอรู้ว่าเมื่อเย็นวานฉันคุยอะไรกับซูสือเยว่ เธอเองก็จะต้องรู้ดีอยู่แล้วอย่างแน่นอนว่าฉันสามารถลดเงื่อนไขทั้งสองให้กลายมาเป็นข้อเดียวได้…”
“ทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะเห็นแก่หน้าของเธอกับหนานเซิงทั้งนั้น”
ลั่วเยียนกัดริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร
เธอตรวจสอบเนื้อหาที่อยู่บนหน้ากระดาษแผ่นนั้นได้อย่างละเอียด หลังจากที่ยืนยันจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไรแล้ว ก็ได้เซ็นชื่อตัวเองลงไปด้านบนไปด้วยความจริงจัง
เก็บสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ได้สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก้าวขาก้าวใหญ่ๆเดินออกไป
“เธอจะเอาบันทึกเสียงคืนให้ซูสือเยว่ไปเพราะว่าหล่อนประกาศออกจากวงการไปจริงๆน่ะเหรอ?”
หลังจากที่ลั่วเยียนเดินออกไป ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากภายในห้อง หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอย่างไม่แยแส
ลู่จื่อเหยาแสยะริมฝีปากออกมา
“เธอรู้ว่าลั่วเยียนผู้หญิงคนนี้มีท่าทีเป็นยังไงกับฉันเมื่อตอนนั้นหรือเปล่า?”
“ฉันหลอกหล่อนไปไม่ใช่ครั้งสองครั้งเสียหน่อย ฉันนั้นแม้แต่ว่าป่วยเป็นโรคระยะสุดท้ายคำโกหกจำพวกนี้ก็สามารถพูดออกไปได้ แล้วหล่อนก็เชื่อมันทั้งหมด…”
“แล้วครั้งนี้จะพลาด?”
เธอมองเงาร่างที่เดินออกไปของลั่วเยียน รอยยิ้มตรงมุมปากค่อยๆฉีกกว้างออกมา
เธอสามารถหลอกลวงลั่วเยียนไปโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงความน่าเชื่อถือได้ แต่ถ้าลั่วเยียนประกาศออกสู่โลกภายนอกว่าจะออกจากวงการไปตลอดกาล…
เธอก็จะเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว
พอคิดถึงผลลัพธ์นี้ขึ้นมาแล้ว ลู่จื่อเหยาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก
โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเสียขนาดนี้
ลั่วเยียนมีสิทธิ์อะไรที่จะได้ครอบครองความรักระหว่างคนในครอบครัว ความรักจากคนรัก แล้วก็รูปลักษณ์หน้าตาและการงานที่เธอไม่อาจได้มา มาพร้อมๆกันได้ยังไง?
บางอย่างมันก็ติดมาตั้งแต่กำเนิดเธอก็ไร้หนทางที่จะเปลี่ยนแปลงมันไปได้
แต่ว่า…
หญิงสาวเลิกริมฝีปากขึ้นมาด้วยความไม่แยแส
เธอสามารถทำลายความสุขของลั่วเยียนได้
ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของลั่วเยียน
รอจนถึงตอนที่ลั่วเยียนเปลี่ยนมาสู้เธอไม่ได้แล้ว เปลี่ยนมาทำได้แค่เพียงคืบคลานอยู่ใต้เท้าของเธอไป
อย่างนั้นแล้วเธอก็จะเอาชนะโชคชะตาได้ เอาชนะความไม่ยุติธรรมของโชคชะตาได้!
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว เธอก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ ยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบชาที่ลั่วเยียนชงมาด้วยตัวเองไปคำนึงด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
เมื่อตอนนั้นตอนที่ลู่จื่อเหยาออกจากเมืองหรงไป เรื่องที่น่าอิจฉาและริษยาที่สุดเลยมีสองเรื่องด้วยกัน
อย่างแรกคือใบหน้าสวยๆ การงาน ความรักระหว่างคนในครอบครัวและความรักของลั่วเยียน
อีกอย่างนึง…
ก็คือทรัพย์สมบัติที่ร่ำรวยจนสามารถแข่งกับทั้งประเทศได้เลยของฉินโม่หาน
ดังนั้นแล้วตอนที่อยู่ที่ต่างประเทศเธอเห็นลู่จิ่งเฉินเป็นครั้งแรกก็ถูกใจเขาเข้าทันที
เธอพยายามที่จะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อวางแผนได้ลู่จิ่งเฉินมา คบหากับลู่จิ่งเฉิน เพื่อที่จะได้มีสักวันนึง…
ที่จะสามารถพาลู่จิ่งเฉินกลับประเทศไป และได้ให้ลู่จิ่งเฉินเข้าแทนที่ในตำแหน่งของฉินโม่หาน ให้เธอได้ทรัพย์สมบัติที่มหาศาลของฉินโม่หานมา
ก่อนที่จะกลับประเทศมาเธอเองก็เคยคิดมาก่อนว่า หลังจากที่เธอกลับประเทศไปแล้ว ฉินหนานเซิงกับลั่วเยียนก็คงจะแต่งงานกันไปแล้ว และได้กลายเป็นคู่ที่น่าอิจฉาคู่หนึ่ง
แต่นึกไม่ถึงว่า…
ระหว่างทั้งสองคนนี้ในช่วงหลายปีมานี้ไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิดเดียว
เปราะบางอย่างมาก
นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เธอก็แสยะริมฝีปากออกมา หันหน้าไปมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังไปด้วยน้ำเสียงที่ประดับไปด้วยความสบายๆอยู่หลายส่วน
“ชิงโยว ต้องขอบคุณเธอที่เอาข้อมูลพวกนี้มาให้ฉัน”
“ถ้าไม่ได้เธอล่ะก็…ฉันออกไปจากเมืองหรงมานาน จึงไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขาได้มากพอเลยจริงๆ”
หยางชิงโยวยิ้มออกมาจางๆอยู่ที่ข้างๆ
“พูดขอบคุณอะไรกับฉันกัน”
“ฉันก็แค่…”
เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย
“มันก็แค่เพื่อแก้แค้นเท่านั้นเอง”
เมื่อตอนนั้นที่เมืองสตัฟฟ์ ซูสือเยว่ได้ทำให้เธอเสียหน้า เธอจะต้องเอาคืนมาให้ได้!
……
สิบโมงเช้า
ข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการข่าวนึงที่ได้ระเบิดไปทั่วแพลตฟอร์มเครือข่ายยักษ์ใหญ่ในทุกๆสำนักในเมืองหรง
อดีตนักแสดงหญิงดีเด่นลั่วเยียน หลังจากที่เมื่อวานได้ใช้มีดมาจี้บังคับอดีตเพื่อนสนิทที่ร้านอาหารแล้ว…
ก็ได้เลือกที่จะออกจากวงการไป
เธอนั่งลงอยู่ที่หน้าจอ ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและใจเย็น
“ทุกท่าน เพราะว่าเรื่องบางอย่างในช่วงนี้ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะที่จะเป็นบุคคลสาธารณะที่จะกลายเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนอีกต่อไปแล้วจริงๆ”
“ดังนั้นแล้วฉันจึงตัดสินใจที่จะออกจากวงการบันเทิง”
หลังจากประโยคที่เรียบง่ายแค่ไม่กี่ประโยค เธอก็ได้ลุกยืนขึ้นมา โค้งตัวให้กับทางหน้าจอไปอย่างจริงจัง แล้วก็ได้เลิกตาขึ้นมามองหน้าจอใหญ่ไปด้วยรอยยิ้ม
“ทุกท่าน ลาก่อนค่ะ”
คลิปสั้นๆไม่ถึงหนึ่งนาที ประกาศการตกต่ำลงมาของอดีตนักแสดงหญิงดีเด่น
คนที่เคยเป็นแฟนคลับของลั่วเยียนได้น้ำตาไหลพรากกันออกมาทันที
ทุกคนที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตล้วนแล้วแต่จะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างบ้าคลั่งกันขึ้นมา
มีบางคนที่คิดว่าเธอสมควรที่จะได้รับมันแล้ว มีบางคนที่ด่าว่าเธอ มีบางคนที่รู้สึกเห็นใจเธอ คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันไม่ถึงกับต้องทำอย่างนี้…
ถึงขนาดที่ยังมีคนที่เริ่มทำนายกันในเน็ต บอกว่าเพราะว่าครั้งนี้ลั่วเยียนได้เผชิญเข้ากับความรักที่น่าเจ็บปวดจนทำให้สิ้นหวังขึ้นมา ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เดินออกมาจากความสิ้นหวังในด้านความรักออกมาได้หรือเปล่า…
ในฐานะที่เป็นตัวเอกของเหตุการณ์นี้ ลั่วเยียนในตลอดเวลานี้เองได้กำลังนั่งอยู่ภายในห้องรับแขกในตัววิลล่าของตัวเอง ดูข่าวไปพลาง ฟังเด็กน้อยทั้งสามคนพูดกันเสียงดังจอแจอยู่ที่ข้างๆไปพลาง
“พี่สะใภ้ลั่วเยียน พี่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย!”
“ก่อนที่พี่ทำอย่างนี้ไปทำไมไม่ถามพวกเราดูสักหน่อยเลยล่ะ?”
“ถึงแม้ว่าจะไม่ถามพวกเรา ก็ต้องลองถามหม่ามี้ของพวกเราดูสักหน่อยสิ!”
“พวกเรารู้ว่าพี่สะใภ้ทำลงไปด้วยความหวังดีกับหม่ามี้ของพวกเรา แต่ว่าพี่สะใภ้ไม่ถามหม่ามี้ดูเลยสักหน่อย รู้ได้ยังไงว่าหม่ามี้ต้องการหรือไม่ต้องการกันล่ะ?”
“พี่สะใภ้เอาการงานในอนาคตของพี่สะใภ้เดิมพันเข้าไปอย่างนี้แล้ว ถ้าหลังจากนี้พี่สะใภ้รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา พวกเราทั้งบ้านก็จะติดค้างพี่สะใภ้กันไปหมด”
“พี่สะใภ้ลั่วเยียน ถือโอกาสที่ตอนนี้ยังสามารถถอนคำพูดกลับมาได้อยู่ รีบถอนคลิปกลับมาเถอะนะ!”
“…”
ลั่วเยียนลุกยืนขึ้นมา ชำเลืองมองเด็กน้อยทั้งสามคนที่พูดบ่นอยู่ที่ข้างหลังไปนิ่งๆ
เธอแสยะริมฝีปากออกมา หยิบไวน์แดงขึ้นมาจิบไปคำนึง
“พ่อแม่ของพวกเธอแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่พูดมากเหมือนกับพวกเธออย่างนี้เลย”
“พวกเธอเหมือนใครกันเนี่ย?”
ซิงเฉินเบ้ปากออกมา พยายามคิดอย่างเอาจริงเอาจังอยู่สักพักนึง “ก็คงจะเหมือนคุณตาล่ะมั้ง”
ซิงหยุนย่นคิ้วออกมา “เหมือนใครไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือพี่สะใภ้ลั่วเยียน ชีวิตการทำงานของพี่สะใภ้…”
“จะเป็นอะไรก็ช่างมันไปสิ”
ลั่วเยียนหลับตาลงพลางยิ้มขมขื่นออกมา
เธอหลับตาลงเต้นรำโยกย้ายไปมาอยู่บนพื้นห้องรับแขกไปพลาง แสยะยิ้มเยาะหยันออกมาพลาง “ฉันเข้าวงการไปได้ก็เพราะว่าเมื่อตอนนั้นลู่จื่อเหยาบอกว่าเธอป่วยระยะสุดท้าย ฉันก็เลยไปรับจ๊อบทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหาเงินมาให้เธอ”
“ด้วยเหตุนี้ฉันจึงสามารถที่จะกลายมาเป็นนักแสดงหญิงดีเด่นได้ ทั้งหมดก็ล้วนแล้วจะเป็นฉินหนานเซิงที่ยื่นมือเข้าสนับสนุนฉัน…”
“ในทุกๆก้าวที่ฉันอยู่ในวงการบันเทิงนั้น ทั้งหมดก็มีความเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้ทั้งนั้นเลย”
“อย่างนั้นแล้วทำไมฉันจะต้องอยู่ในที่ที่จะทำให้ต้องเสียใจอย่างวงการบันเทิงนี้ต่อไปอีกทำไมกันล่ะ?”
เสียงพูดของเธอได้หลุดออกมา เสียงทุ้มเย็นของผู้ชายได้ดังขึ้นมาที่ตรงหน้าประตู
“คุณเข้าวงการบันเทิงไปเป็นเพราะว่าคุณชอบการถ่ายละคร”
“คุณดังขึ้นมาได้ ไม่ได้พึ่งการสนับสนุนจากคนอื่น มันเป็นความสามารถของตัวคุณเอง”
ฉินหนานเซิงนั่งอยู่บนรถเข็นปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตู
“ลั่วเยียน คุณทำเรื่องงี่เง่าอะไรขึ้นมา?”