ฝ่ามือนี้ของจี้ว่านเชิ่ง ได้ตบมาจนทำเอาลู่จิ่งเฉินมึนเบลอไปโดยสมบูรณ์
เหล่าคนสนิทสองสามคนที่อยู่ข้างๆเขาที่ได้ตามเขามาต้อนรับจี้ว่านเชิ่งด้วยกันก็ได้พากันงงงวยกันไปหมดเช่นเดียวกัน
ไป๋ลั่วมองลู่จิ่งเฉินไปอย่างเลื่อนลอย แล้วมองไปทางจี้ว่านเชิ่งอีกที จากนั้นก็รีบเข้าไปกระซิบเสียงเบาทันที
“คุณท่านครับ นี่คุณท่านทำอะไรกันครับ?”
“นี่ฉันทำอะไรล่ะ!?”
จี้ว่านเชิ่งถลึงตามองลู่จิ่งเฉินไปอย่างเยือกเย็น ในสายตาล้วนเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“ลู่จิ่งเฉิน ฉันรู้ว่าตอนเด็กๆแกมีชีวิตที่ยากลำบาก แม่ของแกเพื่อที่จะไม่ให้แกถูกขงเนี่ยนโหรวพบเจอเข้าจึงจงใจให้คนใช้พาแกออกไป ไปอยู่ในที่ที่ยากจนแร้นแค้นมาก”
“แกอยู่ที่ทางนั้นใช้ชีวิตไปได้ไม่ดีนัก พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงที่บ้านก็มักจะทุบตีแกอย่างโหดร้ายอยู่เสมอ เรื่องพวกนี้พ่อล้วนรู้ดีทั้งนั้น”
“ตอนที่ฉันเพิ่งจะได้รู้แรกๆว่าแกอยู่ที่นั่นได้รับความยากลำบาก ฉันเองก็สงสารเหมือนกัน ฉันยังพูดกับสองคนนั้นที่เจี่ยนหมิงจงส่งไปเลยว่าจะต้องปฏิบัติตัวดีๆกับแก ไม่อาจให้แกต้องได้รับความไม่เป็นธรรมอีกแม้แต่นิดเดียว”
“เมื่อก่อนตอนที่แกเจอฉัน ก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาหนักมากเหมือนกัน แกบอกว่าในที่สุดแกก็ตามหาญาติพี่น้องเจอ แกจะรักษาญาติพี่น้องเอาไว้อย่างดี”
“ฉันคิดว่าแกคิดแบบนั้นด้วยใจจริง จึงได้ออกจากเมืองหรงไปอย่างวางใจ มอบหมายเรื่องฉินโม่หานให้แกเป็นคนจัดการ”
“แต่ผลสุดท้ายแกทำยังไงกันล่ะ!?”
จี้ว่านเชิ่งถลึงตาจ้องมองลู่จิ่งเฉินไปด้วยความเยือกเย็น
“แกอิจฉาน้องชายของแกที่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของตระกูลฉิน ครอบครองชวงซิงกรุ๊ป ร่ำรวยระดับประเทศ!”
“แกไม่เพียงแต่จะปิดบังฉันเรื่องที่เขาป่วยหนัก แต่ยังคิดฝันลมๆแล้งๆกับคู่หมั้นของแกว่าจะยึดครองทั้งหมดของเขาด้วยกัน!”
“จิ่งเฉิน ฉันมองแกผิดไปจริงๆ!”
จี้ว่านเชิ่งต่อว่าออกไปโครมๆไม่หยุดไปยกนึง ทำให้ลู่จิ่งเฉินตะลึงงันไปหมด
เขากุมหน้าเอาไว้ มองจี้ว่านเชิ่งไปอย่างมึนงง ในสายตาได้เขียนเต็มไปด้วยความเจ็บที่ถูกทำร้ายและความรู้สึกยากที่จะเชื่อ
“คุณพ่อ…”
เขานึกไม่ถึงว่าตนมารับพ่อไปเจอน้องชายอย่างมีความสุข พอมาถึงแล้ว นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้มาจะเป็นฝ่ามือกับคำด่าว่าด้วยความโกรธเกรี้ยวของจี้ว่านเชิ่งแทน
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อธิบายแก้ต่างให้กับตัวเองไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“คุณพ่อเข้าใจอะไรผิดไปใช่มั้ยครับ?”
“แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย…”
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยจะอิจฉาฉินโม่หานมาก่อนเลยนะ!
เมื่อตอนนั้นตอนที่จี้ว่านเชิ่งกับเจี่ยนหมิงจงออกจากเมืองหรงไปได้เคยพูดเอาไว้ว่าต้องการจะให้เขาแทนที่สถานะของฉินโม่หาน รักษาสถานการณ์ตอนนี้ของฉินซื่อกรุ๊ปและชวงซิงกรุ๊ปให้มั่นคงแทนฉินโม่หาน
แล้วยังต้องการให้เขารักษาอารมณ์ของซูสือเยว่ให้สงบลง
เขากำลังทำมันไปด้วยความพยายามมากแล้ว
ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยอวดดีมาก่อนเหมือนกัน คิดว่าตัวเองเคยมีประสบการณ์การเปิดบริษัทเล็กๆมาก่อน สามารถช่วยฉินโม่หานจัดการดูแลบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาให้เรียบร้อยได้
แต่ว่าในตอนที่เขาได้กลายมาเป็นตัวแทนของฉินโม่หานจริงๆแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าในทุกๆวันงานที่ฉินโม่หานต้องพบเจอมันหนักมากแค่ไหน
วุฒิการศึกษาของเขาเรียนถึงแค่เพียงม.ปลาย กับประสบการณ์ที่ได้เปิดบริษัทเล็กๆที่มีน้อยนิดมาก มันไม่พอที่จะค้ำจุนมันเหมือนกับที่ฉินโม่หานค้ำจุนบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับนานาชาติสองบริษัทเอาไว้เลย
แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งพวกนี้ฉินโม่หานได้มาไม่ได้ง่ายเลย เขาไม่สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของฉินโม่หานในกำมือของเขาได้
ดังนั้นแล้วในช่วงเวลาตอนนี้ ทุกๆวันเขาล้วนแล้วแต่จะต้องจัดการงานที่เป็นงานทางการของบริษัทไปพลาง เรียนรู้งานกับไป๋ลั่วไปพลาง ในทุกๆวันเขานอนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ทุกครั้งที่เขาทำการตัดสินใจอะไรสักอย่าง ล้วนแล้วแต่จะต้องไปหาไป๋ลั่วและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเพื่อทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายอีกครั้งนึง ก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิดพลาดไป
เขายุ่งจนในทุกๆวันแม้แต่เวลาที่จะได้อยู่กับลู่จื่อเหยาก็ยังไม่มีเลย
ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เมื่อวานนี้ที่ลู่จื่อเหยาได้ถูกซูสือเยว่กับเพื่อนสนิทของเธอใช้มีดเข้ามาทำร้ายถึงสองครั้งได้หรอก
เขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว คิดว่าตนทำทุกสิ่งทุกอย่างนี้เพื่อฉินโม่หานไปมันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าทั้งนั้น
แต่ว่าตอนนี้…
นึกไม่ถึงว่าคุณพ่อจะไม่ฟังคำอธิบายอะไรเลย บอกว่าเขาโลภ บอกว่าเขาอิจฉาฉินโม่หาน ต้องการจะแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของฉินโม่หานไป!
ลู่จิ่งเฉินยิ่งคิดสีหน้าที่อยู่บนใบหน้ามันก็ยิ่งมืดครึ้มขึ้น
เป็นเพราะว่าเขาได้รับการศึกษามาน้อยใช่มั้ย เพราะว่าสิ่งแวดล้อมการใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กของเขามันไม่ดี คนอื่นก็เลยตัดสินกันไปสุ่มสี่สุ่มห้า คิดว่าตนเป็นคนโลภมากในเรื่องเงินทอง?
“แกยังจะพูดอีกนะว่าแกไม่ได้อิจฉาทุกสิ่งทุกอย่างของฉินโม่หาน!?”
จี้ว่านเชิ่งถลึงตาใส่เขา ยกมือขึ้นมาด้วยความโกรธ ฝ่ามือที่สองกำลังจะฟาดลงไปที่หน้าของลู่จิ่งเฉิน
“ใจเย็นๆ”
ในตอนที่มือของจี้ว่านเชิ่งฟาดอยู่กลางอากาศกำลังจะตบลงมาที่หน้าของลู่จิ่งเฉินนั้นเอง ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจับแขนข้อมือของเขาเอาไว้
ชายคนนั้นย่นคิ้วออกมา พอมองดูให้ชัดแล้วก็ได้พบว่าคนที่จับข้อมือของเขาเอาไว้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นหลิวหรูเยียนที่นั่งอยู่ในรถเข็นนั่นเอง
เธอกวาดสายตามองจี้ว่านเชิ่งไปนิ่งๆ มุมปากได้ประดับไปด้วยความเยือกเย็นอยู่หลายส่วน
“ฉันยังนึกอยู่เลยว่าแอบซุ่มอยู่ใกล้ตัวขงเนี่ยนโหรวมานานขนาดนี้แล้ว นิสัยเสียที่ชอบทำอะไรวู่วามนี้ของคุณมันจะเปลี่ยนไปแล้วเสียอีก”
“ทำร้ายตบตีคนอื่นเขาซี้ซั้ว?”
พูดจบ เธอก็ได้เลิกสายตาขึ้นไปมองลู่จิ่งเฉินอย่างเป็นมิตร “เด็กน้อย อย่าไปเอาเยี่ยงอย่างพ่อของเธอเลยนะ เขาเป็นตาเฒ่าวิปริตคนหนึ่ง เธอทำเป็นว่าเขาเป็นคนตายคนนึงเอาก็ได้”
จี้ว่านเชิ่งถูกเธอว่ามาอย่างนี้ จึงย่นคิ้วยุ่งออกมาทันที “คุณพูดบ้าอะไร?”
เจี่ยนหมิงจงที่อยู่ข้างหลังรถเข็นหลิวหรูเยียน ก็ได้เข็นเธอพลางยิ้มออกมา “เธอไม่ได้พูดบ้าอะไรสักหน่อย”
พูดจบ ชายคนนั้นก็ได้กำหมัดอยู่เงียบๆ
จี้ว่านเชิ่งขลาดกลัวไม่กล้าโต้แย้งออกไปอยู่ชั่วขณะ ขนาดลูกชายของตัวเองก็ไม่กล้าสั่งสอนเลย
เห็นเขาไม่พูดอะไรออกมาแล้ว หลิวหรูเยียนถึงได้มองลู่จิ่งเฉินไปด้วยรอยยิ้ม เคลื่อนรถเข็นไปที่ตรงหน้าเขา ยื่นมือออกไปจับมือของเขาเอาไว้
“ฉันขอแนะนำตัวหน่อยนะ ฉันชื่อว่าหลิวหรูเยียน เป็นเพื่อนสนิทของลู่เนี่ยนโหรวแม่แท้ๆของเธอ”
“เมื่อตอนนั้นลู่เนี่ยนโหรวแม่แท้ๆของเธอเติบโตมาจากบ้านของเจี่ยนหมิงจงสามีองฉัน เป็นน้องสาวต่างสายเลือดของสามีของฉัน แล้วก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเช่นกัน”
“เมื่อกี้นี้ที่พ่อของเธอเขาอารมณ์ร้อนไปหน่อยก็มีเหตุผลพอที่จะเข้าใจได้อยู่ เธออย่าไปโกรธเขาเลยนะ”
ลู่จิ่งเฉินหลุบตาลง มองผู้หญิงที่กำลังจับมือของตนอยู่ ตัวเขาเขวไปชั่วขณะโดยอัตโนมัติ
ความอบอุ่นจำพวกนี้ เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย
ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากลู่จื่อเหยาแล้ว ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนให้ความอบอุ่นอย่างนี้กับเขามาก่อนเลย
เขาคอยเป็นทาสของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงมาโดยตลอด ต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็ก ต้องคอยดูแลรับใช้คุณชายและคุณหนูของบ้านพวกเขา
ถึงขนาดที่เขาเรียนมาถึงม.ปลายแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆได้ ก็ไม่สามารถไปเรียนได้
เพราะว่าพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงไม่อนุญาตให้เขาออกไปจากระยะสายตาของพวกเขา ไม่อนุญาตให้เขาไม่อยู่คอยรับใช้คนในครอบครัวของพวกเขาอยู่ใกล้ๆ
ความอบอุ่นเดียวของเขาคือลู่จื่อเหยา
แต่ว่าตอนนี้…
เหมือนกับว่ามันได้เพิ่มญาติผู้ใหญ่ผู้หญิงคนตรงหน้าคนนี้มาอีกคนนึงแล้ว
“เรียกฉันว่าน้าหลิวก็ได้”
หลิวหรูเยียนยิ้มออกมาจางๆ
“น้าหลิว…”
“อืม”
หลิวหรูเยียนมองชายคนตรงหน้าใบหน้านี้เหมือนกับใบหน้าของฉินโม่หานไม่มีผิดเพี้ยนเลย ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เธอกับฉินโม่หานนี่เหมือนกันมากเลยจริงๆ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้าหลิวรู้ว่าเธอคือลู่จิ่งเฉินนะ แค่เห็นใบหน้านี้ของเธอ แล้วก็ความสามารถที่เธอคอยจัดการงานของฉินซื่อกรุ๊ปกับชวงซิงกรุ๊ปในช่วงนี้นะ ฉันจะนึกว่าเธอคือฉินโม่หานจริงๆแน่เลย”
นี่เป็นคำชมที่ดีที่สุดเลยตั้งแต่ที่ลู่จิ่งเฉินเข้ามาแทนที่ฉินโม่หานมา
ชายหนุ่มเงียบไปสักพักนึง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาออกมา
“ขอบคุณครับ…”
หลิวหรูเยียนเอ่ยออกมาต่อว่า
“ฉันคิดว่าช่วงนี้เธอจะต้องยุ่งมากแน่ๆเลย คงจะไม่มีโอกาสได้ดูข่าวแน่เลย”
ลู่จิ่งเฉินพยักหน้าตอบรับออกมา “ครับ”
แม้แต่เวลาจะนอนของเขาก็ยังน้อยมาก จะไปมีเวลาดูข่าวได้ยังไง
หลิวหรูเยียนทอดถอนหายใจออกมา หลังจากที่ถลึงตามองจี้ว่านเชิ่งไปอย่างเยือกเย็นแล้ว แล้วก็ได้หยิบแท็บเล็ตส่งไปให้ลู่จิ่งเฉินอย่างอ่อนโยน “งั้นเธอก็ลองดูข่าวนี้ก่อนนะ”
ในข่าว ลู่จื่อเหยากำลังได้รับการสัมภาษณ์อยู่
“คู่หมั้นของฉันคือฉินโม่หานค่ะ…”