เห็นเนื้อหาบนแท็บเล็ตที่หลิวหรูเยียนส่งมาได้ทำให้ลู่จิ่งเฉินตะลึงค้างอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
เขาไม่รู้…
นึกไม่ถึงว่าลู่จื่อเหยาจะพูดว่าคู่หมั้นของเธอคือฉินโม่หานต่อหน้านักข่าว!?
ความสัมพันธ์ของเขากับลู่จื่อเหยา เขาปิดบังมาโดยตลอด เพราะถึงยังไงตัวตนของเขาในตอนนี้แท้จริงแล้วเป็นฉินโม่หาน
เขาเพียงแค่เป็นตัวแทนที่คอยช่วยฉินโม่หานรักษาความมั่นคงในฉินซื่อกรุ๊ปกับชวงซิงกรุ๊ปในช่วงก่อนที่ฉินโม่หานจะฟื้นตัวขึ้นมาเพียงเท่านั้น
ดังนั้นแล้วตั้งแต่แรกตอนที่เขาให้ลู่จื่อเหยามาที่เมืองหรงก็เคยเน้นย้ำลู่จื่อเหยาไปแล้วว่าก่อนที่เขาจะกลับไปเป็นลู่จิ่งเฉินนี้ ไม่อาจประกาศความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาออกสู่สาธารณะซี้ซั้วได้ เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็นขึ้นมา
แต่ว่า…
นึกไม่ถึงว่าในตอนนี้ลู่จื่อเหยาจะพูดกับทุกคนไปโต้งๆว่าฉินโม่หานเป็นคู่หมั้นของเธอ?
นี่…
ถ้าหลังจากนี้ฉินโม่หานฟื้นขึ้นมา จะอธิบายกับทุกคนยังไง?
อธิบายกับทุกคน ฉินโม่หานเป็นคนที่สามารถทอดทิ้งคู่หมั้นของตัวเองได้ตลอดเวลาคนหนึ่ง?
อีกอย่างถ้าเกิดฉินโม่หานไม่ฟื้นขึ้นมา ฝืนประคองอาการต่อไปไม่ได้อีกล่ะ?
ตอนนี้เธอได้พูดไปทั่วว่าเธอเป็นคู่หมั้นของฉินโม่หาน ถ้าฉินโม่หานตายไปจริงๆ…
ลู่จิ่งเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
บนหน้าผากของชายหนุ่มได้อาบชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ตกลงเธอ…
คิดจะทำอะไรกันแน่?
“ดูท่าทางแล้วเธอไม่รู้ถึงสิ่งที่คู่หมั้นของเธอทำลงไปจริงๆ”
หลิวหรูเยียนแสยะยิ้มเยาะออกมา พลางหันหน้าไปมองเจี่ยนหมิงจงที่อยู่ข้างหลัง
เจี่ยนหมิงจงรู้แล้วก็รีบเข้าไปแย่งแท็บเล็ตมือของลู่จิ่งเฉินมา แล้วหยิบภาพมอนิเตอร์ของร้านอาหารร้านเมื่อเย็นวานร้านนั้นออกมา แสดงให้ลู่จิ่งเฉินดู
คลิปวิดีโอเป็นภาพของเมื่อเย็นวาน
ลู่จื่อเหยากำลังถือบันทึกเสียงอันหนึ่งอยู่ กำลังพูดเงื่อนไขกับซูสือเยว่
“ข้อแรก ฉันต้องการให้ลั่วเยียนประกาศยอมรับความผิดของมันออกสู่สาธารณะ ประกาศการหย่าร้างกับฉินหนานเซิงออกไป ในขณะเดียวกันก็ถอนตัวออกจากวงการไปด้วย และจะต้องไม่ก้าวเข้ามาเหยียบอยู่ในวงการบันเทิงอีกแม้เพียงครึ่งก้าวตลอดไป”
“ข้อสอง ฉันต้องการให้เธอใช้ในนามที่เป็นหม้ายจากฉินโม่หาน ประกาศออกไปว่าฉินโม่หานได้ตายไปแล้ว และเอามรดกทั้งหมดของฉินโม่หานมอบให้กับพี่ชายฝาแฝดของเขาอย่างลู่จิ่งเฉินไปให้หมด”
ในวิดีโอเนื้อหาที่ได้ปรากฏออกมาทำให้ตัวของลู่จิ่งเฉินเซถอยไปข้างหลังสองก้าวไปทันที
เขามองหน้าจอตรงหน้าไปอย่างตกตะลึง ทั้งร่างเหมือนกับถูกฟ้าผ่าเข้ามาจนขยับไปไหนไม่ได้เลย
เป็นไปได้ยังไง…
เขารู้ว่าภาพจากมอนิเตอร์ตรงท่อนนี้เป็นของจริงอย่างแน่นอน
เพราะว่าเมื่อเย็นวานหลังจากที่ซูสือเยว่ทำลู่จื่อเหยาล้มคว่ำลงไป เขาก็ได้ตามไป
เขารู้ดีกว่าใครๆ เมื่อเย็นวานลู่จื่อเหยากับซูสือเยว่ได้เจอกันที่ชั้นดาดฟ้าของร้านอาหารจริงๆ แล้วก็ได้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา
เพียงแต่เขานึกไม่ถึงเลยว่า…
“บันทึกเสียงที่อยู่ในมือของลู่จื่อเหยาชุดนั้น เป็นสิ่งที่ซูสือเยว่วางแผนที่จะใช้มันเพื่อเอามาปลุกให้ฉินโม่หานฟื้นขึ้นมา”
จี้ว่านเชิ่งที่อยู่ข้างๆไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอดในที่สุดก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองลู่จิ่งเฉินไปด้วยสายตาที่ลึกซึ้งอ่านยาก
“ตอนนี้แกคงเข้าใจแล้วว่าทำไมฉันถึงได้คิดว่าแกอิจฉาฉินโม่หาน และตั้งใจที่จะยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างของฉินโม่หานแล้วใช่มั้ย?”
ร่างของลู่จิ่งเฉินได้สั่นออกมาอย่างแรง
ถ้าสิ่งพวกนี้ที่ลู่จื่อเหยาพูดออกมาทั้งหมดเขาล้วนแล้วแต่จะรู้เรื่องทั้งหมดนั้นดีล่ะก็…
อย่างนั้นแล้วในความคิดของคนอื่นคงจะคิดกันไปว่าพวกเขาทั้งสองคนร่วมสบคบคิดกันจริงๆ
แต่เขาที่เป็นตัวแทนของฉินโม่หานในตอนนี้ จะต้องเป็นตัวบงการหลักอย่างแน่นอน
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ที่ลู่จื่อเหยาได้ทำลงไป เขาไม่รู้เลยจริงๆ
หลังจากที่ปลอมตัวเป็นฉินโม่หานไป ในทุกๆวันเขาก็ยุ่งจนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นเลย แม้แต่เวลาจะคุยกับลู่จื่อเหยาก็ไม่มีเลย จะไปรู้การเคลื่อนไหวของเธอในแต่ละวันว่าพูดอะไรทำอะไรอยู่ได้ยังไง?
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นไปเงียบๆ “ในเรื่องนี้…มันต้องมีการเข้าใจอะไรผิดกันแน่เลยใช่มั้ยครับ?”
จื่อเหยาของเขา ไม่ควรจะเป็นคนอย่างนี้ไปได้
ถ้าเธอพิสมัยในความฟุ้งเฟ้อ อยากได้ทรัพย์สมบัติของฉินโม่หาน งั้นเมื่อตอนนั้นที่เมืองไห่ ทำไมถึงต้องมาคบกับเขาที่ยากจนข้นแค้นด้วย?
ตอนที่เขาเพิ่งได้เจอกับลู่จื่อเหยาไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ทุกๆวันก็รับจ็อบทำงานอยู่ในร้านอาหาร
เพราะว่าร้านอาหารเป็นร้านที่บ้านของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเปิดมา เขาก็เลยไม่ได้ค่าแรงอะไรเลย ในทุกๆวันต้องทำงานไปอย่างยากลำบาก ทำได้แค่เพียงแลกเปลี่ยนค่าใช้จ่ายไปเป็นค่าขนมและค่ากินค่าอยู่ไปทีละนิดๆ
ในตอนนั้น ลู่จื่อเหยาเหมือนกับนางฟ้าตนหนึ่งที่มาอยู่ข้างกายเขา ช่วยเขาหลุดพ้นออกมาจากพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง ช่วยเขาทำมาหากิน ให้เงินทุนเพื่อเริ่มต้นกับเขามา
ถึงแม้ว่าธุรกิจของเขาจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่หลายๆปีมามันก็นับวันจะดีขึ้นมาเรื่อยๆ
เขาจดจำความดีของลู่จื่อเหยาอยู่ตลอดมา และคิดว่าลู่จื่อเหยาเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยนและมีจิตใจที่ดีที่สุดบนโลกนี้แล้ว
แต่ว่า…
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง มองผู้หญิงคนนี้ที่อยู่บนแท็บเล็ตไป
“จะต้องมีอะไรที่เข้าใจผิดกันแน่ๆ”
เขากัดริมฝีปากออกมา เลิกตาขึ้นมองจี้ว่านเชิ่งกับหลิวหรูเยียนสองสามีภรรยา “จื่อเหยาไม่ใช่คนแบบนี้…”
พูดไปแล้ว เขาก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา คิดจะโทรไปหาลู่จื่อเหยา
จี้ว่านเชิ่งจงได้แย่งโทรศัพท์ของเขาไปทันที
ชายคนนั้นได้ถลึงตาใส่หน้าของลู่จิ่งเฉินไปด้วยความเยือกเย็น
“แกคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเหรอ?”
“เข้าใจผิดอะไร?”
“ถ้าหล่อนไม่ได้ต้องการจะยึดครองทรัพย์สมบัติของฉินโม่หานจริงๆ ทำไมถึงจะต้องให้ซูสือเยว่ประกาศออกไปว่าฉินโม่หานตายไปแล้ว แล้วเอาสมบัติทั้งหมดให้กับแก?”
“แล้วทำไมทั้งๆที่รู้ว่าแกเป็นฉินโม่หานตัวปลอมอยู่แก่ใจอยู่แล้ว แต่ก็ยังจะไปพูดกับสื่ออีกว่าคู่หมั้นของหล่อนคือฉินโม่หานอีก?”
“ไม่ใช่เพราะว่ากำลังเตรียมความพร้อมอยู่อย่างเต็มที่ เตรียมที่จะแบ่งเอาสมบัติของฉินโม่หานไปหรือไง?”
“เหตุผลที่ชัดเจนเข้าใจง่ายขนาดนี้แกไม่เข้าใจอีก?”
ลู่จิ่งเฉินกัดฟันแน่น เลิกตาขึ้นไปมองหน้าของจี้ว่านเชิ่ง “แต่คุณพ่อครับ”
“จื่อเหยาสำหรับผมแล้ว เป็นคนสำคัญที่สุด…”
“ผมไม่เชื่อว่าเธอจะ…”
จี้ว่านเชิ่งส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกมา “คนที่สำคัญที่สุด?”
“คนที่สำคัญที่สุด แต่แกกลับไม่รู้จักหล่อนเลยสักนิด!”
ลู่จิ่งเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ เพื่อให้ตัวเองจะได้ไม่ต้องเกิดการปะทะกับจี้ว่านเชิ่งขึ้นมา
“คุณพ่อ ผมไม่เคยบอกว่าเธอจะต้องเป็นคนดีแน่ๆ”
“แต่ว่า…”
“ลู่จิ่งเฉิน”
หลิวหรูเยียนที่อยู่ข้างๆเอ่ยขัดคำพูดของเขาออกมา
“ฉันรู้ว่าการที่จะให้เธอสงสัยผู้หญิงที่เชื่อใจมาหลายปีคนหนึ่งมันยาก”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราไปเปิดห้องที่โรงแรมกันสักห้องนึง พวกเราหลบกัน แล้วเธอก็ถามลู่จื่อเหยาด้วยตัวเอง ว่าตกลงแล้วหล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ถ้าหล่อนสามารถพูดความจริงกับเธอออกมาได้ หยิบยกคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดออกมาอธิบายสาเหตุที่หล่อนพูดคำพูดพวกนี้ออกมา”
“พวกเราก็จะไม่เอาความก็ได้”
“แต่ถ้าตัวหล่อนเองก็ยังอธิบายต้นสายปลายเหตุที่หล่อนได้ทำเรื่องพวกนี้ลงไปออกมาไม่ได้เลย…”
“ก็อย่าโทษน้าหลิวกับพ่อของเธอว่าใจร้ายแล้วกัน”
ลู่จิ่งเฉินเงียบไปสักพักนึง สุดท้ายก็หลับตาลง พลางตอบรับออกมา
คนกลุ่มนั้นก็ได้ออกจากสนามบินกันมา
ระหว่างทางไปโรงแรม ลู่จิ่งเฉินก็ต่อสายไปหาลู่จื่อเหยา
“จิ่งเฉิน”
ทางปลายสายมีเสียงที่เบาบางของผู้หญิงดังเข้ามา “ทำไมคุณถึงโทรหาฉันตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าคุณควรจะกำลังยุ่งอยู่เหรอ?”
“ครับ”
ลู่จิ่งเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ “ถึงแม้ว่าจะยุ่ง แต่เวลาที่จะติดต่อหาคุณ เจอหน้าคุณก็ยังพอมีอยู่”
“จื่อเหยาผมจองห้องที่โรงแรมเอาไว้แล้ว อยากจะ…อยู่ใกล้ชิดกับคุณสักหน่อย”
“คุณมาได้หรือเปล่า?”
ลู่จื่อเหยาที่อยู่ทางปลายสายนั้นได้เงียบไปสักพักนึง
ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เธอก็ได้หัวเราะออกมาด้วยความจนใจอยู่บ้างเล็กน้อย “กลางวันแสกๆอย่างนี้…”
ลู่จิ่งเฉินมองญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆไปแวบนึง ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปมากมาย ทำได้แค่เพียงสูดหายใจเข้าไปลึกๆแล้วเอ่ยออกไปว่า “คุณมาเถอะ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ”
“สำคัญมาก? คงจะไม่ได้คิดที่จะดูฤกษ์แต่งงานกับฉันหรอกใช่มั้ย?”