ซูสือเยว่ลั่วเยียนและทั้งสามซิงออกจากบ้านแบ่งทีมแยกกันไปสองทาง
ซิงหยุนซิงเฉินซิงกวงเด็กน้อยทั้งสามคน คนนึงรับผิดชอบนำทางไปโรงพยาบาล คนนึงรับผิดชอบในการติดต่อหาหานหยุน อีกคนนึงก็รับผิดชอบในการจัดการกับจี้หนานเฟิง
เข้าไปนั่งในรถแล้วซิงเฉินก็ได้โบกมือให้กับซูสือเยว่ที่อยู่ข้างนอกหน้าต่างรถ “หม่ามี้สบายใจได้เลย! พวกเราจะต้องเอาบันทึกเสียงไปมอบให้กับคุณอาหานหยุนอย่างแน่นอน เพื่อให้เขาเปิดวนตลอดทั้งวันให้กับแด๊ดดี้!”
“หลังจากที่แด๊ดดี้ได้ยินแล้ว จะต้องตื่นขึ้นมาหาพวกเราอย่างมีความสุขแน่ๆ!”
ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ซูสือเยว่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เดินทางปลอดภัยนะ!”
“ครับ หม่ามี้ก็เดินทางปลอดภัยนะครับ!”
“หลังจากที่จัดการกับผู้หญิงไม่ดีคนนั้นแล้วอย่าลืมไปเจอกับพวกเราที่โรงพยาบาลด้วยนะครับ พวกเราจะได้รอแด๊ดดี้ฟื้นขึ้นมาด้วยกัน!”
ซูสือเยว่พยักหน้าตอบตกลง ก้าวขาขึ้นรถไป
ลั่วเยียนถูกเสียงพูดของเด็กน้อยทำเอาตลกขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะขึ้นรถไปพลางเอ่ยพูดออกมาพลางว่า
“สือเยว่ ถ้าเมื่อไหร่ฉันมีลูกที่น่ารักอย่างซิงเฉินมันก็ดี”
เมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่เธอร้องไห้เสียใจหนักมาก ซิงเฉินก็ยังให้เธอยืมไหล่ ให้เธอพิงไหล่ของเขาร้องไห้
ลั่วเยียนถึงขนาดที่สามารถจินตนาการออกมาได้เลยว่าหลังจากที่ซิงเฉินโตไป จะต้องเป็นเด็กที่เอาอกเอาใจเก่งและเป็นสุภาพบุรุษมากแน่ๆเลย
เธอนั่งอยู่ในรถ พูดคร่ำครวญออกมามากมาย
“เพียงแต่ตอนนี้ฉันโสด ไม่เจอคนที่เหมาะสมกันเลย”
“ถ้าฉันเจอคนที่เหมาะสม ฉันจะรีบคว้าโอกาสคลอดลูกสาวออกมาสักคนนึงอย่างแน่นอน!”
ซูสือเยว่ถือโน๊ตบุ๊คนั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะหนังแท้ หันหน้าไปมองด้านนอกหน้าต่าง
“คลอดลูกสาวไปทำไม?”
“เพื่อมาเป็นภรรยาของซิงเฉินไง!”
ลั่วเยียนถลึงตาใส่ซูสือเยว่ไปอย่างตำหนิ
“เธอไม่คิดว่าซิงเฉินของเธอนั้นอ่อนโยนมากทั้งยังมีความเป็นสุภาพบุรุษมากและยังสดใสมากๆเลยหรือไง?”
“ชั่วชีวิตนี้ฉันคงไม่มีโชคที่จะมีลูกที่ว่าง่ายรู้ความอย่างนี้แล้ว แต่ฉันสามารถทำให้เขากลายเป็นลูกเขยของฉันได้นะ!”
ลั่วเยียนพูดไปแล้วก็ได้ยกมือขึ้นมาพนมมือ
“ตอนนี้ซิงเฉินห้าขวบ รอให้ฉันคลอดลูกสาวออกมา อายุก็คงจะห่างจากเขาประมาณ…หกปี”
“หกปีก็ยังถือว่าดีอยู่ สามารถรับได้เลย!”
ซูสือเยว่มองผู้หญิงที่คิดเพ้อเจ้ออยู่ข้างๆไปด้วยความจนใจ
“ฉันต้องเตือนคุณเอาไว้หน่อยนะคะคุณลั่วเยียน ว่าตอนนี้คุณยังไม่มีแฟน และเพิ่งจะจบชีวิตสมรสที่แสนจะเฮงซวบไปเองนะคะ”
“ถ้าเธอหาแฟนใหม่มาแต่งงานล่ะก็ อย่างน้อยก็ต้องคบหาดูใจกันสักปีนึงก่อนถึงจะแต่งงาน คบกันปีนึง แต่งงานปีนึง แล้วค่อยมีลูกอีกปีนึง อย่างนั้นแล้วระยะห่างของลูกสาวของเธอกับซิงเฉินก็ไม่ใช่แค่หกปีแล้ว”
“นี่ฉันยังไม่ได้นับช่วงระหว่างที่จบรักครั้งเก่ามาเริ่มต้นรักครั้งใหม่ก่อนที่เธอจะเจอแฟนเลยนะ ถ้าภายในห้าปีเธอยังหาแฟนไม่ได้แล้วล่ะก็ รอจนกว่าเธอจะคลอดลูกสาวออกมา ซิงเฉินก็คงจะมีแฟนไปแล้ว”
คำพูดของซูสือเยว่ ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากของลั่วเยียนเต้นตุบๆออกมา
เธอเหลือบมองซูสือเยว่ไปอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็ก้มหน้าลงเอานิ้วขึ้นมานับ
“ถ้าตามที่เธอว่ามาแล้วล่ะก็…”
“จากคบหาดูใจกันไปจนถึงมีลูกฉันต้องใช้เวลาสามปี…”
“เพื่อไม่ให้อายุของซิงเฉินกับลูกของฉันห่างกันเกินสิบปี ฉันก็ควรจะหาแฟนให้ได้ภายในสองปี”
พูดจบ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
“รอหลังจากที่เรื่องตรงนี้ของเธอได้แก้ไขปัญหาลงไปแล้ว ฉันจะเริ่มไปเที่ยวรอบโลก นัดบอดไปทั่วโลกเลย!”
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าภายในสองปีฉันจะไม่เจอคนที่เหมาะสมเลยสักคนเดียว!”
ซูสือเยว่ได้ยินคำพูดเกินจริงของเธอแล้ว ก็อดถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
“ไม่พิจารณาฉินหนานเซิงดูจริงๆ?”
ได้ยินชื่อของฉินหนานเซิง สีหน้าของลั่วเยียนก็ได้เปลี่ยนไปทันที
เธอเบือนหน้าออกไปทางด้านนอกหน้าต่างรถ
“พูดถึงเขาขึ้นมาทำไม หมดสนุกเลย!”
“ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันไม่ชอบเขาแล้ว ก็คือไม่ชอบเขาแล้วสิ ไม่เพียงแต่จะไม่ให้โอกาสเขา แต่ยังไม่ให้โอกาสตัวฉันเองด้วย!”
“เดินหน้าแล้วไม่คิดจะถอยหลัง ฉันไม่มีวันจะหันหลังกลับไป!”
พูดจบ เธอก็หันหน้าไปมองซูสือเยว่
“แฟนเก่าเธอชื่ออะไรแล้วนะ?”
“ใช่ เฉิงเซวียน”
“เธอจะให้โอกาสเฉิงเซวียนได้เริ่มต้นใหม่อีกหรือเปล่า?”
ซูสือเยว่ถูกเถียงเข้ามาจนพูดไม่ออก
เธอทอดถอนหายใจออกมา อันที่จริงก็มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่เธออยากจะบอกลั่วเยียน
แต่ว่าเห็นใบหน้าต่อต้านของลั่วเยียนแล้ว เธอเลือกที่จะไม่พูดออกไปดีกว่า
อันที่จริงสิ่งที่เธออยากจะพูดออกไปก็คือ…
ฉินหนานเซิงกับเฉิงเซวียนไม่เหมือนกันเลยจริงๆ
เฉิงเซวียนเป็นผู้ชายสารเลวทุกกระเบียดนิ้วคนหนึ่ง
ส่วนฉินหนานเซิงล่ะ?
ถึงแม้ว่าในใจจะมีลู่จื่อเหยามาโดยตลอด คิดมาโดยตลอดว่าคนที่เขียนจดหมายกับเขาเมื่อตอนนั้นเป็นลู่จื่อเหยา
แต่ว่าเขาก็ยังใส่ใจเป็นห่วงเป็นใยลั่วเยียนมากเหมือนกัน
อย่างเช่นตอนนี้…
ข้อความที่โชว์อยู่ในโทรศัพท์ของเธอ ก็เป็นข้อความที่ฉินหนานเซิงส่งเข้ามา
“ตอนนี้อารมณ์ของลั่วเยียนไม่มั่นคงมาก คุณสามารถหาเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนเธอหน่อยได้มั้ย?”
“ขอบคุณนะ”
ซูสือเยว่ถอนหายใจออกมา
เธอคิดว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตามในใจของฉินหนานเซิงก็มีลั่วเยียนอยู่เต็มไปหมด
ตรงจุดนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็เทียบกันไม่ได้เลย
เพียงไม่นานรถก็ได้มาถึงโรงแรม
ซูสือเยว่กับลั่วเหยียนได้ขึ้นไปข้างบนตามที่อยู่ที่ลู่จิ่งเฉินส่งมาให้
หลังจากที่เข้าห้องไปแล้ว ก็ได้พบว่านี่เป็นห้องชุดห้องนึง
ด้านนอกห้องชุดมีลู่จิ่งเฉินที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนังนั่งอยู่
ด้านในห้องชุด…
นึกไม่ถึงว่าจะมีจี้ว่านเชิ่งเจี่ยนหมิงจงแล้วก็ยังมี…หลิวหรูเยียนนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยอีกคน
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูสือเยว่ได้เจอหลิวหรูเยียนที่อยู่ในสถานะตื่นมีสติครบถ้วนแล้ว
เธอเบิกตากว้างออกมา มองหน้าของหลิวหรูเยียน ปากก็อ้าออกมา นึกอยากจะพูดอะไรออกไป แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเดียว
เธออยากจะตะโกนเรียกเธอว่าแม่มากเลย
แต่คำพูดมันมาถึงที่ปากแล้ว มันกลับพูดไม่ออกเสียได้
หลิวหรูเยียนมองเธอมานิ่งๆ พลางยิ้มออกมา
“ตอนที่ฉันยังอยู่ในอาการโคม่า หนูพูดอยู่ที่ข้างๆหูฉันเก่งมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมเห็นฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว ปากมันใช้การไม่ได้ขึ้นมา?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปาก พยักหน้าตอบรับไปเงียบๆ
ปากของเธอตอนนี้เหมือนกับได้สูญเสียฟังค์ชั่นในการพูดนี้ไปเลย
อ้าๆหุบๆ อยากจะพ่นคำพูดออกไปสักคำนึง แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
เธอตื่นเต้นมากเกินไป
เธอนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอกับหลิวหรูเยียนในสถานการณ์แบบนี้ได้
และก็นึกไม่ถึงว่าตอนที่หลิวหรูเยียนฟื้นขึ้นมา จะสวยได้ขนาดนี้ พูดจาอ่อนโยนได้ถึงขนาดนี้
เห็นเธอยังคงมีท่าทางที่ดูตื่นเต้นออกมา เจี่ยนหมิงจงก็ได้ถอนหายใจออกมา
“เธอเป็นแม่แท้ๆของเธอ เธอมีอะไรให้ต้องกลัวนักหนา?”
“ยังไม่รีบเข้ามาอีก?”
ซูสือเยว่จึงได้กัดริมฝีปากเอาไว้ แล้วเอาโน๊ตบุ๊ควางลงไปในมือของลั่วเยียน ค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆ
หลิวหรูเยียนดึงมือของเธอเข้าไป พลางถอนหายใจออกมา
“ทำให้ลูกเจอกับความยากลำบากแล้ว”
“แม่กับพ่อของลูก แล้วก็ยังมีคุณอาจี้ของลูกด้วยอีกคน อยู่ที่เมืองสตัฟฟ์ ไม่รู้เลยว่าพวกลูกต้องใช้ชีวิตกันอย่างนี้อยู่ที่ทางนี้”
“ถ้ารู้ก่อนล่ะก็ แม่จะรีบมาให้เร็วกว่านี้”
“แต่มันก็แค่…”
คำพูดยังไม่ทันได้พูดออกไปจนจบ เธอก็กวาดตามองลู่จิ่งเฉินที่นั่งอยู่ข้างนอก กลืนคำจำพวก “คนเลวทรามต่ำช้า” ตรงท่อนหลังกลับลงไปเงียบๆ
ซูสือเยว่เม้มริมฝีปากออกมา ทันทีที่คิดอยากจะถามออกไปว่าทำไมหลิวหรูเยียนถึงได้มาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ ประตูห้องก็ได้ถูกคนกดออดมาจากข้างนอก
เจี่ยนหมิงจงรีบส่งสัญญาณให้พวกเขาอย่าเพิ่งพูดอะไรกันออกมาทันที จากนั้นก็ปิดบานประตูที่อยู่ตรงกลางห้องชุดนั้นลง
เพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงลู่จิ่งเฉินลุกขึ้นไปเปิดประตูจากข้างนอกดังเข้ามา
“จิ่งเฉิน!”
ทันทีที่ประตูเปิดออก เสียงออดอ้อนของลู่จื่อเหยาจากด้านนอกก็ได้ดังขึ้น
“ฉันคิดถึงคุณมากเลยนะ!”