เมื่อก่อนทุกครั้งตอนที่ลู่จื่อเหยาบอกว่าคิดถึงเขา ลู่จิ่งเฉินจะรู้สึกดีใจมากเสียทุกครั้ง
แต่ว่าตอนนี้เขากลับยิ้มไม่ออกเลย
เขามองหญิงสาวที่แต่งตัวมาเสียดูสวยเป็นพิเศษคนที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าเธอเหมือนคนแปลกหน้าไป
เขากับลู่จื่อเหยารู้จักกันในตอนที่เขาอยู่ในความยากลำบาก
ลู่จื่อเหยาเป็นคนที่เขาวางอยู่บนส่วนลึกสุดของหัวใจ เป็นความอบอุ่นแรกและเพียงหนึ่งเดียวจากบนโลกใบนี้ของเขา
เธอยอมกอดเขาเอาไว้ในตอนที่เขาอยู่ในความยากลำบากที่สุด บอกว่าอยากจะมีอนาคตที่สดใสกับเขา
เธอยอมยืนอยู่ข้างเขาในตอนที่ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะเขา บอกกับเขาว่าเธอเชื่อเขา
ต่อมาในภายหลัง ที่บ้านของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงไฟไหม้ ทุกคนต่างก็พากันกล่าวโทษเขา คิดว่าเขาเป็นคนทำ
และก็เป็นลู่จื่อเหยาด้วยเหมือนกันที่ยืนออกมาเป็นคนแรก แล้วพูดว่าเธอเชื่อเขา
เธอไม่เพียงแต่จะเชื่อเขา แต่ยังยอมพยายามช่วยเขาตรวจสอบอย่างสุดความสามารถอีก สุดท้ายเขาก็ได้พ้นผิดมาได้
เขาไม่อยากกลับไปที่บ้านของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง เธอก็เสนอออกมาว่าอยากจะไปอีกเมืองนึงกับเขา เธอมีเงินฝากอยู่นิดหน่อย อยากจะทำธุรกิจเล็กๆกับเขา แล้วหลังจากนั้นก็มีชีวิตที่ดีขึ้น
ลู่จิ่งเฉินในตอนนั้น คิดว่าลู่จื่อเหยาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีที่สุด อ่อนโยนที่สุดในโลกนี้แล้วจริงๆ
เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้แน่ใจในความสัมพันธ์ และก็ได้ลงหลักปักฐานกันอยู่ที่อีกเมืองนึง
พวกเขาเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตมาร้านนึง
ถึงแม้ว่าวุฒิการศึกษาของลู่จิ่งเฉินจะไม่สูง และก็จะทำเพียงแค่งานคอยรับใช้อยู่ที่บ้านของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงมาโดยตลอด
แต่เขากลับมีความสามารถในการทำธุรกิจที่ดีมาก
เพียงไม่นานร้านซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆของพวกเขาก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าจะเจอกับอุปสรรคมากมายเช่นกัน แต่ลู่จิ่งเฉินก็ได้ทำจากเถ้าแก่ร้านซูเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆร้านหนึ่งมาจนถึงประธานที่คอยอยู่เบื้องหลังของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งภายในช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่ปี
เขาคิดว่าวันเวลาอย่างนี้มันก็คือความสงบสุข เป็นความสบายไม่เดือดไม่ร้อนอะไร
แต่ลู่จื่อเหยามักจะพูดอยู่เสมอว่าเมืองที่พวกเขาใช้ชีวิตอาศัยอยู่มันเล็กเกินไป
พวกเขาควรจะมีเวทีที่ใหญ่ขึ้น มีความมั่งคั่งที่มากยิ่งขึ้น
เธอคอยเป่าหูเขาอยู่ตลอดว่าให้เขามาที่เมืองหรง บอกว่าเมืองหรงเมืองนี้ มีโอกาสมากขึ้น สามารถทำให้เขาดำเนินแผนการเพื่อพัฒนาความยิ่งใหญ่ในขอบเขตที่ใหญ่ขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้เองลู่จิ่งเฉินกับลู่จื่อเหยาก็เคยทะเลาะกันมาก่อน
แต่เขานึกไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะมาเจอญาติพี่น้องที่แท้จริงของตัวเอง แล้วยังมาที่เมืองหรงจริงๆ
สิ่งที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่าเลยคือหลังจากที่มาถึงเมืองหรงแล้ว ตนจะได้กลายมาเป็นประธานของฉินซื่อกรุ๊ป ยุ่งจนไม่ได้เจอหน้ากับลู่จื่อเหยานานมากเลย
“จิ่งเฉิน”
ในทันใดนั้นเองเสียงของลู่จื่อเหยาก็ได้ดึงเอาความคิดของลู่จิ่งเฉินกลับมา
เขาเงยหน้าขึ้นไป นึกไม่ถึงว่าจะเห็นลู่จื่อเหยาถอดเสื้อคลุมบนร่างของตัวเองออกไปต่อหน้าเขาออกมาโต้งๆ!
ด้านในเสื้อคลุมของเธอ นึกไม่ถึงว่าจะไม่สวมชุดชั้นในเอาไว้เลย สวมเพียงแค่ชุดนอนผ้าไหมที่โป๊มากๆเพียงแค่ตัวเดียว!
ชายหนุ่มเบิกตากว้างออกมาด้วยความตกใจ นึกขึ้นมาได้ว่าด้านในห้องชุดที่อยู่ข้างหลังยังมีครอบครัวซูสือเยว่สามคนกับลั่วเยียนและจี้ว่านเชิ่งอยู่ด้วย จึงรีบเข้าไปเอาเสื้อคลุมที่ลู่จื่อเหยาดึงออกไปมาคลุมลงไปบนร่างให้กับเธอ
“จื่อเหยา คุณ…คุณสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน”
“ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณ”
ลู่จื่อเหยาหรี่ตาลง ในดวงตาได้มีความเยาะหยันแวบผ่านออกมา
ผู้ชายคนนี้ทั้งๆที่ตื่นเต้นไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะมาแสร้งทำเป็นมาหยิ่งอยู่ต่อหน้าเธออีกนะ
เธอเห็นผู้ชายประเภทนี้มาเยอะแล้ว ปากบอกไม่เอา แต่ที่จริงแล้วในใจมันรู้สึกตื่นเต้นจะตายอยู่แล้ว
หญิงสาวแสยะริมฝีปากออกมา ถอดเสื้อคลุมออกไปพลาง โน้มร่างเข้าไปพลาง โอบไหล่ของลู่จิ่งเฉินเอาไว้เบาๆ
“จิ่งเฉิน พวกเราหลังจากที่มาเมืองหรงแล้ว ได้เจอหน้ากันแค่สามสี่ครั้งเอง ทุกครั้งต่างก็ต้องรีบร้อนไปหมด”
“ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะได้มาเจอกัน คุณยังอยากจะผลักฉันออกไปอีกเหรอ?”
ลู่จิ่งเฉินตื่นเต้นจนลูกกระเดือกขยับเคลื่อนขึ้นลง เหงื่อบนหน้าผากไหลอาบออกมา
ชายหนุ่มดึงลู่จื่อเหยาลงมาจากร่างของเขาด้วยความแข็งกร้าว แล้วโยนเสื้อคลุมไปบนร่างของเธอ
ต่อจากนั้นก็คิดขึ้นมาได้อีกว่าดูเหมือนว่าเสื้อคลุมมันจะไม่สามารถปิดร่างของเธอได้ทั้งหมด จึงได้หยิบเอาผ้าปูที่นอนขึ้นมาห่อหุ้มทั้งร่างของลู่จื่อเหยาไปด้วยเลย
ในที่สุดตอนนี้ลู่จื่อเหยาก็ขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
เธอถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าปูที่นอนขยับตัวไม่ได้เลย
หญิงสาวย่นคิ้วออกมา สุดท้ายก็มองลู่จิ่งเฉินไปด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
“พูดมาสิ คุณอยากจะคุยอะไรกับฉัน?”
“มีอะไรที่มันไม่สามารถทำไปพลางพูดไปพลางได้?”
“ฉันคบกับคุณมานานขนาดนี้แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราก็ไม่เคยจะก้าวมาถึงขั้นนี้กันมาก่อน คุณจะไม่รีบร้อนเลยเหรอ?”
คำพูดของหญิงสาวพูดออกมาจบ เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจที่แผ่วเบาได้หลุดออกมาจากภายในห้องชุด
เส้นเลือดบนหน้าผากของลู่จิ่งเฉินกระตุกออกมาอย่างแรง
เขาสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เอาผ้าปูที่นอนห่อหุ้มลู่จื่อเหยาเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“จื่อเหยา ผมมีเรื่องจริงจังที่จะพูดกับคุณจริงๆ”
ลู่จื่อเหยามองเขาไปอย่างเหยียดๆแวบนึง ภายในใจต่อว่าเขาไปด้วยความโกรธว่าเขาเป็นคนโง่
“พูดมาสิคะ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?”
ชายหนุ่มหลุบตาลง “ผมเห็นข่าวของเช้าวันนี้แล้ว”
เขามองหน้าลู่จื่อเหยานิ่ง
“ทั้งๆที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่าฉินโม่หานในตอนนี้ก็คือผม ทำไมคุณถึงต้องบอกับคนอื่นว่าคุณเป็นคู่หมั้นของฉินโม่หาน?”
ลู่จื่อเหยาตะลึงงันไปเล็กน้อย
เธอหรี่ตาลง “คุณรู้ได้ยังไง”
ถึงแม้ว่าเธอจะรับการสัมภาษณ์ไปก็ไม่กลัวเขาจะรู้
แต่เธอก็ยังบล็อกข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเธอในโทรศัพท์ของเขาเอาไว้โดยเฉพาะแล้ว
เธอถึงขนาดที่ยังคิดหาวิธีที่จะบล็อกข่าวที่เกี่ยวกับเธอทั้งหมดในโทรศัพท์ของไป๋ลั่วด้วย
เพื่อไม่ให้ได้พบเห็นได้ทันที สร้างโอกาสให้ความคิดเห็นของมหาชนได้หมักหมมเอาไว้มากยิ่งขึ้น
ถึงตอนนั้นแล้ว คนทั้งเมืองก็ได้เห็นข่าวกันไปหมดแล้ว ลู่จิ่งเฉินถึงแม้ว่าจะอยากอธิบายออกไป ก็อธิบายออกไปไม่ได้
แต่ในตอนนี้ระยะห่างจากการสัมภาษณ์นั้นของเธอเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึง12ชั่วโมงเอง ลู่จิ่งเฉินก็เริ่มมาถามเธอเสียแล้ว!
“แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องเห็นข่าวด้วยตัวเองอยู่แล้ว”
ลู่จิ่งเฉินจ้องมองหน้าเธอ สายตาล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง
“คุณบอกผมมาว่าทำไมถึงต้องพูดไปอย่างนี้?”
ลู่จื่อเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยพูดเสียงอ่อนเสียงหวานออกมา
“สิ่งที่ฉันทำลงไปพวกนี้ไม่ใช่ว่าเพื่อให้สามารถอยู่ด้วยกันกับคุณให้ได้มากขึ้นสักหน่อยหรือไง?”
“ถ้าฉันพูดไปว่าฉันเป็นคู่หมั้นของฉินโม่หาน สถานะในตอนนี้ของคุณก็คือฉินโม่หาน พวกเราก็จะสามารถจับมือเดินไปด้วยกันในที่สาธารณะได้”
“นี่มันไม่ดีเลยหรือไงคะ?”
พูดไปแล้ว เธอก็กัดริมฝีปาก มองเขาไปอย่างน่าสงสาร
“จิ่งเฉิน หรือว่าคุณไม่อยากคบกับฉันอย่างเปิดเผยเหรอคะ?”
ลู่จิ่งเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อผ่อนคลายอาการตกใจ
“เพื่อเรื่องนี้จริงๆ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“แต่เมื่อก่อนผมก็เคยบอกคุณเอาไว้แล้วว่าเพื่อไม่สร้างปัญหาวุ่นวายให้กับฉินโม่หาน ให้คุณอย่ามาหาผมในช่วงที่ผมกำลังปลอมเป็นฉินโม่หานอยู่”
ลู่จื่อเหยากัดริมฝีปากเอาไว้ “แต่ฉันคิดถึงคุณมากนี่…”
ลู่จิ่งเฉินถอนหายใจออกมา
“แล้วเรื่องที่คุณไปขู่ซูสือเยว่ล่ะ?”
“คุณขู่ซูสือเยว่ว่าให้เธอประกาศออกไปว่าฉินโม่หานตายไปแล้ว แล้วเอาสมบัติของฉินโม่หานทั้งหมดมาให้ผม มันก็เป็นเพราะว่าคุณคิดถึงผมมากด้วย?”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้หน้าของลู่จื่อเหยามืดครึ้มออกมาทันที
“คุณรู้ได้ยังไง?”
ลู่จิ่งเฉินยิ้มเย็นออกมา
“คุณอย่าไปสนใจเลยว่าผมรู้ได้ยังไง คุณก็แค่บอกผมมาว่าทำไมคุณถึงได้ทำอย่างนี้ก็พอ”
ลู่จื่อเหยาหลับตาลงพลางยิ้มขมขื่นออกมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา มองหน้าของลู่จิ่งเฉินไปอย่างเย็นชา
“แน่นอนว่าเพื่อที่จะเอาสมบัติของฉินโม่หานมาสิ”
เธอจ้องหน้าของลู่จิ่งเฉิน
“จิ่งเฉิน หรือคุณไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยหรือไง?”
“เป็นลูกของคุณพ่อกับคุณแม่คุณเหมือนกัน พวกคุณทั้งสองตั้งท้องขึ้นมาพร้อมกัน คลอดออกมาพร้อมกัน แต่ว่าตอนนี้ เขามีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเสียขนาดนั้น แต่คุณกลับต้องมาลำบากขนาดนี้”
“หรือว่าคุณจะไม่คิดว่าคุณควรจะทวงอะไรคืนมาจากเขาสักหน่อยเลยหรือไง?”
“ฉินโม่หานก็เพลิดเพลินกับมันมานานแล้วและก็อยู่อย่างสุขสบายมานานมากแล้ว ควรจะถึงตาของคุณได้แล้ว!”