ซูสือเยว่กับฉินโม่หานจูบกันในห้องผู้ป่วยเป็นเวลานาน หานหยุนถึงจะเคาะประตูห้องอย่างเก้อเขิน
ซูสือเยว่เงยหน้าขึ้นไปมองตรงประตู
ภาพที่เห็นตรงประตู ทำให้เธอทั้งร่างกายเธอแข็งทื่อไปทันที
เมื่อรับรู้ถึงปฏิกิริยาของเธอ ผู้ชายที่กำลังกอดและกัดงับคอของเธออยู่ก็หันไปทางประตูห้องผู้ป่วย
มีหมอกว่าสิบคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
ทั้งคนที่มีผมเยอะ คนที่มีผมน้อย คนที่ใส่แว่นหนา คนที่ไม่ใส่แว่น
ยืนเรียงกันทั้งสูงและเตี้ย ต่างก็ยืนมองทั้งสองคนอย่างเขินอาย
หานหยุนกระแอมเบาๆ แล้วจึงพูดด้วยเสียงที่เบาลง:
“นั่นน่ะ ได้ยินมาว่าท่านชายฉินได้สติแล้ว หมอทุกคนที่ร่วมช่วยกันรักษาและวินิจฉัยท่านชายฉิน ต่างก็รีบเข้ามากันอย่างเร่งรีบ…”
เขาหน้าแดงอย่างเขินอาย:
“นี่ก็…ยังถ้าเป็นชายหนุ่มที่ทั้งเยาว์วัยและแข็งแรงเหมือนพวกเราที่เป็นหมอก็เข้าใจนะครับ”
“แต่ว่า…”
“ท่านฉิน ท่านและภรรยาของท่านจูบกันมานานกว่าสิบนาทีแล้วล่ะครับ”
“ท่านหมดสติไปนาน พละกำลังร่างกายของท่านมีขีดจำกัด ถ้าหากจูบกันนานกว่านี้ เกรงว่าท่านจะหมดสติไปอีกรอบครับ”
ฉินโม่หาน: “…”
ซูสือเยว่: “…”
ในที่สุด ซูสือเยว่ก็รีบหนีออกจากอ้อมกอดของฉินโม่หาน และเธอรีบวิ่งออกจากห้องไปพลางเอามือปิดหน้าเอาไว้
เมื่อมองไปยังหลังของซูสือเยว่ที่กำลังวิ่งออกไปและทิ้งเขาเอาไว้ หานหยุนก็กระแอมอย่างเขินอายขึ้นมา และเหลือบมองไปที่ประตู:
“ภรรยาของท่านฉินยังเป็นผู้ที่….สงบเสงี่ยม…ระมัดระวังตัวอยู่เสมอเลยล่ะ”
หมอกว่าสิบคนพากันก้มหัวลง
สงบเสงี่ยมระมัดระวังตัว?
กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?
ภรรยาตัวน้อยของท่านชายฉินคนนี้ ในตอนที่กำลังจูบกับท่านฉินนั่นเรียกได้ว่าเร่าร้อน…
“อาาา! น่าอายชะมัดเลย!”
ซูสือเยว่นั่งอยู่ในร้านกาแฟของโรงพยาบาลพลางเอามือปิดหน้าอยู่ตลอด:
“น่าอายเกินไป!”
ก่อนหน้านี้เธอรู้เพียงแต่ว่า ตอนที่เธอกำลังกอดกับฉินโม่หานอยู่นั้น หานหยุนก็พาเด็กสามคนเดินไปแล้ว
ดังนั้นเธอก็เลยไม่ได้หวนคิดกลุ้มใจอะไรที่จะกอดและจูบกับฉินโม่หาน
เขาได้สติขึ้นมาแล้ว เธอดีใจและแปลกใจมาก มันเกินความคาดหมายมาก และตื่นเต้นมาก!
แต่ว่าเธอจะไปคาดคิดได้อย่างไร…
ว่าหานหยุนจะพาหมอมาอยู่ข้างนอกห้องดูละครเยอะขนาดนี้!
ฟู่เชียนเชียนและลั่วเยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามซูสือเยว่ ต่างก็กลั้นยิ้มในเวลาเดียวกัน:
“ฉันคิดว่านะ หมอหานหยุนน่าจะไม่ได้ตั้งใจ…พวกเธอไม่ได้เจอกันนาน ใครจะไปกล้ารบกวนพวกเธอล่ะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ หานหยุนน่ะเป็นแฟนตัวยงของเธอล่ะ บางทีตอนที่เขาเห็นฉากจูบที่เป็นละครของเธอ ก็เลยลืมตัวจนไม่ทันรู้ว่ามีหมอหลายคนอยู่รอบตัวเขาก็เป็นได้!”
ซูสือเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างขุ่นเคืองมองไปที่หน้าของเพื่อนสนิทของเธอทั้งสองคน “อย่ามาล้อฉันเล่นนะ”
“ฉันคิดจริงๆนะเนี่ย ไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปห้องผู้ป่วยได้อีกแล้ว”
ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะหารูเพื่อที่จะเจาะเข้าไปจริงๆ
ฟู่เชียนเชียนกับลั่วเยียนมองหน้ากับและคิดว่า ซูสือเยว่คงจะอายจริงๆ ก็เลยหยุดล้อเธอ
“นี่เป็นเรื่องปกติมากเลยนะ สามีภรรยาที่ไม่ได้เจอกันมานานจะกอดกันจูบกัน มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์เอง”
“ใช่ ในสายตาของพวกหมอ คนไข้ก็แค่เนื้อชิ้นหนึ่ง ที่พวกหมอเหล่านั้นเห็นก็แค่ เนื้อสองก้อนกำลังกอดจูบกันเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย”
ซูสือเยว่: “…”
เธอคิดได้อย่างไรว่าคำปลอบใจจากสองคนนี้มันอาจจะทำให้หัวเราะได้?
ในตอนที่ทั้งสามคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของลั่วเยียนก็ดังขึ้นมา
หญิงสาวที่กำลังยิ้มอยู่ได้หยิบโทรศัพท์ หมายเลขบนหน้าจอนั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหายไปในทันที
ซูสือเยว่ และ ฟู่เชียนเชียน มองหน้ากันแล้วหันไปหาลั่วเยียน:
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉินหนานเซิงเขาหาเธออยู่เหรอ?”
ลั่วเยียนโบกมือและส่ายหัว “ไม่ใช่”
เธอหายใจเข้าลึก ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอไปเดินไปที่ซอกมุมหนึ่งข้างนอกประตู
“ชิงเจ๋อ คุณแม่เป็นยังไงบ้าง”
เสียงของลั่วชิงเจ๋อที่ปลายสายโทรศัพท์พูดเสียงเบาลงเล็กน้อย:
“อาการของแม่ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก…”
“หมอบอกว่ามันรุนแรงมาก ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อเพื่อผ่าตัด อย่างน้อยที่สุด….สิบกว่ารอบ”
“เงินที่เธอให้มากว่าสามแสน ก็ยังไม่พอเลย”
ลั่วเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ “แล้วประกันภัยล่ะ? ฉันจำได้ว่าฉันเคยให้เงินครอบครัวของฉันทุกเดือน และยังขอให้คุณพ่อซื้อประกันภัยให้พวกเธอทั้งสามคน”
ลั่วซิงเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง:
“คุณพ่อน่ะไม่เต็มใจที่จะใช้เงินสำหรับซื้อประกันมาซื้อประกันจริงๆ…”
“เงินเหล่านั้น ล้วนรวบรวมเอาไว้เพื่อใช้ลงทุนทำธุรกิจหมดแล้ว”
“สุดท้ายผลที่ได้ก็โดนโกงเสมอมา เธอก็รู้นี่…ต้นทุนในการค้าขายไม่มีวันได้รับคืน…”
“ที่บ้านน่ะไม่มีเงินจริงๆแล้วล่ะ”
ลั่วเยียนนั่งยองๆที่ซอกมุม เธอหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อเช้านี้มีสายโทรศัพท์จากที่บ้านโทรมาอย่างกะทันหัน เป็นเพราะคุณพ่อโดนโกงเพราะการทำธุรกิจ เงินเก็บของที่บ้านจึงได้หมดไปไม่เหลืออะไรเลย
คุณแม่ทั้งหมดหวังทั้งเศร้า เมื่อเห็นประกาศการลาออกจากวงการบันเทิงเพื่อออกไปแต่งงานกับ ฉินหนานเซิง…
ทันใดนั้นเธอก็สิ้นหวังมากขึ้น ดังนั้นจึงเลือกที่จะกระโดดลงมาจากชั้นที่สิบสอง
เป็นเพราะลั่วชิงเจ๋อเรียกตำรวจมาได้ทันเวลา ดังนั้นเมื่อพนักงานดับเพลิง จึงได้มีการวางเบาะช่วยชีวิตเอาไว้ด้านล่าง เกือบจะช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ได้
แต่ความเสียหายทางร่างกายของคุณแม่นั้นรุนแรงมาก สำหรับโรคที่เดิมทีควรจะได้รับการรักษามาตั้งหลายปีก่อนจนตอนนี้ยังไม่ได้รักษา
เงินกว่า 2 แสนที่ลั่วเยียนมีอยู่ในมือก็ยังคงไม่เพียงพอ
เธอพึ่งพาอาศัยคนอื่นเพื่อที่จะขายเครื่องประดับราคาแพงของเธอทั้งหมด และเก็บรวบรวมเงินได้กว่าหนึ่งแสนหยวน
แต่ว่าเงินจำนวน 300,000 หยวนนี้ สำหรับสถานการณ์ของคุณแม่ในปัจจุบัน มันก็เป็นดั่งน้ำแก้วหนึ่งกับรถขนฟืนที่ไฟไหม้
ลั่วเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอเหลือบไปมอง ฟู่เชียนเชียน และ ซูสือเยว่ ที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟ
เธอรู้ดีว่าถ้าเธอเปิดปากพูดออกไป ไม่ว่าเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม ซูสือเยว่ก็จะยืมฉินโม่หานมาให้เธอ
แต่ว่า…เธอจะจ่ายคืนได้อย่างไรล่ะ?
เธอได้ประกาศถอนตัวจากวงการบันเทิงแล้ว
ทรัพย์สินของครอบครัวฉินโม่หาน เธอก็ยังบอกอีกด้วยว่าเธอไม่ต้องการสักแดง
หลังจากนี้ไป เธอจะต้องรีบทำงานหาเลี้ยงตัวเอง แล้วเธอจะหาเงินที่ไหนมาคืนซูสือเยว่กันล่ะ?
ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่อยากจะเป็นหนี้คนอื่นจนมากเกินไป
ลั่วเยียนสูดหายใจเข้าพลางกัดริมฝีปาก “หมอได้บอกไหม ว่าจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเหลืออีกเท่าไหร่ ต้องการเวลานานแค่ไหนที่จะต้องจ่ายให้ครบ?”
ลั่วชิงเจ๋อถอนหายใจเฮือกใหญ่:
“ยังเหลืออีกกว่า 1.2ล้านหยวน…ต้องจ่ายให้ครบทั้งหมดภายในหนึ่งเดือน”
ลั่วเยียนบีบโทรศัพท์แน่น เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่สิ้นหวังเพราะขาดแคลนเงิน
หนึ่งเดือน
1.2 ล้าน
ถ้าเป็นแต่ก่อนสำหรับการถ่ายหนังของเธอ เงินจำนวนนี้ ก็คงได้มาภายในหนึ่งอาทิตย์
แต่ทว่า…
เมื่อก่อนที่สลบไม่ได้สติไป ก็เป็นฉินหนานเซิงที่เป็นคนจ่ายค่ารักษาให้ จ่ายไปเป็นเงินจำนวนมาก
หลังจากที่เธอรู้สึกตัวได้สติขึ้นมา เธอได้คำนวณจำนวนเงินตามจำนวนที่เขาจ่ายให้ และแอบมอบเงินนั้นให้คุณแม่ของฉินหนานเซิง
เป็นเพราะเธอไม่อยากเป็นหนี้เขา
การที่ว่างงาน ควบคู่ไปกับการจ่ายชดใช้หนี้ของฉินหนานเซิง จริงๆแล้วเธอเองก็ได้ทำตัวได้คืบจะเอาศอกไปแล้ว มันยืดเยื้อไป
เดิมที ลั่วเยียนยังต้องการใช้เงินสองแสนหยวนที่เหลือ เพื่อที่จะหางานทำต่อไป
แต่ว่าอุบัติเหตุที่บ้านนั้นทำให้เธอกลายเป็นว่างเปล่าในทันที
เธอจะไปหาเงินกว่า 1.2 ล้านได้จากที่ไหน?
“ฉันอยากคิดวิธีออก”
หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็วางสายโทรศัพท์
เมื่อเธอวางโทรศัพท์แล้ว เธอก็หาเหตุผลอะไรก็ได้และได้บอกลา ซูสือเยว่ และ ฟู่เชียนเชียน
บนรถแท็กซี่ที่กำลังจะกลับไปบ้าน ลั่วเยียนเปิดดูสมุดรายชื่อผู้ติดต่อบนโทรศัพท์ เธอใจร้อนและอยู่ไม่เป็นสุข
ในที่สุด นิ้วของเธอก็ได้หยุดอยู่ที่ข้อมูลการติดต่อของผู้กำกับ คนที่กำลังทำโฆษณาร่วมกับนางแบบถ่ายแนวเซ็กซี่
เธอหลับตาลงและยิ้มหัวเราะเยาะตัวเอง
ในเมื่อไม่สามารถที่จะเข้าวงการบันเทิงได้แล้ว งั้นเธอก็ถ่ายโฆษณาเป็นนางแบบก็ได้ใช่ไหม?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอจึงกดต่อสายหมายเลขของผู้กำกับ
ผู้กำกับทางอีกฝั่งของปลายสายโทรศัพท์ก็หัวเราะ “ลั่วเยียนคนสวย คุณแน่ใจเหรอว่าต้องการมาถ่ายแบบ?”
“พวกเราในที่นี้น่ะ…มาตรฐานสูงมากเลยนะ!”