ลั่วเยียนตกตะลึง นี่ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนวานท่านเวินได้แนะนำผู้ชายที่ทำสายงานด้านการศึกษาคนหนึ่งให้กับเธอ
เวลานั้นท่านเวินพูดว่าหวังว่าลั่วเยียนจะลองสายงานด้านการศึกษาดู ถือโอกาสทำความรู้จักคุณหรงหลินสักหน่อย
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเวินไม่เพียงแต่จะให้นามบัตรของหรงหลินกับเธอ แต่ยังเอาเอกสารของเธอให้กับหรงหลินด้วย
ผู้หญิงกัดริมฝีปาก มองไปที่สามคนที่อยู่ในห้อง ยิ้มขอโทษ “รอสักครู่นะคะ”
พูดจบ ลั่วเยียนก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทักทายคุณพ่อลั่วคุณแม่ลั่ว และหมุนตัวจะออกไป
ขณะที่เดินผ่านด้านข้างของฉินหนานเซิง ผู้ชายยื่นมือมาจับแขนของลั่วเยียนเอาไว้ “โทรศัพท์ของใคร?”
ลั่วเยียนขมวดคิ้วมองเขา “ฉันจำเป็นที่จะต้องบอกคุณหรือเปล่า?”
ฉินหนานเซิงลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ปล่อยแขนของเธออย่างเคอะเขิน
แต่ว่าเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเบา:
“เพิ่งจะกลับมาไม่นาน อย่าโทรศัพท์กับคนอื่นบ่อยนักละ ใช้เวลาอยู่กับพ่อตาแม่ยายให้มากๆ”
คำพูดของผู้ชาย ทำให้ในใจของลั่วเยียนนั้นอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมา
เธอนั้นอยากจะบอกเขาจริงๆ พ่อของเธอแม่ของเธอ ไม่ใช่พ่อตาแม่ยายเรียบร้อยแล้ว!
แต่ว่าคุณหรงยังคงรอเธอคุยโทรศัพท์อยู่ เธอเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาเรื่องการเมืองนี้กับฉินหนานเซิงมากนัก
หายใจเข้าลึกๆ ลั่วเยียนอ้อมผ่านฉินหนานเซิงออกจากประตูไป
“สวัสดีค่ะ คุณหรง ขออภัยจริงๆที่ทำให้คุณต้องรอนาน”
“ใช่แล้วค่ะ ฉันคือลั่วเยียน ท่านเวินเมื่อวานได้พูดกับฉันแล้วค่ะ ฉันยังคิดอยู่ว่าจะสะสางเรื่องที่ค้างอยู่ในมือให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจะติดต่อคุณ……”
มีประตูคั่นอยู่ เสียงที่ชัดเจนของลั่วเยียนก็ค่อยๆไกลออกไป
ฉินหนานเซิงที่นั่งอยู่ในรถเข็น แววตาค่อยๆหรี่ลง
ด้านหน้าของเขา คุณพ่อลั่วและคุณแม่ลั่วสบตากัน สองสามีภรรยาเงยหน้าขึ้นมามองฉินหนานเซิงพร้อมกัน “ท่านนี้…….ท่านไหนคือคุณหรงกัน?”
ฉินหนานเซิงเม้มริมฝีปาก
เขาจะไปรู้ว่าคุณหรงท่านนี้คือใครได้อย่างไรกัน?
เพราะว่าก่อนหน้านี้เข้าใจผิดลั่วเยียนไปแล้ว ดังนั้นเขาเมื่อคืนวานและเช้าวันนี้ ได้ติดตามตรวจสอบการใช้ชีวิตหลายวันที่ผ่านมาของลั่วเยียนนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เธอเมื่อก่อนนอกเหนือจากการไปพบผู้กับกับหวงที่คุยธุรกิจไม่สำเร็จแล้ว ก็มีแค่ออกจากห้องเช่าของเธอ เข้าออกบ้านของท่านเวินเท่านั้น
บันทึกการสื่อสารก็สะอาดมาก นอกจากท่านเวินและคุณเวิน ก็ไม่มีคนอื่นเลย
คุณหรงคนนี้โผล่มาจากไหนกัน?
ฟังความหมายของในคำพูดของเธอ เป็นท่านเวินเมื่อคืนวานที่แนะนำอย่างนั้นเหรอ?
ฉินหนานเซิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ตาแก่คนนี้คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนหลังจากต่อยเขาแล้วยังไม่สะใจ ก็เลยยัดศัตรูหัวใจมาให้กับเขาด้วยหรอกนะ?
แม้ว่าในใจจะคิดแบบนี้ แต่บนหน้าของฉินหนานเซิงยังคงมีรอยยิ้มบาง “บางที……”
“บางทีไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนที่คนอื่นแนะนำมาให้จากที่ทำงานของเธอ”
คุณพ่อลั่วจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขาจับมือของฉินหนานเซิงเอาไว้:
“หนานเซิงเอ๋ย ลั่วเยียนเจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ถูกพวกฉันทำให้เสียคนไปแล้ว คุณก็อดทนหน่อยนะ”
“หลายครั้งมากที่เธอทำตัวเหมือนเด็กน้อย……”
“ใช่แล้ว”
คุณแม่ลั่วเองก็ถอนหายใจออกมาเหมือนกัน “พวกเราเองก็ไม่ได้ติดต่อกับเธอมาตั้งนาน ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทะเลาะกับคุณ……”
“เป็นเรื่องของลู่จื่อเหยาหรือเปล่า?”
“คุณก็อย่าเอาไปใส่ใจ ลั่วเยียนนะ ตอนแรกเธอคิดมาโดยตลอดว่าคนที่ติดต่อทางจดหมายกับคุณนั้นเป็นเธอ ไม่ใช่ลู่จื่อเหยา”
“ทั้งหมดนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว คุณก็อย่าเถียงกันเลย……”
ฟังคุณแม่ลั่วพูดถึงลู่จื่อเหยา สีหน้าของฉินหนานเซิงก็ดูแย่ขึ้นมา
มองท่าทางของเขา คุณพ่อลั่วก็รีบถลึงตาใส่คุณแม่ลั่ว:
“ดูคุณพูดวเข้าสิ ตอนที่มีกำลังความสุข คุณกลับพูดถึงลู่จื่อเหยาขึ้นทำไมกัน?”
“เธอนั้นเสียชีวิตไปตั้งหลายปีแล้ว เรื่องไม่แน่ชัดก็ปล่อยให้ไม่แน่ชัดไป หนานเซิงก็เข้าใจอยู่”
“คุณจะยกเรื่องนี้มาพูดทำไม?”
ถูกคุณพ่อลั่วว่าแบบนี้ คุณแม่ลั่วตกตะลึง รีบก้มหน้าลง:
“เป็นฉันเองที่พูดผิดไป เป็นฉันเองที่พูดผิดไป……”
นั่งอยู่ในรถเข็น ฉินหนานเซิงมองท่าทางของสองสามีภรรยานี้ ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา
ทางด้านลั่วชิงเจ๋อนั้นไม่เห็นด้วย “นั่นมันก็แค่เรื่องเก่าไร้สาระเท่านั้นเอง มีแต่พวกคุณเท่านั้นแหละที่ยังสนใจ……”
“พี่เขยคงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ไปนานแล้วแน่ๆ”
พูดจบ เขาเลิกคิ้วหันไปมองฉินหนานเซิง “พี่เขย คุณพูดซิว่าใช่ไหม?”
ฉินหนานเซิงเงียบไปสักครู่ สุดท้ายก็เงยศีรษะขึ้น “ฉันยังสนใจอยู่”
ประโยคนี้ ทำให้คนทั้งสามที่อยู่ในห้องเงียบไปในทันที
ลั่วชิงเจ๋อมองฉินหนานเซิงอย่าวตกตะลึง ในใจเริ่มที่ดังเหมือนตีกลอง
ไม่ใช่หรอกน่า ไม่ใช่เหรอ?
นี่ก็หลายปีแล้ว ฉินหนานเซิงยังปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้?
ก่อนหน้านี้พี่สาวไม่ใช่ว่าไม่ได้โต้เถียงเรื่องของลู่จื่อเหยาไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?
ทำไมฉินหนานเซิงยังบอกว่าเขายังใส่ใจมากอยู่?
ทั้งสามคนในครอบครัวมองสบตากันไปมา ไม่กล้าจะพูดอะไรอีก
ฉินหนานเซิงมองท่าทางของพวกเขา ในใจค่อนข้างเจ็บปวด
ลู่จื่อเหยานั้นทำร้ายครอบครัวนี้ถึงขั้นไหนกันแน่?
นี่หรือว่าเมื่อก่อนเขานั้น เพื่อลู่จื่อเหยาจนถือทิฐิมากเกินไปจริงๆ?
ทำไมผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว พวกเขาขนาดความจริงยังไม่กล้าที่จะพูดออกมา……
แต่ว่าเขาก็ยังอยากยืนยันเรื่องบางอย่างอยู่
ผู้ชายสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เคลื่อนสายตาขึ้นมามองลั่วชิงเจ๋อ “ชิงเจ๋อ”
“ฉันต้องการให้คุณตอบยืนยันกับคุณให้แน่ใจ”
“ในตอนนั้น……”
“แท้จริงแล้วพี่สาวของคุณลั่วเยียนเลียนแบบลายมือของลู่จื่อเหยา หรือเป็นลู่จื่อเหยาเองที่เลียนแบบลายมือของลั่วเยียน?”
ลั่วชิงเจ๋อตะลึงงัน เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามนี้ของฉินหนานเซิง ทันใดนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
ความจริงแล้วคำตอบที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพูดมาก่อน และเคยพูดไปหลายครั้งแล้วด้วยซ้ำไป
แม้กระทั่ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลั่วชิงเจ๋อเพราะว่าฉินหนานเซิงเข้าใจผิดเรื่องของลั่วเยียน ก็เคยลงมือกับฉินหนานเซิงมาแล้ว
แต่ว่าเขาไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ
จากนั้น ลั่วเยียนบอกลั่วชิงเจ๋อว่าไม่ต้องสืบหาอีก พูดไปยังไงฉินหนานเซิงก็ไม่ฟังหรอก
ลั่วชิงเจ๋อเพื่อพี่สาว ทำได้เพียงแค่พูดใหม่และก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
ถึงอย่างไรลั่วเยียนก็เป็นคู่กรณีตัวจริง
แต่ว่าในตอนนี้ นึกไม่ถึงว่าผ่านไปนานหลายปีแล้วฉินหนานเซิงจะถามเรื่องปัญหานี้ขึ้นมาอีกครั้ง
ลั่วชิงเจ๋อเงียบไปสักพักใหญ่ สุดท้ายก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ:
“ในเมื่อคุณถามฉันแล้ว ฉันเองก็ไม่โกหกคุณ”
“ถึงนี่จะผ่านไปหลายปี คำตอบของฉันก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
“นั่นก็คือลู่จื่อเหยาเลียนแบบลายมือของพี่สาวฉัน ฉันมีหลักฐานมากมาย ถ้าคุณยินดีที่จะกลับไปที่ตระกูลลั่วกับฉัน ฉันสามารถเอาทั้งหมดให้คุณดูได้”
“หลายปีก่อนหน้านั้นคนที่ติดต่อทางจดหมายกับคุณนั้นเป็นพี่สาวของฉันมาโดยตลอด จากนั้นลู่จื่อเหยาเลียนแบบลายมือของพี่สาว หลังจากเอาของปลอมมาปนกับของจริงได้ ก็เริ่มที่จะสกัดกั้นจดหมายที่คุณส่งมาให้พี่สาว จากนั้นก็ใช้วิธีการพูดของพี่สาวเขียนจดหมายหาคุณ”
“หลังจากนั้นต่อมา คนที่ติดต่อกับคุณทางจดหมายก็เปลี่ยนเป็นเธอโดยสมบูรณ์”
คำพูดของผู้ชาย ทำให้หัวใจของฉินหนานเซิงเจ็บปวดขึ้นมา
แม้แต่เขาเองก็สามารถจินตนาการได้ ว่าลั่วเยียนนั้นรอจดหมายของเขาจะจิตตกและจำใจขนาดไหนที่รอแล้วไม่ได้รับ
เขาลดน้ำเสียงลง “พอหลังจากที่พี่สาวของคุณรู้แล้วนั้น ทำไมถึงไม่บอกความจริงกับฉัน?”
ลั่วชิงเจ๋อกลอกตาขาวไปมา:
“เวลานั้นไม่ใช่ว่าลู่จื่อเหยาตรวจพบว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาแล้วหรือเปล่า?”
“เธอบอกว่าการได้อยู่กับคุณนั้นเป็นความปรารถนาก่อนตายที่ยังไม่สำเร็จ อยากจะให้พี่สาวช่วยให้สมหวัง พี่สาวเป็นคนใจดีขนาดนั้น จะทำให้ไม่สมหวังได้เหรอ?”
ลั่วชิงเจ๋อพูดจบ ก็มองฉินหนานเซิงอย่างจนปัญญา:
“ฉันคิดว่าคุณจะสามารถค้นพบได้ แต่ผลสรุปคุณกลับไม่สังเกตเห็นเลย และพอหลังจากที่ลู่จื่อเหยาจากไปก็ยังเข้าใจพี่สาวผิด”
ฉินหนานเซิงเงียบงันก้มศีรษะลง:
“เป็นฉันเอง……ต้องขอโทษลั่วเยียน”
“ขอโทษ?”
ในเวลานั้นเอง ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออก ลั่วเยียนยืนอยู่ที่ตรงด้านข้างประตู จ้องมองเขา:
“สายไปแล้ว”