หาไตที่เหมาะสมได้แล้ว?
ข่าวนี้ ทำให้คนตระกูลลั่วทั้งสี่คนในห้องตาเป็นประกายขึ้นมาทันที!
ลั่วเยียนตื่นเต้นจนยืนขึ้นมา พุ่งตรงมาที่ด้านหน้าของคุณหมอ:
“จริงหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ใช่บอกว่าทรัพยากรในเขตเมืองเล็กๆของพวกเรานั้นมีจำกัด หาไตที่เหมาะสมไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมอยู่ดีๆก็หาได้ล่ะ?”
คุณหมอถูกลั่วเยียนถามจนทำอะไรไม่ถูก เขาไอเบาๆเป็นการขัดจังหวะ:
“เป็นเพราะว่าเพิ่งมีอาสาสมัคร ทราบว่าทางด้านคุณนายลั่วนั้นต้องการไต เลยลองไปทำการตรวจสอบ คาดไม่ถึงว่าผลจะออกมาเข้ากันได้……”
พูดจบ คุณหมอกลัวว่าลั่วเยียนจะระแคะระคาย รีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว:
“เอาเป็นว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การหาไตปลูกถ่ายที่เหมาะสมได้นั้น สำหรับพวกคุณแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
“ฉันเพิ่งจะเห็นว่าค่ามัดจำโรงพยาบาลของคุณนายลั่วนั้นยังมีอยู่อีกแปดแสน เพียงพอกับค่าผ่าตัดทำการรักษาทั้งหมด ดังนั้นไม่กี่วันนี้พวกเราสามารถทำการผ่าตัดเธอได้”
ลั่วเยียนเบิกบานใจเป็นที่สุด
เดิมทีเธอคิดว่าการหาไตให้กับมารดานั้น กระบวนการน่าจะกินเวลายาวนานมาก เธอนั้นเตรียมตัวที่สู้ศึกยาวนานครั้งนี้ไว้้แล้ว
แต่ว่าเธอจะไปคิดได้อย่างไรว่า วันนี้ที่เธอเพิ่งจะกลับมา เวลายังไม่ถึงหนึ่งวันเลย นึกไม่ถึงเลยว่าจะหาไตที่เหมาะสมได้!
เธอตื่นเต้นเป็นอย่างมาก:
“ฉันสามารถพบอาสาสมัครสักครั้งได้หรือเปล่า?”
“ฉันอยากจะกล่าวขอบคุณต่อหน้าเขา!”
คุณหมอส่ายศีรษะ “ต้องขออภัยด้วยคุณลั่ว ทางฝั่งผู้บริจาคนั้นไม่ต้องการให้พวกคุณมารับผิดชอบใดๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจปฏิเสธการพบพวกคุณ”
“พวกเราก็ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทางฝั่งผู้บริจาคได้ ต้องขออภัยด้วย”
พูดจบ คุณหมอก็พูดกำชับอีกหลายประโยคจึงจะหมุนตัวกลับออกไป
ลั่วเยียนยืนอยู่ตรงที่เดิมมองภาพด้านหลังของคุณหมอที่เดินจากไป ภายในก้นบึ้งของหัวใจนั้นอบอุ่นไปหมด
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ยังมีคนใจดีที่ไม่เห็นแก่ตัวแบบนี้อยู่
ฟังว่ามารดาของเธอหาไตที่เข้ากันไม่ได้ ก็เลยเข้าไปทดสอบด้วยตัวเอง
เมื่อคืนวานตรวจสอบว่าเข้ากันได้แล้ว ก็ไม่ยินยอมที่จะให้เปิดเผยชื่อนามสกุล ไม่ยินยอมที่จะรับความขอบคุณจากพวกเขา……
แต่ว่า ถ้าในเมื่อต้องการจะทำการปลูกถ่ายโดยเร็ว เงินแปดแสนของฉินหนานเซิง เธอก็ไม่สามารถคืนเขาได้ในทันทีแล้ว
“พ่อ แม่ กินอะไรสักหน่อยเถอะ”
ในเวลานี้ ลั่วชิงเจ๋อที่อยู่ด้านหลังกำลังแกะอาหารเช้าสี่ชุดที่เขาออกไปซื้อมา ยื่นสองชุดในนั้นให้กับคุณพ่อลั่วและคุณแม่ลั่ว และให้กับลั่วเยียนหนึ่งชุด สุดท้ายเหลือหนึ่งชุดไว้ให้ตัวเอง
นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ลั่วชิงเจ๋อกินไปก็เรียกลั่วเยียนให้มากิน:
“เดิมทีฉันซื้อให้กับพี่เขย ฉัน และก็พ่อกับแม่”
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่เขยไปไหนแล้ว พี่สาวคุณก็กินอาหารเช้าเถอะ อย่าให้เสียของ”
ฟังลั่วชิงเจ๋อพูดถึงฉินหนานเซิง คุณแม่ลั่วที่กำลังถูกคุณพ่อลั่ว ป้อนโจ๊กอยู่นั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา:
“หนานเซิงไปไหนแล้ว?”
“เมืองนี้ของพวกเราถึงแม้ว่าจะเล็ก แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น หนานเซิงเขาเป็นคนพิการคนหนึ่ง……”
“ถ้าเกิดว่าออกไปด้วยตัวเอง คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ?”
ฟังน้ำเสียงกังวลของมารดา ลั่วเยียนขมวดคิ้วขึ้นมา เบะปากอย่างดูถูก:
“เขานั้นเป็นผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง จะไปเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?”
พอคุณพ่อลั่วฟังแล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยดีใจเลย:
“ถ้าหนานเซิงไม่ได้บาดเจ็บเป็นคนปกติ จะต้องไม่เกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน”
“แต่ว่าตอนนี้เขายังเป็นคนป่วยอยู่นะ!”
พูดจบ เขาเอียงหันมามองลั่วชิงเจ๋อ “คุณอย่าเพิ่งกินข้าว ไปดูสิว่าหนานเซิงอยู่ที่ไหน?”
“สถานที่เล็กๆของพวกเรา คนหนีหนี้ที่ปากคอเราะรายกลิ้งเกลือกอยู่ตามถนนและพวกขโมยก็มีอยู่ไม่น้อย ถ้าเกิดเขาเจอเข้า กลัวว่าจะรับมือไม่ได้”
ลั่วชิงเจ๋อพยักหน้า รีบร้อนแทะขนมปังหนึ่งคำ ลุกขึ้นออกไป
ฟังเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลัง ลั่วเยียนเบะปาก นั่งลงตรงตำแหน่งของลั่วชิงเจ๋อ กินอาหารไปปากยื่นไป:
“กระต่ายตื่นตูม”
ฉินหนานเซิงเขานั้นถึงตอนนี้จะบาดเจ็บเป็นคนป่วยคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะรังแกได้อย่างตามใจ
เขาเป็นผู้ชายตัวโตสูงหนึ่งเมตรแปดสิบกว่า ถึงจะบาดเจ็บ ก็ไม่จำเป็นถึงขั้นที่จะให้พวกเขาที่เป็นคนแก่สตรีเด็กอ่อนแอมาปกป้อง
แต่ว่า……
ลั่วเยียนเดิมทีก็คิดว่าฉินหนานเซิงคงจะไปไม่ไกล ควรจะอยู่ใกล้ๆกับโรงพยาบาล
แต่ลั่วชิงเจ๋อออกตามหามาครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย
ในใจของเธอค่อยๆวิตกกังวลขึ้นมา
คงจะไม่เป็นจริงอย่างที่บิดาพูดหรอกนะ ผู้ชายคนนี้เกิดเรื่องอันตรายขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร?
ฉินหนานเซิงเปลี่ยนเป็นอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เมื่อวานท่านเวินยังสามารถต่อยกับเขาได้ยกหนึ่ง เป็นเพราะว่าท่านเวินเป็นทหารปลดประจำการ
ถ้าหากว่าไม่ใช่สถานะแบบนี้ จะสามารถรังแกฉินหนานเซิงได้อย่างไรกัน?
แต่ว่า ถ้าฉินหนานเซิงไม่ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทำไมนานขนาดนี้แล้วข่าวคราวของเขาก็ยังไม่มี ขนาดลั่วชิงเจ๋อไปหาเขาก็ยังไม่มีข่าว?
นี่แปลกเกินไปแล้ว!
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย หลีเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ทางด้านหนึ่งก็พยายามสรรหาเรื่องมาพูดคุยกับคุณแม่ลั่ว ทางด้านหนึ่งก็ก้มหัวลงปัดโทรศัพท์มือถืออย่างใจลอย
หลายครั้ง ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอนั้นหยุดอยู่ที่กล่องสนทนาของฉินหนานเซิง
เธออยากจะส่งข่าวคราวไปหาเขา ถามเขาว่าไปอยู่ที่ไหนกันแน่
แต่ว่าเธอกลัวว่าเขาจะคิดว่าเธอเป็นห่วงเขา กลัวว่าเขาจะคิดว่าเธอยังชอบเขาอยู่
แล้วก็จะสับสน สับสนกันไปอีก
สุดท้ายเธอก็ยังไม่ได้ส่งข่าวคราวออกไป
“ไม่อย่างนั้น คุณก็ให้ชิงเจ๋อโทรศัพท์ไป?”
คุณพ่อลั่วมองออกว่าลั่วเยียนนั้นกระสับกระส่ายจนนั่งไม่ติด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากหยั่งเชิง
ลั่วเยียนอึ้งหยุดชะงัก นึกขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
จริงด้วยสิ…….
เธอคงจะสับสนจริงๆ
ความจริงแล้วนอกจากจะติดต่อหาฉินหนานเซิงแล้ว เธอยังสามารถติดต่อลั่วชิงเจ๋อได้นี่น่า!
พอคิดได้ถึงตรงนี้ ผู้หญิงก็หายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายแล้วที่ตัวเองกังวลเรื่องฉินหนานเซิงก็หาข้ออ้างที่เหมาะสมได้แล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเบอร์โทรศัพท์ของลั่วชิงเจ๋ออย่างรวดเร็ว:
“ชิงเจ๋อ คนล่ะ?”
ทันทีที่รับโทรศัพท์ ลั่วเยียนก็จงใจเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง:
“ไปหาฉินหนานเซิงแต่ทิ้งตัวเองเอาไว้?”
“หรือว่าเขาเจอกับพวกหนีหนี้คนล้วงกระเป๋าขึ้นมาจริงๆ ต้องการให้คุณช่วยแก้ปัญหา?”
“เปล่า……”
ลั่วชิงเจ๋อที่อยู่ต้นสายนั้นกัดฟัน เงียบเป็นเวลานาน สุดท้ายจึงหายใจเข้าไปลึกๆ:
“แต่ว่าพี่เขยนั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ”
ประโยคนั้น ทำให้หัวใจของลั่วเยียนเจ็บปวดขึ้นมาทันที
น้ำเสียงของเธอค่อยๆเบาลง:
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขา……”
ลั่วชิงเจ๋อมองไปที่ผู้ชายที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยใบหน้าซีดเผือดตรงหน้า:
“เขาถูกชิงทรัพย์ โจรใช้มีดแทงไปที่ท้องของเขา”
“เลือดออกเยอะมากทีเดียว ตอนนี้อยู่ที่ห้องผู้ป่วยชั้นบนสุด”
ลั่วเยียนเกือบจะถือโทรศัพท์มือที่อยู่ในมือเอาไว้ไม่ได้
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!?
ปล้นชิงทรัพย์?
นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าปล้นชิงทรัพย์คนเป็นง่อยนั่งอยู่ในรถเข็นคนหนึ่งได้!?
เธอวางสายโทรศัพท์ ผลักประตูเปิดออกไปอย่างบ้าคลั่ง วิ่งพุ่งตรงไปที่ลิฟต์
แต่ว่าไม่รู้ว่าทำไมกัน ลิฟต์ทั้งสองตัวนั้นตอนนี้อยู่ชั้นหนึ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่เธอรออย่างกระวนกระวายใจเกือบหนึ่งนาที ในที่สุดในใจก็ยังกังวลเรื่องฉินหนานเซิงจนสับสนไปหมด ตรงเข้าไปเปิดประตูโถงบันได ตัดสินใจใช้บันไดปีนขึ้นชั้นบน
น่าจะเพราะว่ากังวลมากเกินไป แม้แต่ระหว่างทางเธอก็เกือบจะตกบันไดแล้ว
หลังจากผ่านไปห้านาที ลั่วเยียนที่หายใจหอบเหนื่อยสุดท้ายก็ปีนขึ้นไปถึง
พอมาถึงชั้นบนสุด เธอก็ตรงเข้าไปในห้องผู้ป่วย:
“ฉินหนานเซิง! คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้ชายที่นอนเอนกายอยู่บนเตียงจ้องมองเธออย่างอ่อนโยน:
“ที่แท้คุณก็เป็นห่วงฉันอยู่”