รอยยิ้มของหรงหลินค่อยๆ จางหายไป
“ที่จริงผมไม่ใช่คนเมืองหรง แต่คุณปู่ของผมเป็นคนเมืองหรง เป็นเพื่อนเก่ากับคุณปู่เวิน ดังนั้นตลอดมาเขาจึงมองผมเป็นหลานแท้ๆ”
ซูสือเยว่ฟังแล้วพยักหน้า
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
“แล้วคุณหรงรู้จักลั่วเยียนมาก่อนไหม”
หรงหลินมองซูสือเยว่อย่างค่อนข้างประหลาดใจ
“ทำไมคุณนายฉินถามแบบนี้ครับ”
“ฉันได้ยินว่าคุณหรงอยากทำงานในสถาบันการศึกษาและการฝึกอบรม ถ้าเช่นนั้นประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้านี้ของลั่วเยียนจะมีผลต่อการลงทะเบียนหรือไม่ ทำไมคุณถึงยังเลือกร่วมมือกับเธออีกล่ะ”
“ไม่ได้รู้จักลั่วเยียนมาก่อน รู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหน คุณหรงไม่กลัวว่าเธอจะมาสร้างปัญหาให้คุณในอนาคตเหรอ”
คำพูดของซูสือเยว่ ทำให้สีหน้าของลั่วเยียนซีดลงเล็กน้อย
เธอยังไม่ได้คิดถึงขั้นนี้เลย ก่อนหน้านี้ได้ยินแค่ว่าหรงหลินวาดรูปเค้กก้อนโตให้เธอ ทำให้เธอลืมสถานการณ์ของตัวเองไปชั่วขณะ
นั่นสิ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนหลานสาวของท่านเวิน ที่เป็นแฟนคลับที่ซื่อสัตย์ของเธอ
และไม่ใช่ทุกคนที่ไม่รังเกียจประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาของเธอ แล้วยังเต็มใจยอมรับการชี้แนะจากเธอ
ทั้งทั้งที่หรงหลินสามารถมีทางเลือกที่ดีกว่า ทำไมยังจะร่วมมือกับตัวเองอีก
เรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน ถูกซูสือเยว่เอ่ยเตือน ตอนนี้คิดได้ทั้งหมดแล้ว
ซูสือเยว่มองไปยังหรงหลิน สีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก ดูเหมือนก็กำลังรอคอยคำตอบอยู่
หรงหลินหรี่ตาเล็กน้อย ถ้าบอกว่าตอนแรกเขาไม่เห็นซูสือเยว่ในสายตาเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ในที่สุดเขาก็ได้ตระหนักว่าซูสือเยว่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
ผู้หญิงที่สามารถจัดการท่านชายฉินให้อยู่หมัด แน่นอนว่าไม่มีทางธรรมดา
เขาได้แต่พยักหน้าเบาๆ รับสารภาพอย่างหน้าชื่นตาบาน “ที่จริงผมรู้จักเธอมานานมากแล้ว”
หรงลินพูดอย่างนั้นแล้วเอารูปเมื่อนานมาแล้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท
ลั่วเยียนรับมาดู รู้สึกประหลาดใจมาก “นี่มันรูปสมัยที่ฉันอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี่!”
ช่วงเวลานั้นมันผ่านมาหลายปีแล้ว บางทีเธอเองก็อาจจะไม่ได้เก็บภาพในช่วงนั้นไว้ แต่หรงหลินมีรูปของเธอได้ยังไง
“คุณ……” ลั่วเยียนมองไปที่หรงหลินอย่างค่อนข้างเคลือบแคลงสงสัย
หรงหลินมองกลับลั่วเยียน แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและคิดถึง
“พี่ลั่วเยียน คุณจำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ”
ลั่วเยียนมีสีหน้าทึ่มทื่อ
แม้แต่ซูสือเยว่ยังประหลาดใจมาก
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายร้ายลึกคนนี้กับซูสือเยว่จะมีอดีตร่วมกัน
และเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันมานานแล้ว ถึงขั้นนานกว่าที่ฉินหนานเซิงปรากฏตัวเสียอีก
คงจะไม่ใช่คู่รักวัยเด็กที่พลัดพรากหรอกใช่ไหม
เห็นลั่วเยียนจำไม่ได้จริง หรงหลินจึงจำต้องพูดต่อไป
“ไม่โทษคุณหรอก ตอนนั้นผมตัวเล็กผอมแห้ง ถูกลู่จื่อเหยารังแกเป็นประจำด้วย ถ้าไม่ใช่คุณกับพี่สาวคนอื่นๆ คอยปกป้อง เกรงว่าผมคงไม่ได้เติบโตมาขนาดนี้”
“ครั้งนั้นผมถูกคนผลักลงน้ำ ถ้าไม่ใช่คุณมาพบเข้าแล้วตะโกนเรียกผู้ใหญ่มาช่วยผม ผมคงตายไปนานแล้ว”
“และต่อจากนั้นคงจะไม่ถูกครอบครัวมารับไปเลี้ยงดูให้อยู่ดีมีสุข”
ลั่วเยียนได้ยินถึงตรงนี้ ในจิตใจก็มีเงาของคนคนหนึ่งแวบเข้ามา
“คุณ……หรือว่าคุณคือเสี่ยวหรงจื่อ”
“ใช่ครับผมเอง ผมก็คือเสี่ยวหรงจื่อของคุณ! พี่ลั่วเยียน ในที่สุดคุณก็จำผมได้แล้ว!”
หรงหลินดีใจทันที ถึงขั้นอยากจะเอาอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขน
ในที่สุดลั่วเยียนก็จำเขาได้เสียที สีหน้าเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ฉันแค่รู้ว่าคุณชื่อเสี่ยวหรงจื่อ ไม่รู้ว่าคุณชื่อหรงหลิน อีกอย่าง คุณก็อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่กี่ปี ต่อมาคุณก็ถูกครอบครัวหาจนพบแล้วมารับไป”
นี่คือสาเหตุว่าทำไมตอนแรกลั่วเยียนไม่กล้าคิดว่าหรงหลินคือเด็กผู้น่าสงสารคนนั้น
อันที่จริง เธอกับหรงหลินน่าจะไม่ได้อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นด้วยกันเกินครึ่งเดือน
ตอนนั้นหรงหลินผอมแห่งอ่อนแอ ดูเหมือนเดินไม่ค่อยไหว
การได้เห็นเขา ลั่วเยียนพลันนึกถึงน้องชายของตัวเอง จึงสนใจเขานิดหน่อยอย่างช่วยไม่ได้
ต่อมาพบว่าเขาเหมือนจะถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ เนื่องด้วยทนไม่ไหวจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาหลายครั้ง แต่เพราะมันนานมากแล้ว และมันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้สำคัญ ลั่วเยียนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
อีกอย่าง ต่อมาหรงหลินยังถูกครอบครัวมาพบเข้าแล้วพาไป ลั่วเยียนจึงยิ่งจดจำเขาไม่ได้
แต่เมื่อหรงหลินพูดถึงเรื่องที่เขาถูกคนผลักตกน้ำ เธอยังคงจำเรื่องนี้ได้
เป็นความจริงที่เธอไปหาผู้ใหญ่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเอาเขาขึ้นจากน้ำ ดูเหมือนว่าเพราะเหตุนั้นมันส่งผลให้เขาเป็นไข้ไปหลายวัน เกือบตายอยู่รอมร่อ
ต่อมาเขาถูกส่งไปโรงพยาบาลกลางเพื่อยื้อชีวิต ถึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดูเหมือนว่าตอนอยู่ที่นั่น ได้พบคนที่รู้จักหรงหลินพอดี ดังนั้นไม่นานครอบครัวของหรงหลินก็ติดตามเบาะแสไปพบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
“ที่แท้ก็คุณนี่เอง ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านคุณคงจะมีชีวิตค่อนข้างดีเลยนะ งั้นฉันก็วางใจแล้ว”
ลั่วเยียนยินดีกับหรงหลินเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นเพื่อนเล่นแต่เก่าก่อน
หรงหลินจ้องมองลั่วเยียนอย่างตั้งใจ “ต่อมาผมยังเคยไปหาคุณที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วย แต่พวกเขาบอกว่าคุณถูกครอบครัวรับไปแล้ว แม้แต่ลู่จื่อเหยาก็ตามคุณออกไปด้วย”
หรงหลินกลัวลู่จื่อเหยามาก เพราะท้ายที่สุดแล้วอย่างไรก็เคยถูกเธอรังแกอย่างรุนแรง
ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่าลู่จื่อเหยาถูกพ่อแม่ตระกูลลั่วรับไปเลี้ยง เพราะความหวาดกลัวลู่จื่อเหยา จึงยิ่งไม่กล้าติดต่อลั่วเยียนไปอีก
และต่อมาหลังจากนั้น หรงหลินก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ
ตอนที่เขาอยู่ต่างประเทศ บางครั้งจะให้ความสนใจข่าวในประเทศ และได้รู้ว่าลั่วเยียนกลายเป็นดาราดัง ซึ่งนับครั้งไม่ถ้วนที่มีความคิดอยากกลับมาหาเธอ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้การเดินทางล้มเหลว
ไม่นานก่อนหน้านี้เขาเรียนจบกลับมา นึกอยากไปหาลั่วเยียน แต่กลับรู้ข่าวว่าเธอแต่งงานเข้าตระกูลเศรษฐี
หรงหลินเสียใจมาก ตลอดมาพยายามหาทางเข้าใกล้ลั่วเยียน อยากหาโอกาสทำความรู้จักกับเธอ
แต่กลับคิดไม่ถึง ยังไม่ทันที่เขาจะหาโอกาสที่เหมาะสม ก็มีข่าวออกมาว่าลู่จื่อเหยากลับประเทศมาแล้ว ต่อมาเธอยังกลายเป็นคู่หมั้นของฉินโม่หานโดยไม่มีที่มาที่ไป
หลังจากนั้นหรงหลินได้ทำการสืบค้นขุดคุ้ยจนได้ข้อมูลภายในเพิ่มเติม ได้รู้ว่าลู่จื่อเหยายังพัวพันกับสามีของลั่วเยียนด้วย และฉินหนานเซิงดันเข้าใจผิดว่าลู่จื่อเหยาเป็นลั่วเยียน!
ด้านหนึ่งหรงหลินเสียใจต่อลั่วเยียน อีกด้านก็รู้สึกว่าตระกูลฉินดูจะรังแกคนอื่นเกินไป!
ผ่านไปไม่นาน ลั่วเยียนกับฉินหนานเซิงหย่ากัน มีข่าวลั่วเยียนประกาศถอนตัวจากวงการออกมาอย่างต่อเนื่อง
ลั่วเยียนชื่อเสียงเสียหาย ถูกทุกคนหันหลังให้
แต่หรงหลินกลับรู้สึกว่า โอกาสที่เขารอคอยมาตลอดในที่สุดก็มาถึง
“ใช่ ฉันอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่นาน ครอบครัวก็มาหาและพากลับไป” ลั่วเยียนไม่อยากพูดถึงลู่จื่อเหยามากนัก จึงจงใจละเลยไป
หรงหลินก็ไม่สนใจเช่นกัน แค่มองลั่วเยียนด้วยสายตาสดใส
“ก่อนหน้านี้ผมไม่กล้ามาหาคุณ แต่ครั้งนี้มีโอกาสได้พบคุณโดยบังเอิญ จึงอยากทำอะไรร่วมกันกับคุณเป็นพิเศษ”
“คุณไม่ต้องสงสัยความตั้งใจของผม ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมจะไม่มีทางทำร้ายคุณ”
“ผมเชื่อในตัวคุณ และยิ่งเชื่อว่าวิกฤตในตอนนี้ต้องสามารถผ่านพ้นไปได้แน่นอน ผมอยากลองพยายามกับคุณ!”
ลั่วเยียนสูดจมูก เห็นได้ชัดว่าสะเทือนใจเพราะคำพูดของหรงหลิน
ซูสือเยว่สีหน้าพูดไม่ออก
เดิมทีอยากฉีกหน้ากากหรงหลิน แต่คิดไม่ถึงว่ากลับตาลปัตรกลายเป็นการไปช่วยเหลือเขาเสียอย่างนั้น
“แย่แล้ว หม่ามี๊เผลอไปเป็นผู้ช่วยของคนอื่นเฉยเลย”
“ถ้าพี่หนานเซิงรู้เข้า จะโกรธไหมเนี่ย”
ซูสือเยว่ “………”
ดูท่าเรื่องจะจบยากเสียแล้วจริงๆ
เธอกระซิบกับซิงเฉิน “หรือไม่ก็ เรียกแด๊ดดี้ของลูกเข้ามาแก้ปัญหานี้เลยไหม”