ได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากภรรยา ท่านชายฉินก็รีบออกจากเมืองหรงไปต่างเมืองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล ไม่ทันจะแลฉินหนานเซิงเลยสักนิด ก็ยกมือเอาซูสือเยว่มาไว้ในอ้อมแขนทันที
การกระทำของเขาทำให้ซูสือเยว่หน้าแดง ยื่นมือผลักเขาออกเบาๆ
“ไม่ใช่ว่าคิดถึงผมเหรอ”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหูซูสือเยว่ ราวกับเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเข้ามา จนซูสือเยว่รู้สึกชาที่ปลายใบหู
“ไม่ใช่คิดถึงคุณ แต่อยากให้คุณมาช่วยแก้ปัญหา”
“ปากแข็ง”
“เปล่าสักหน่อย”
“จริงเหรอ งั้นให้ผมลองดู”
เมื่อพูดจบ ก็รัดเอวเล็กของซูสือเยว่ จากนั้นจึงกดจูบ
ซิงเฉินสีหน้าพูดไม่ออกยื่นมือมาปิดตาซิงกวง ซิงหยุนก็มีสีหน้าบ่งบอกว่าเห็นเรื่องแบบนี้จนเคยชิน
ฉินหนานเซิงร้องไห้คร่ำครวญในใจ
ทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้กันนะ เขาที่ภรรยาหายไป ตอนนี้ยังต้องมาทนตาร้อนเห็นอาเล็กกับอาสะใภ้เล็กสวีทหวานกันอีก
ท่านชายฉินแต่ไหนแต่ไรมาคุ้นเคยกับการทำตามใจตัวเองโดยไม่คำนึงสายตาคนอื่น ตัวเองจูบอย่างมีความสุขแล้ว ถึงได้ปล่อยซูสือเยว่ไปอย่างพึงพอใจ
“หวานจัง” ฉินโม่หานพูด
ซูสือเยว่หน้าแดงมองค้อนเขา เดี๋ยวนี้ผู้ชายคนนี้ยิ่งไร้ยางอายขึ้นทุกวัน
ต่อหน้าคนเยอะแยะ ทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ แม้แต่สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนสักนิด
ฉินโม่หานรู้ว่าเธออาย จึงไม่แกล้งเธออีก แค่กระซิบข้างหูเธอประโยคหนึ่ง “รอเย็นนี้กลับไปแล้วค่อยทำต่อ”
ซูสือเยว่บิดเนื้อที่เอวเขาอย่างแรงเงียบๆ แลกมาด้วยเสียงร้องซี้ดเบาๆ ของชายหนุ่ม
“เลิกก่อกวนสักที”
ฉินโม่หานจับมือที่วุ่นวายของซูสือเยว่ แล้วดึงไปนั่งลงข้างๆ แล้วถึงได้มองไปยังหลานชายไม่เอาไหนของตัวเอง
“สถานการณ์แกเป็นยังไง”
ฉินหนานเซิงนับว่ารอคอยจนได้รับการแสดงความเห็นใจจากอาเล็ก แต่สีหน้ากลับคับแค้นใจอย่างมาก
“อาเล็ก ในที่สุดคุณก็นึกถึงพอแล้ว”
แต่ฉินโม่หานไม่พูดไร้สาระกับเขา “ไม่ต้องทักทายให้มากความ บอกสถานการณ์ของแกมาให้ชัดเจน”
ฉินหนานเซิง “………..”
“เลิกแกล้งเขาได้แล้ว ฉันจะบอกคุณเอง”
ซูสือเยว่เล่าเรื่องของลั่วเยียนที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้ฉินโม่หานฟัง และพูดถึงหรงหลินด้วย
หลังจากได้ฟังเรื่องราวระหว่างลั่วเยียนกับหรงหลินแล้ว ฉินโม่หานก็เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง แสดงสีหน้าครุ่นคิด
“มีอะไรเหรอ”
“ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าเรื่องที่เล่ามาฟังดูคุ้นๆ”
พูดจบ ฉินโม่หานก็เหลือบมองไปทางฉินหนานเซิง
ฉินหนานเซิงทุบเตียงด้วยความโมโห “จะไม่คุ้นได้ไงล่ะครับ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับลั่วเยียน”
ในตอนนั้นเพราะฉินหนานเซิงถูกแยกออกจากครอบครัว จากนั้นถึงได้พบกับลั่วเยียนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ต่อมาแม้เขาจะถูกครอบครัวรับไป แต่กลับตกหลุมรักลั่วเยียนที่เขียนจดหมายหากันกับเขา
ซึ่งเรื่องราวของหรงหลินคล้ายกับเรื่องของฉินหนานเซิง ต่างกันตรงที่คนหนึ่งถูกลู่จื่อเหยาหลอก อีกคนไม่ได้ถูกลู่จื่อเหยาหลอกก็เท่านั้น
ในสายตาของฉินหนานเซิง กลายเป็นว่าหรงหลินเลียนแบบเรื่องราวของเขา และยังเป็นคนชั่วที่ใช้วิธีการไม่ชอบมาพากลต่อสู้แย่งชิงลั่วเยียนกับเขา
“หน้าด้าน! แต่งเรื่องเล่าแบบนี้ขึ้นมา คิดว่าลั่วเยียนจะชายตาแลเขาหรือไง ฝันไปเถอะ!”
ทันทีที่ถูกฉินหนานเซิงเตือนความจำ ซูสือเยว่ก็นึกขึ้นมาได้ และได้ยินเขากร่นด่าต่ออีก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าขำดี
คุณชายฉินคนนี้ดูเหมือนจะโกรธมากจริงๆ สีหน้าดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า ไม่สำรวมกิริยาในความเป็นคุณชายใหญ่ของเขาเลยแม้แต่น้อย
ฉินโม่หานเหลือบมองเขาบางเบา
“ใจเย็นหน่อย”
“เรื่องมันจะใหญ่สักแค่ไหนกัน มองความสามารถของแกด้วย”
“ดีร้ายยังไงก็เป็นผู้สืบทอดกรุ๊ป ทำไมทำตัวไม่หนักแน่นเลย”
ฉินหนานเซิงทำหน้าขมขื่น “ผม……”
อาเล็กรู้วิธีการพูดแดกดัน ถ้าอาสะไภ้เล็กต้องการหย่ากับเขา กลัวว่าจะหงุดหงิดมากกว่าตนเสียอีกน่ะสิ!
“ฟังคุณพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณมีวิธีเหรอ”
ซูสือเยว่หันเหสายตาไปมองสามี ขัดจังหวะคำพูดของฉินหนานเซิง
ฉินโม่หานกระตุกยิ้มมุมปาก
“อยากรู้เหรอ ขอร้องผมสิ”
ซูสือเยว่แอบกลอกตาในใจ
“จะบอกไม่บอกก็แล้วแต่”
อย่างไรเธอก็ไม่ได้รีบร้อน หรงหลินคนนั้นดูเหมือนจะดีต่อลั่วเยียนอยู่มาก คงจะไม่ทำร้ายอะไรเธอ
ให้ลั่วเยียนมีตัวเลือกมากขึ้นก็ไม่เลว
ฉินโม่หานหมดหนทาง ภรรยาของเขานับวันยิ่งหลอกยาก
“เอาล่ะ ผมยังพูดไม่เสร็จเลยโอเคไหม อย่าโกรธเลยนะ”
ฉินหนานเซิงที่อยู่ข้างๆ ทนไม่ไหวอีกต่อไป “หยุดแสดงความรักเหมือนว่าที่นี่ไม่มีใครสักทีได้ไหมครับ”
เขาใกล้จะตายอยู่แล้วโอเคไหม
ฉินโม่หานหันหน้าไปจ้องฉินหนานเซิง ด้วยความไม่พอใจที่หลานชายของตัวเองรบกวนเขาสวีทหวานกับภรรยา
แต่เมื่อเห็นว่าซูสือเยว่นั้นทั้งทั้งที่อยากรู้มาก แต่กลับแสร้งทำสีหน้าว่าไม่สนใจสักนิด ใจเขาก็อ่อนยวบอีกครั้ง
“คิดจัดการกับหรงหลินน่ะง่ายมาก แค่ต้องหาเหตุผลกันเขาออกไปก็พอ”
“แต่ลั่วเยียนตกลงว่าจะร่วมมือกับเขาในการจัดหลักสูตรฝึกอบรม เราจะหาข้ออ้างอะไรถึงสามารถกันเขาออกไปได้ล่ะ”
ฉินโม่หานหันหน้าไปมองซิงหยุน
ซิงหยุนส่งสัญญาณทำมือ “ok” ให้กับเขา
“พวกคุณสองพ่อลูกทำบ้าอะไรกัน”
ซิงหยุนสีหน้าเย็นชา พูดอย่างใจเย็น “หม่ามี๊ อีกสองวันคุณก็จะรู้ครับ”
“ทำอะไรลึกลับ บอกตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ”
“เพราะเราไม่รู้ว่าแผนนี้จะสำเร็จไหมน่ะสิครับ”
ฉินโม่หานเองก็พูดว่า “หรงหลินคนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะโผล่มาจากอากาศ ก่อนที่แผนของเราจะสำเร็จ บางทีเรายังสามารถขุดคุ้ยภูมิหลังของเขามาดูได้อีก น่าจะหาอะไรที่เป็นประโยชน์ได้”
หลังจากนั้น ไม่ว่าซูสือเยว่กับฉินหนานเซิงจะถามอย่างไร ฉินโม่หานก็ไม่ยอมเปิดเผยแผนการที่วางไว้เลย
แม้แต่เด็กทั้งสองคนก็ยังเก็บเป็นความลับ แค่ให้พวกเขารอดูผลลัพธ์ ทำให้ซูสือเยว่ทั้งโกรธทั้งอับจนหนทาง
แต่เพราะเมื่อคืนลั่วเยียนถูกปาปารัซซี่แอบถ่าย เป็นอันแน่ชัดว่าโรงพยาบาลนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่อีกต่อไป
หลังจากที่หลายๆ คนได้ปรึกษากันแล้ว โดยซูสือเยว่รับผิดชอบในการไปหาลั่วเยียน เพื่อเกลี้ยกล่อมให้แม่ของลั่วเยียนย้ายไปผ่าตัดเปลี่ยนไตที่โรงพยาบาลเมืองหรง
เงื่อนไขทางการแพทย์และทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่นั่นดีกว่า อัตราความสำเร็จในการผ่าตัดสูงกว่า หลังผ่าตัดยังสามารถได้รับการดูแลที่ดีกว่าด้วย
ตอนที่ซูสือเยว่ไปหาลั่วเยียน ยังมีความกังวลเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายจะไม่ตกลง
แต่หลังจากฟังซูสือเยว่บอกว่าการจัดการแบบนี้ดีสำหรับคุณแม่ลั่วมากกว่า เธอลังเลอยู่นานแต่ก็ยังตกลง
“แต่ว่านะสือเยว่ ถ้าย้ายไปเมืองหรง ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดของแม่ฉันก็จะไม่พอน่ะสิ”
“ไม่หรอก เมื่อครู่โม่หานไปคุยกับหัวหน้าแพทย์ของคุณป้าแล้ว ตอนนี้ถ้าย้ายไปโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เก็บล่วงหน้าไปสามารถโอนหมุนไปได้โดยตรง จำนวนเงินก็เพียงพอสำหรับการผ่าตัดของคุณป้าพอดี”
“อาสาสมัครที่บริจาคไตเธอก็ไม่ต้องกังวล เขาก็เต็มใจไปผ่าตัดที่เมืองหรงด้วย”
ลั่วเยียนตาแดงไปหมด เธอรู้ เมื่อท่านชายฉินยื่นมือเข้ามา จะต้องช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างของแม่เธอให้เรียบร้อยได้แน่นอน
แต่เป็นแบบนี้ ตนยิ่งเป็นหนี้บุญคุณตระกูลฉินมากขึ้น
แต่สือเยว่พูดถูก ในเมื่อปาปารัซซี่พวกนั้นสามารถถ่ายรูปเธอกับหรงหลินเข้าออกโรงแรมได้ หลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาจจะหาโรงพยาบาลพบ
แม่ของเธอทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาทั้งชีวิต การผ่าตัดใกล้เข้ามาแล้ว ลั่วเยียนไม่อยากให้ช่วงนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ ทั้งนั้น
“ขอบคุณเธอมากนะ สือเยว่”
“พวกเรากลับเมืองหรงเมื่อไรเหรอ”
“ลั่วเยียนคนโง่ ระหว่างฉันไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”
“ถ้าพวกเธอไม่คัดค้าน เราสามารถออกไปได้ทันที”