กระทั่งพวกเขามาถึงลานจอดรถ ซูสือเยว่รออยู่ที่นั่นแล้ว
เห็นหลายคนมากันแล้ว สายตาซูสือเยว่จึงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เมื่อครู่ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”
ลั่วเยียนส่ายหน้า สีหน้าไม่ค่อยดี
“ขอโทษนะ เป็นเพราะฉันแท้ๆ ทำให้พวกเธอต้องเดือดร้อน”
“พูดอะไรอย่างนั้น เธอไม่เคยสร้างความเดือดร้อนสักหน่อย”
ซูสือเยว่ปลอบเธอ แล้วมองไปยังใบหน้าเล็กของลั่วชิงเจ๋อที่มีบาดแผลเล็กๆ จากการถูกของมีคมบาดเข้า
“คุณลุงคุณป้าขึ้นรถก่อนเถอะค่ะ ชิงเจ๋อนั่งกับพวกฉันนะ เดี๋ยวฉันจะทำแผลบนใบหน้าให้คุณ”
ลั่วชิงเจ๋อสัมผัสใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ไม่ต้อง……”
แผลเล็กน้อยนี่ มันไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขา
แต่ลั่วเยียนกลับพูดว่า “แกไปเถอะ”
ลั่วชิงเจ๋อยังอยากพูดอะไร แต่เห็นแววตารู้สึกผิดของพี่สาวตัวเองจึงหยุด แล้วพยักหน้าตอบรับ
“งั้นก็ขอบคุณครับคุณนายฉิน”
“คุณนายฉินอะไรกัน เรียกฉันว่าพี่สือเยว่ก็พอแล้ว”
ซูสือเยว่ลูบศีรษะของเขา แล้วจัดให้ขึ้นรถคันหน้า
ประตูรถเปิดออก เด็กๆ นั่งเรียงแถว
ชิงหยุนดูแท็บเล็ตในมือ เห็นประตูรถเปิดออกจึงมองลั่วชิงเจ๋อที่ขึ้นรถมา
ส่วนซิงกวงกับซิงเฉินกำลังเล่นเกมด้วยกัน เหมือนว่ากำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
ซิงกวงละสายตาจากเครื่องเล่นเกมไปมองลั่วชิงเจ๋อ แล้วเอาพลาสเตอร์สีชมพูออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะยื่นมันให้เขา
“พี่ชิงเจ๋อ นี่ให้คุณค่ะ”
ลั่วชิงเจ๋อรับมาอย่างรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณคุณนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจๆ”
ซิงกวงโบกมือให้อย่างไม่คิดอะไร บนใบหน้ามีรอยยิ้มหวาน และถามอีกครั้งว่า “คุณอยากได้อมยิ้มไหมคะ”
ซิงเฉินผ่านด่านล่าสุดแล้ว และมาแย่งอมยิ้มของซิงกวง
“อมยิ้มนี่ฉันซื้อให้เธอนะ เป็นแบบสั่งทำด้วย!”
“เกี่ยวอะไรล่ะ พี่ชิงเจ๋อไม่ใช่คนนอก ทำไมพี่ขี้เหนียวแบบนี้”
“ฉันไม่ได้ขี้เหนียว แต่อมยิ้มนี่ซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ เธอให้คนอื่นไม่ได้!”
ซิงกวงมุ่ยปาก “ให้ฉันแล้วก็เป็นของฉัน ฉันมีสิทธิ์ให้คนอื่น”
“ไม่ได้!”
“ได้!”
“ไม่ได้!”
ซิงหยุนที่อยู่ท่ามกลางเสียงทะเลาะเอ็ดตะโลแบบนี้ ถอนหายใจหน่ายเงียบๆ
เขาเก็บแท็บเล็ต เอาอมยิ้มอีกอันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“นี่ให้คุณครับ พี่ชิงเจ๋อเข้ามานั่งเถอะ”
“ไม่ต้องสนพวกเขาหรอก”
ลั่วชิงเจ๋อมองสีหน้าปลงของซิงหยุนซึ่งบ่งบอกว่า “ชินแล้ว” ก็อดจะยกยิ้มเล็กน้อยไม่ได้
เขาขั้นรถก่อน นั่งลงข้างซิงหยุน
“ขอบคุณซิงหยุน”
ซิงหยุนยื่นแท็บเล็ตให้ลั่วชิงเจ๋อ
“พวกเขาลงขอโทษแล้ว”
ลั่วชิงเจ๋อรับมาดู พบว่าทั้งหมดคือคำขอโทษในเว่ยป๋อของพวกนักข่าว
พวกนักข่าวบนเว่ยป๋อยอมรับว่าพวกเขาทำไปเพื่อผลประโยชน์และความนิยม จงใจสาดโคลนใส่ลั่วเยียน และยังสารภาพชื่อของผู้กระทำผิดที่ทำให้พวกเขาทำเช่นนั้น แถมแนบหลักฐานด้วย
คนที่หาคนมาแอบถ่ายลั่วเยียน กับคนที่ยุยงนักข่าวพวกนี้ให้มาไล่ล่าลั่วเยียนที่โรงพยาบาล เป็นคนเดียวกัน
คนคนนี้เคยเป็นคู่แข่งของลั่วเยียน ตอนนี้เป็นนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ยอดนิยม ก่อนหน้านี้ถูกลั่วเยียนกลบมาตลอดมา และหลายครั้งที่ต้องแพ้ให้ลั่วเยียน จึงเคียดแค้นลั่วเยียนเสมอมา
ตอนนี้เห็นลั่วเยียนทั้งหย่าทั้งถอนตัวออกจากวงการ จึงอยากเหยียบลั่วเยียนให้จมดิน ไม่อยากให้เธอหวนกลับมาได้อีก
“คนคนนี้ทำไมน่ารังเกียจขนาดนี้”
หลังจากได้เห็นความจริง ลั่วชิงเจ๋อก็ขมวดคิ้วแน่น
แต่ซิงหยุนตบมือของเขา และปลอบใจว่า “พี่หนานเซิงจะไม่ปล่อยเธอไปแน่ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
ลั่วชิงเจ๋อนึกถึงภาพที่ฉินหนานเซิงอยู่ด้านหน้าครอบครัวของเขาเมื่อครู่นี้ ดวงตาพลันเจือรอยยิ้ม
นอกรถในตอนนี้
ซูสือเยว่จัดคุณพ่อคุณแม่ลั่วไปที่รถอีกคัน ลั่วเยียนก็ตามไปที่รถคันนั้นด้วย
หลังจากเข้าไป พบว่าเป็นรถครอบครัวที่กว้างขวางเป็นพิเศษ เพียบพร้อมไปด้วยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ครบครัน
กระทั่งพวกเขาเข้าไปนั่งแล้ว ซูสือเยว่จึงพูดกับลั่วเยียนอีกว่า “ให้หนานเซิงไปกับพวกเธอได้ไหม”
ลั่วเยียนอ้าปากพะงาบๆ ลังเลเล็กน้อย
“อย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยสร้างโอกาสให้เขา ที่จริงตอนนี้ไม่มากก็น้อยเขานับว่าเป็นคนไข้คนหนึ่ง ยังต้องตรวจขาของเขา มีแพทย์ดูแลใกล้ชิดเป็นการดีกว่า”
ลั่วเยียนเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงการบาดเจ็บที่ขาของฉินหนานเซิง หน้าจึงซีดลงเล็กน้อย
“เขาเป็นอะไรไหม”
ซูสือเยว่เหลือบมองไปไม่ไกล ฉินโม่หานเข็นหลานชายของเขามาแล้ว
“น่าจะไม่เป็นอะไรมาก”
“ถ้าเธอรู้สึกว่ารบกวนพวกเธอมากเกินไป งั้นฉันจะจัดรถให้เขาอีกคัน”
เวลานี้คุณแม่ลั่วดึงมือของลั่วเยียน
“เยียนเยียน ให้หนานเซิงไปกับเราเถอะ”
คุณพ่อลั่วก็ช่วยพูดด้วย “ดีร้ายยังไงเขาก็ทำเพื่อปกป้องพวกเรา”
เดิมทีลั่วเยียนก็ใจอ่อนแล้ว ตอนนี้ได้ยินพ่อแม่ตัวเองพูดแบบนี้ ก็เผยสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมา
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันก็ไม่ใช่คนประเภทที่ไม่แยกแยะ”
“อีกอย่าง เดิมทีรถคันนี้เป็นรถที่ตระกูลฉินจัดมา ฉันก็ไม่มีสถานะที่จะปฏิเสธ”
ฉินโม่หานเพิ่งพาฉินหนานเซิงเข้ามาใกล้ และได้ยินคำพูดสุดท้ายของลั่วเยียน
ฉินโม่หานทักทายคุณพ่อลั่วคุณแม่ลั่วก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมองไปที่ลั่วเยียน
“คุณลั่ว โปรดอย่าพูดอย่างนั้น”
“ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับหนานเซิงจะเป็นยังไง คุณก็เป็นเพื่อนสนิทของสือเยว่ตลอดไป”
“ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรถก็ดี ย้ายโรงพยาบาลก็ดี เราดูแลคุณด้วยความรู้สึกดีของความเป็นเพื่อน”
“คุณไม่ต้องรู้สึกเป็นภาระ วันนี้หากเปลี่ยนตำแหน่งคุณกับสือเยว่ ผมเชื่อว่า คุณจะไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอนจริงไหม”
ฉินโม่หานสมกับเป็นฉินโม่หาน
เพียงคำธรรมดาไม่กี่คำ ก็ปัดเป่าปัญหาและความไม่สบายใจที่ก้นบึ้งหัวใจของลั่วเยียนออกไปจนสิ้น
เขาพูดถูก การยอมรับความช่วยเหลือจากเพื่อนไม่ใช่เรื่องน่าอาย ก่อนหน้านี้ตัวเธอคิดน้อยเกินไป
ในที่สุดเธอก็พยักหน้าอย่างจริงจัง และพูดอย่างหนักแน่นว่า “ขอบคุณค่ะ คุณอาเล็ก”
ฉินโม่หานอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก “คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”
ลั่วเยียนได้สติกลับมา หน้าแดงเล็กน้อย พูดอย่างเคอะเขินว่า “ขอโทษค่ะ……ฉันใช้คำผิดไป มันกะทันหันเลยไม่ได้เปลี่ยน”
“ไม่ต้องเปลี่ยน” ฉินโม่หานยิ้ม ส่งสัญญาณบอกให้แพทย์ในรถมาช่วยอีกแรง
แพทย์นำฉินหนานเซิงขึ้นจากรถเข็นไปที่รถด้วยกัน จากนั้นทำการตรวจให้เขา
ฉินหนานเซิงที่หน้าแดงไม่ต่างกัน กระซิบบอกว่า “ก็จริง เรายังไม่ได้หย่ากัน ต่อไปคุณไม่ต้องเปลี่ยนคำพูดแล้ว”
ลั่วเยียน “……….”
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อครู่ทั้งทั้งที่ยังมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อฉินหนานเซิง ตอนนี้กลับรู้สึกพูดไม่ออก
“เมื่อครู่ขอบคุณที่คุณช่วยเหลือ แล้วก็ ขาคุณเป็นยังไงบ้าง”
ฉินหนานเซิงเห็นว่าในที่สุดลั่วเยียนก็สามารถพูดคุยกับเขาได้ด้วยน้ำเสียงปกติ ในใจจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
“ไม่เป็นไร ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงผม”
ลั่วเยียนใช้สายตาซื่อบื้อมองเขา แต่หมอที่อยู่ข้างๆ กลับหน้าดำคร่ำเครียด
“ใครบอกว่าขาคุณไม่เป็นไร”
“บาดแผลแย่ลงอีกแล้ว คุณยังต้องการขาของคุณอยู่ไหม”
“ไม่เคยเห็นคนไข้ที่ไม่เชื่อฟังอย่างคุณมาก่อนเลย!”
เป็นอย่างที่ฉินหนานเซิงกังวล หมอโมโหมากอย่างที่คาด
ฉินหนานเซิงรีบขอโทษ ลั่วเยียนเห็นแล้วจึงช่วยปลอบเขาโดยไม่รู้ตัว บรรยากาศในรถค่อนข้างมีชีวิตชีวา
ฉินโม่หานกับซูสือเยว่ที่ยินอยู่นอกตัวรถยิ้มให้กัน แล้วค่อยๆ ปิดประตูรถเบาๆ
“ไปเถอะ เรากลับบ้านกันได้แล้ว”
ฉินโม่หานจูงมือซูสือเยว่เดินไปข้างหน้า บนใบหน้าเจือรอยยิ้มบาง
ข้างหลังของทุกคน หรงหลินนั่งอยู่ในรถตัวเอง สายตาที่มองแผนหลังของฉินโม่หาน เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังและความไม่ยินยอม