ระหว่างทางกลับเมืองหรง
ซูสือเยว่กับฉินโม่หานขึ้นรถคันหน้า นั่งกับลูกๆ ทั้งสามคนและลั่วชิงเจ๋อ
เพราะเป็นรถครอบครัวแปดที่นั่ง ดังนั้นตำแหน่งจึงเหมาะเจาะพอดี
ซูสือเยว่ใส่ยารักษาบาดแผลบนใบหน้าให้ลั่วชิงเจ๋อ ก่อนจะแปะพลาสเตอร์ให้เขา
เป็นอันที่สีชมพูอ่อน ซึ่งซิงกวงให้กับลั่วชิงเจ๋อ
ลั่วชิงเจ๋อฉลาดรู้อย่างมาก เมื่อได้ยาเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ ทิ้งที่นั่งว่างด้านหลังไว้ให้สำหรับครอบครัวห้าคน
เดิมทีเขายังอยากกลับไปรถคันของคุณแม่ลั่ว แต่ถูกซูสือเยว่ห้ามไว้
“ชิงเจ๋อ เรื่องวันนี้ คุณกลัวไหม”
ซูสือเยว่พิงตัวฉินโม่หาน ถามลั่วชิงเจ๋อด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
ลั่วชิงเจ๋อส่ายหน้า “เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ผมกลัวหรอกครับ”
“เด็กดี คุณคิดไว้ไหมว่าต่อจากนี้อยากทำอะไร”
ลั่วชิงเจ๋อชะงักไป
ซูสือเยว่พูดอีกว่า “คุณไม่สามารถอยู่นอกเมืองได้ตลอดไป เคยคิดไหมว่าในอนาคตจะพัฒนาไปในด้านไหน”
ลั่วชิงเจ๋อกัดริมฝีปากล่าง เขาดูดีไม่เท่าลั่วเยียน แม้จะนับว่าหล่อเหลา แต่ตามมาตรฐานวงการบันเทิง ยังไม่โดดเด่นพอ พูดถึงความสามารถ เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น หนังสือก็ศึกษาอย่างงูๆ ปลาๆ พูดถึงเรื่องงานอดิเรกที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เขาก็ไม่มีสักอย่าง
ชอบดูละครที่พี่สาวของเขาเล่น นี่จะถือว่านับไหม
ในความคิดของเขา ถ้าคนที่หน้าตาแบบเขา ไม่มีความสามารถแบบเขา อยู่นอกเมืองน่าจะยิ่งหางานยาก อย่างเช่นจำพวกโรงรถ เป็นผู้ช่วยซ่อมรถ แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองและพ่อแม่
ลั่วชิงเจ๋อบอกในสิ่งที่คิดในใจออกมา
ซูสือเยว่อึ้งไปสักพัก ก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดออกมา
“ทำไมคุณจะไม่มีข้อดี อย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด ในมุมมองของฉัน คุณมีไหวพริบมากกว่าคนอื่นหลายเท่า”
ลั่วชิงเจ๋อหันกลับไปมองซูสือเยว่ด้วยความประหลาดใจ
ซูสือเยว่ยิ้มกริ่ม “และคุณมีดวงตาเฉียบแหลม สามารถเข้าใจจิตใจของผู้คน ลู่จื่อเหยาคนนั้น คนอื่นถูกรูปลักษณ์หน้าซื่อใจคดของเธอหลอกลวง คุณเป็นคนแรกที่ลุกมาเปิดเผยตัวตนที่สุดแสนแย่ของเธอกับคนอื่น”
“ยังมีหนานเซิง เมื่อพี่สาวและพ่อแม่ของคุณรู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมของเขา คุณก็เป็นคนแรกที่ลุกมาบอกว่ายังเชื่อในตัวเขา หนานเซิงยังบอกพวกเราในข้อสงสัยของคุณที่มีต่อหรงหลินด้วย คุณดูสิคุณเฉียบแหลมขนาดนี้ พูดได้ยังไงว่าตัวเองไม่มีความสามารถ”
ได้ยินซูสือเยว่พูดแบบนี้ สีหน้าของลั่วชิงเจ๋อซึ่งไม่เคยแสดงออกต่อหน้าคนนอกทันใดนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
เขาไม่เคยถูกชมเชยมาก่อน ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกทั้งภูมิใจทั้งเขิน
ซูสือเยว่เห็นสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนของเขาแล้วพลันอมยิ้มครู่หนึ่ง
“น่ารักจริงๆ”
ฉินโม่หานได้ยินคำพูดนี้ จึงเหลือบมองหน้าลั่วชิงเจ๋อตามบ้าง
ในใจก็คิดว่าน่ารักจริงๆ แต่กลับทำหน้าบึ้ง
“น่ารักตรงไหน”
ซูสือเยว่หันหน้ากลับไปมองเขาอย่างแปลกใจ สายตาเจือรอยยิ้ม
“ไม่ใช่หรอกเหรอ คุณฉิน แค่นี้คุณก็หึงเหรอเนี่ย”
“ผมขี้หึง ไม่ได้เหรอ”
ซูสือเยว่หัวเราะจนหยุดไม่ได้ เอียงหน้าไปจูบลงบนริมฝีปากเขาหนักๆ ครู่หนึ่ง
“แบ่งเท่าๆ กันแบบนี้พอไหม คุณฉิน ทำไมคุณเองก็น่ารักขนาดนี้”
ฉินโม่หานยกยิ้มเล็กน้อย แต่ยังหน้าบึ้งอยู่ “ก็พอได้”
เด็กน้อยทั้งสามคนที่เฝ้าดูอยู่ตลอด “……….”
สมกับเป็นแด๊ดดี้หม่ามี๊พวกเขาจริงๆ ไม่เคยจะหยุดสวีทหวานต่อหน้าคนอื่นเลย
เมื่อครู่ซิงเฉินฟังมาสักพัก เข้าใจแล้วว่าหม่ามี๊ของเขาคิดอะไรอยู่ จึงช่วยหม่ามี๊เพิ่มความกระจ่าง
“พี่ชิงเจ๋อ ที่หม่ามี๊พูดแบบนี้กับคุณ น่าจะอยากให้คุณทำงานกับเธอ”
ลั่วชิงเจ๋อเบิกตากว้าง และพูดตะกุกตะกัก “จริง……จริงเหรอ”
ซูสือเยว่คิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นลูกชายของเธอ รู้จักเธอดีอย่างนี้
จึงยิ้มพลางพยักหน้าทันที “ฉันว่าคุณมีศักยภาพพอที่จะเป็นผู้ช่วยดารา ทั้งมีไหวพริบทั้งหนักแน่น ที่สำคัญที่สุดคือเป็นคนที่เชื่อถือได้”
“ผู้ช่วยดาราเหรอครับ” ลั่วชิงเจ๋อดวงตาเป็นประกาย
“ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทำไมคุณไม่ถูกลั่วเยียนพามาไว้ข้างกาย แต่ฉันคิดว่าคุณก็ไม่เด็กแล้ว ตอนนี้แม่ก็มาป่วยอีก จะเป็นแบบเมื่อก่อนอีกไม่ได้ ที่ผลักภาระครอบครัวไปให้พี่สาวอย่างเดียว ฉันว่าคุณไม่น่าจะเป็นเด็กประเภทที่เห็นแก่ตัวหรอก”
ลั่วชิงเจ๋อตาแดง แน่นอนว่าเขาไม่ใช่
ก่อนหน้านี้ที่พี่สาวแต่งงานกับฉินหนานเซิง ตอนที่ครอบครัวของเขาถูกแม่ของฉินหนานเซิงดูถูก เขาก็สาบานเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องหาเงินให้ได้มากๆ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้พี่สาวได้เชิดหน้าชูตาต่อไปในอนาคต
เป็นเพียงความปรารถนาที่เป็นความปรารถนา แต่ความจริงก็คือความจริง
เขาไม่มีการศึกษาหรือภูมิหลังที่ดี การจะได้ลืมตาอ้าปากมันเป็นเรื่องยากจริงๆ
ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าพี่สาวไม่คิดพาเขามาอยู่ข้างกาย แต่ขณะนั้นลั่วเยียนยังคงต้องพึ่งพาฉินหนานเซิง หากพาตัวภาระมาใส่ตัวเองอีก ลั่วชิงเจ๋อกลัวว่าพี่สาวจะถูกคนตระกูลฉินนินทาว่าร้ายเอาได้ ดังนั้นจึงปฏิเสธทุกครั้งไป
ตอนนี้ถ้ามีทางอื่นสามารถทำเงินได้มาก และมีอนาคตที่ดีกว่า เขาจะไม่ปฏิเสธอีกแน่นอน
เขารู้เสียยิ่งกว่ารู้ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่ในกระเป๋าไม่มีเงินเลยนั้นรสชาติมันเป็นยังไง
เขาเองก็ไม่อยากโยนความกดดันทั้งหมดให้ลั่วเยียนรับไว้คนเดียว
“พี่สือเยว่ ถ้าให้ผมทำงานข้างกายคุณได้จริง ผมจะทุ่มเทและจริงจังแน่นอนครับ!”
“แม้เงินน้อยก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ก็พอแล้วครับ”
ซูสือเยว่ยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ เราจะเอาเปรียบคุณได้ที่ไหนกันล่ะ”
แต่เวลานี้ฉินโม่หานกลับเอ่ยปากว่า “แต่คุณต้องพิจารณาให้ดี หลังจากนี้อาจจะไม่สามารถอยู่ดูแลพ่อแม่ได้ และต้องโน้มน้าวพวกเขาให้ยอมให้คุณอยู่ที่เมืองหรง แบบนี้ทำได้ไหม”
ซึ่งชิงเจ๋อก็ลังเลจริงๆ ดังคาด แต่สุดท้ายก็ยังพูดว่า “ผมจะไปปรึกษากับพวกเขาให้เรียบร้อยครับ ผมสามารถให้พวกเขาอยู่ด้วยกันที่เมืองหรงกับผมได้ ผมจะเช่าบ้านให้พวกเขาอยู่!”
เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ อยู่แต่นอกเมืองตลอดไป ก็ช่วยพัฒนางานของพี่สาวในภายภาคหน้าไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดคือสภาพในเมืองหรงนั้นดีกว่านอกเมืองมาก ในกรณีที่พ่อแม่ของเขาประสบเหตุไม่คาดฝันอีก ก็จะได้จัดการได้ทันท่วงที
ซูสือเยว่กับฉินโม่หานมองตากัน ในแววตาต่างมีรอยยิ้ม
“ได้ คุณหาโอกาสปรึกษากับครอบครัวก่อน ถ้าพวกเขาอนุญาตให้คุณอยู่ที่นี่ คุณค่อยมาหาฉัน”
“ขอบคุณครับพี่สือเยว่!”
ซูสือเยว่โบกมือว่าไม่เป็นไร
ฉินโม่หาน “อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย ยังไงคราวนี้พวกคุณน่าจะใช้เวลาอยู่ในเมืองหรงพอสมควร รอการผ่าตัดของคุณป้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณค่อยปรึกษากับพวกเขาก็ได้”
“ครับ บอกไปตอนนี้พวกเขาจะต้องคิดมากแน่ ขอบคุณครับคุณฉินที่แนะนำ”
ฉินโม่หานเองก็โบกมือด้วย “ไม่ต้องเกรงใจ”
เสียงเด็กน้อยที่ดังฟังชัดของซิงกวงพูดขึ้นว่า “หม่ามี๊ คุณหาพี่ชิงเจ๋อมาเป็นผู้ช่วย คือเตรียมพร้อมหวนคือสู่วงการบันเทิงแล้วเหรอคะ”
คำพูดของซิงกวง ทำให้ในรถเงียบกริบ
ซิงเฉินหันหน้ากลับไปมองซูสือเยว่
“หม่ามี๊ ถ้าคุณหวนคืนแล้วก็จะยุ่งมากเลยใช่ไหมครับ”
“ไม่มีเวลาทำอาหารให้พวกเรา และก็ไม่มีเวลาเล่นกับพวกเราด้วยใช่ไหมครับ”
ซูสือเยว่อ้าปากพะงาบๆ ก่อนที่สุดท้ายจะยิ้มพลางถามว่า “พวกลูกไม่อยากให้หม่ามี๊ออกไปทำงานเหรอ”
ซิงหยุน “ไม่อยากครับ”
ซิงเฉินสีหน้าเศร้า “ผมก็ไม่อยากครับ”
ซูสือเยว่เพิ่งคิดจะปลอบใจพวกเขา แต่กลับได้ยินซิงเฉินพูดอีกว่า “แต่พวกเราจะไม่ห้ามหม่ามี๊ครับ”