ลั่วเยียนโกรธจนอยากหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นเหตุผลจริงๆ ที่ไม่ยอมปล่อยฉันไป เพราะก่อนหน้านี้ฉันดีต่อคุณมากน่ะเหรอ”
ฉินหนานเซิงพยักหน้า เขาถือว่ามันเป็นความจริง แม้แต่พ่อแม่ที่ปฏิบัติต่อเขา ยังมีความจริงใจไม่เท่าลั่วเยียนเลย
ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากลั่วเยียนจากไป เขาก็รู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง
บนโลกใบนี้ เกรงว่าคงไม่มีใครดีเท่าลั่วเยียนอีกแล้ว เขาเคยตาบอด ไม่รู้ค่าความดีของลั่วเยียน
ความโกรธที่ตอนแรกลั่วเยียนอดกลั้นไว้ในหัวใจ กลับถูกคำอธิบายของฉินหนานเซิงพังทลายจนสิ้น
เดิมทีเธอคิดว่า ถึงอย่างไรวันนี้ฉินหนานเซิงก็ช่วยตน จะต้องคำนึงถึงความผูกพันในอดีต และเธอก็ไม่ใช่คนใจแคบ
เรื่องที่อีกฝ่ายโกหกตัวเอง ควรจะเปิดเผยให้หมด คุยกับเขาอย่างใจเย็น บางทีอาจจะสามารถพูดให้อีกฝ่ายปล่อยตนเป็นอิสระและไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก
แน่นอน เธอไม่ยอมรับไม่ได้ ว่าที่จริงแล้วในใจเธอยังมีความคาดหวังแอบซ่อนอยู่
เธอหวังให้อีกฝ่ายออกปากรั้ง หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองความจริงใจของตัวเอง แม้จะมีความชอบให้เพียงเล็กน้อย เธอก็พร้อมยอมรับ
แต่คิดไม่ถึงว่า เหตุผลที่ฉินหนานเซิงไม่ยอมปล่อยมือ จะน่าขำอย่างนี้
เธอลั่วเยียนไร้ค่าแค่ไหน ทั้งที่รู้แล้วว่าฉินหนานเซิงไม่ได้รักตัวเอง แต่ก็ยังคงดูแลเขาเป็นอย่างดีต่อไปอย่างสิ้นหวัง
ลั่วเยียนยิ้มเยาะกลับ “คุณเป็นคุณชายตระกูลฉิน ทรัพย์สินนับไม่ถ้วน จะหาผู้หญิงสักคนที่ทุ่มเทให้กับคุณ มันยากนักเหรอ แค่คุณเอ่ยปาก ฉันเชื่อว่าธรณีประตูบ้านตระกูลฉินคงถูกคนที่เอาตัวเองมาประเคนเหยียบย่ำจนผุพังแน่”
ฉินหนานเซิงไม่ชอบน้ำเสียงการพูดของเธอในตอนนี้เลย แต่ยังพูดตามตรง “แต่คนพวกนั้นทำไปเพื่อเงินของผม มีแค่คุณที่ไม่เห็นแก่เงิน ทำเพื่อผมเท่านั้น”
เขาตั้งใจอยากบอกว่าลั่วเยียนดีสำหรับเขา ไม่ว่าใครก็เทียบไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาถึงยิ่งหวงแหน
แต่ไม่รู้ว่าทำไม คำพูดจากปากของเขา กลับทำให้ลั่วเยียนฟังแล้วยิ่งโมโห
“แล้วยังไง เพียงเพราะเมื่อก่อนฉันจริงใจกับคุณ และยังดูแลคุณเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก คุณก็สามารถเหยียบย่ำความจริงใจของฉันได้ตามใจชอบ ถึงขั้นไม่แคร์ความตั้งใจของฉัน แล้วจะมัดฉันไว้ผูกติดกับตัวคุณเหรอ”
“ฉินหนานเซิง ทำไมคุณเห็นแก่ตัวแบบนี้”
ฉินหนานเซิงอึ้งไปเพราะคำพูดของลั่วเยียน ใช้เวลาสักพักกว่าจะเรียกสติคืนมาได้
คิดจะอธิบาย แต่ชั่วขณะหนึ่งกลับรู้สึกว่าไม่สามารถอธิบายออกมาให้ชัดเจนได้
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะไม่มีทางปล่อยมือ และจะไม่หย่ากับลั่วเยียน ถ้าอีกฝ่ายเข้าใจเขาผิดไปแล้ว งั้นก็ให้เข้าใจผิดต่อไปแล้วกัน
“ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง ผมก็จะไม่หย่ากับคุณ”
ลั่วเยียนโกรธเขาจนเกือบตาย ฉินหนานเซิงคนนี้ดื้อรั้นเสมอมา ตราบใดที่เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ลั่วเยียนก็เคยเสียเปรียบแบบนี้ รู้ว่าพูดกับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้นความโกรธก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ การแต่งงานนี้ฉันก็จะหย่า! รอกลับไปเมืองหรงแล้ว เราไปสำนักงานกิจการพลเรือนกันเลย!”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้ว “ผมจะไม่ไป”
“งั้นฉันจะฟ้องหย่า!”
“คุณ……”
ลั่วเยียนถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม ความเกลียดชังทั้งเก่าใหม่ท่วมท้นในหัวใจ “คุณอะไร คุณมันคนหลอกลวง!”
“หลอกลวงอะไร” ฉินหนานเซิงชะงัก
“คุณยังกล้าบอกว่าคุณไม่หลอกลวงฉันงั้นเหรอ”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้พูดอะไร ลั่วเยียนก็ขยับเข้ามา กระชากเสื้อผ้าบนตัวเขาออก
“ก่อนหน้านี้คุณบอกฉันว่ามีเรื่องกับคนอื่น จนบาดเจ็บที่หน้าอกไม่ใช่เหรอ แล้วแผลล่ะ”
“ผม……”
เขาเพิ่งนึกได้ว่าก่อนหน้านี้โกหก มันเป็นบาดแผลเพื่อปกปิดการผ่าตัดเปลี่ยนไต ความตั้งใจเดิมคือไม่อยากให้ลั่วเยียนเป็นห่วง
“คุณอะไร คุณยังมีข้อแก้ตัวอะไรอีก ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณคุยโทรศัพท์กับคนอื่นน่ะฉันได้ยินหมดแล้ว คุณจงใจแกล้งทำเป็นบาดเจ็บ เพื่อล้อฉันเล่น!”
“ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น คุณเข้าใจผิดแล้ว”
“เข้าใจผิดเหรอ งั้นคุณบอกฉัน ตรงไหนที่ฉันเข้าใจคุณผิด”
“ผมบาดเจ็บตรง……” ฉินหนานเซิงครุ่นคิด ยังไม่สามารถบอกเรื่องการเปลี่ยนไตกับอีกฝ่ายได้
เรื่องนี้เป็นภาระหนักเกินไปสำหรับลั่วเยียน ฉินหนานเซิงไม่อยากให้เธอกดดัน จำต้องกลืนความจริงทั้งหมดลงไป
“ก่อนหน้าที่ผมได้รับบาดเจ็บเป็นความจริง แต่ไม่ได้บาดเจ็บที่หน้าอก มันเป็นที่ขา” ฉินหนานเซิงพูด “แต่ผมรู้ ถ้าผมบอกว่าขาเจ็บ คุณต้องคิดว่าผมหลอกคุณแน่ๆ”
ลั่วเยียนชะงัก มองไปที่ขาเขาโดยอัตโนมัติ
“คุณยังคิดจะหลอกฉันอยู่อีก!” ลั่วเยียนจ้องเขาอย่างโกรธๆ
เขาคิดว่าตนยังจะเชื่อสิ่งที่เขาพูดอยู่อีกเหรอ คนโกหก ในปากไม่มีความจริงเลย!
ฉินหนานเซิงถอนหายใจยาว ในที่สุดก็พูดว่า “ผมยอมรับ เรื่องที่ได้รับบาดเจ็บนั่นโกหกคุณจริงๆ”
“แต่ผมกลัวว่าคุณจะไม่อยากเจอผม แล้วรีบไล่ผมกลับเหมืองหรงหรือเปล่า”
ลั่วเยียนไม่ได้พูดไปสักพัก ใช้สายตาสงสัยกวาดตามองเขาครู่หนึ่ง “ทุกอย่างที่คุณพูดเป็นความจริงเหรอ”
ฉินหนานเซิงพยักหน้า “อีกอย่างขาผมเจ็บจริงๆ เมื่อครู่คุณก็ได้ยินหมอดุผมแล้ว ขาผมที่เคยเจ็บมันยังไม่หาย หลังจากครั้งนั้นกับท่านเวิน เขาก็ไม่ได้ลงมือซ้ำอีก”
“นั่นคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ”
ฉินหนานเซิงเขี่ยจมูก พูดอย่างสำนึกผิด “ผมก็ไม่ได้โทษเขาหรอก”
ลั่วเยียนเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็พลันใจอ่อนลงนิดหน่อย ก้มหน้าลงไปมองบาดแผลของเขา และถามอย่างเป็นห่วงว่า “ขาคุณหายยากจริงเหรอ”
ฉินหนานเซิงแอบยิ้มมุมปาก กำลังอยากจะพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นลั่วเยียนได้สติกลับคืนมาแล้ว
“แต่เมื่อครู่เราพูดเรื่องหย่ากันชัดเจนแล้ว คุณเปลี่ยนเรื่องอีกทำไม!”
ฉินหนานเซิง “………”
คนที่เปลี่ยนเรื่องไม่ใช่เขาสักหน่อย
จึงรีบแสร้งทำตัวน่าสงสาร “ขาของผมเป็นแบบนี้แล้ว ต่อไปคาดว่าคงเป็นคนพิการ คุณจะใจดำทิ้งผมไป หย่าขาดกับผมจริงเหรอ”
“ต่อให้คุณพิการ คุณก็เป็นคนตระกูลฉิน”
ทายาทตระกูลฉิน ไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกใบเดียวกันกับเธอ
ฉินหนานเซิงยังอยากจะพูดต่อ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของลั่วเยียนกลับดังขึ้น
ลั่วเยียนเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ไม่ได้มีการเลี่ยงหลบฉินหนานเซิง แถมยังจงใจพูดเสียงดัง
“หรงหลิน ฉันกำลังอยากโทรหาคุณเลย”
ฉินหนานเซิงขมวดคิ้วฉับพลัน เป็นสายจากไอ้เด็กนั่นอีกแล้ว
คนคนนี้ทำไมตามหลอกหลอนตลอดเลย
ในสาย เสียงของหรงหลินนุ่มนวลมาก “ผมเอาอาหารเข้ามาให้คุณป้า พอถามถึงได้รู้ว่าพวกคุณย้ายโรงพยาบาลไปแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมพวกคุณไปกะทันหันแบบนี้”
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องมันจบไปแล้ว แค่เงื่อนไขทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเมืองหรงดีกว่านอกเมือง เพื่อลดความเสี่ยงในการผ่าตัด ดังนั้นพวกเราถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ เมื่อครู่รีบร้อนเดินทางเลยลืมบอกคุณ ขอโทษจริงๆ”
หรงหลินเหมือนจะถอนหายใจโล่งอก “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
ลั่วเยียน “ใช่ ต้องรบกวนคุณช่วยส่งอาหารให้เรา ไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงเลยจริงๆ”
หรงหลินหัวเราะขึ้นมา “พูดอะไรกันพี่ลั่วเยียน ชีวิตของผมคุณเป็นคนช่วยไว้ คุณไม่ต้องเกรงใจผมเลยครับ”
ลั่วเยียนได้ยินคำพูดของเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
“นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่ยังเด็กมาก อีกอย่างคนที่ช่วยคุณก็ไม่ใช่ฉัน ฉันแค่ช่วยเรียกผู้ใหญ่มา”
“สำหรับคุณอาจเป็นแค่ความพยายามเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับผมเป็นบุณคุณช่วยชีวิต”
หรงหลินหัวเราะเสียงต่ำ “คุณป้าต้องย้ายไปโรงพยาบาลเมืองหรงใช่ไหมครับ งั้นรอพวกคุณเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ส่งที่อยู่มาให้ผมนะ วันที่คุณป้าผ่าตัด ผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณ”