ได้ยินคำพูดของลั่วเยียนแล้ว คุณแม่ลั่วรู้สึกเศร้าใจมาก
เมื่อก่อนแค่อยากตามใจลั่วเยียน ปล่อยให้เธอไล่ตามความสุขที่เธอต้องการ
แต่ไม่รู้เลย ว่าลูกสาวของเธอทุกข์ทรมานใจมากแค่ไหน ตอนนี้ทนรับไม่ไหวจนต้องยอมแพ้ สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถทำให้เธอได้สมดังใจหวัง
คุณแม่ลั่วน้ำตาไหลหนักหน่วง จนแทบไม่มีเสียงสะอื้น
“เยียนเยียน เยียนเยียนคนดี เป็นเราที่ทำร้ายแก ถ้าเราไม่ปล่อยแกไปโดยไม่ทันคิดให้รอบคอบตั้งแต่แรก ต่อมาระหว่างแกกับหนานเซิงคงจะไม่มีชะตากรรมอันเลวร้าย แกก็จะไม่ต้องตกที่นั่งอย่างวันนี้”
ลั่วเยียนส่ายหน้าขณะที่ฟัง
“คุณแม่คะ ไม่โทษพวกคุณ และก็ไม่โทษเขา เรื่องของความรู้สึกไม่สามารถบังคับกันได้ แค่ฉันไม่ใช่คนโชคดีคนนั้นก็เท่านั้น”
“ใครบอกว่าแกไม่ใช่ เยียนเยียน ในเมื่อตอนนี้หนานเซิงไม่ยอมหย่ากับแก ทำไมแกไม่ลองดูกับเขาอีกครั้ง บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว……”
“ไม่หรอกค่ะ”
ลั่วเยียนขัดจังหวะคำพูดของคุณแม่ลั่ว น้ำเสียงค่อนข้างมั่นคง
“ที่ตอนนี้เขายังตามหลอกหลอนฉัน แค่เพราะชินกับการที่ฉันดูแลเขา ไม่ใช่เพราะต้องการฉันจริง”
“เขาไม่มีความรักให้ฉัน รอจนเขาชินกับการทุ่มเทของฉันอีกครั้ง และเบื่อที่จะเห็นฉัน ถึงตอนนั้นฉันจะจัดการตัวเองยังไงล่ะคะ”
ได้ยินลั่วเยียนพูดอย่างมีสติมาก แต่หัวใจคุณแม่ลั่วกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ต่อให้ไม่มีความรัก เขาก็มีความรู้สึกให้แก หนานเซิงไม่ใช่คนไร้หัวใจ วันเวลาผ่านไปนานอีกหน่อยต้องชอบแกแน่”
ลั่วเยียนยังคงส่ายหน้า แต่บนใบหน้ากลับเจือรอยยิ้มหมองเศร้า
“คุณแม่คะ ถ้าวันเวลาผ่านไปนานแล้วสามารถเกิดความรักได้ งั้นฉินหนานเซิงก็คงหลงรักฉันไปตั้งนานแล้ว แต่วันนี้บนรถฉันถามเขา เขาไม่ได้ชอบฉันเลย ทำไมฉันต้องบังคับคนอื่นให้ยุ่งยากใจอีก”
“แต่……”
“พอเถอะค่ะคุณแม่”
ลั่วเยียนขัดจังหวะเธอ ชัดเจนว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ เพราะข้อเท็จจริงอยู่ตรงนี้ ฉินหนานเซิงไม่มีวันหลงรักเธอ และเธอก็ไม่ต้องดูถูกตัวเองอีกต่อไปแล้ว
การหย่าร้างเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับกันและกัน
เห็นลั่วเยียนท่าทีแน่วแน่ เดิมทีคุณแม่ลั่วยังยากให้ลั่วเยียนให้โอกาสฉินหนานเซิงอีกครั้ง สุดท้ายจำต้องปิดปากเงียบ
“คุณพ่อออกไปนานแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาอีก หรือไม่ฉันไปตามหาหน่อยดีกว่า”
ลั่วเยียนหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดน้ำตาให้คุณแม่ลั่ว แล้วเทน้ำอุ่นให้เธอแก้วหนึ่ง ส่วนตัวเองไปล้างหน้าในห้องน้ำ จัดระเบียบอารมณ์ความรู้สึกตัวเองใหม่
ใบหน้าคุณแม่ลั่วเหนื่อยล้า บวกกับใจเธอที่เป็นทุกข์ในตอนนี้ จึงพยักหน้าให้อย่างอ่อนแรง
ลั่วเยียนลุกขึ้นเดินออกไป คิดจะเรียกพยาบาลมาช่วยดูแล เพิ่งเดินถึงปากประตู ก็เห็นลั่วชิงเจ๋อยืนอยู่หน้าประตูคนเดียวพร้อมกับถุงใบใหญ่
“ชิงเจ๋อ แกกลับมาแล้วเหรอ แกอยู่คนเดียวเหรอ”
ลั่วเยียนเมียงๆ มองๆ ข้างหลังลั่วชิงเจ๋อ แต่ไม่เห็นคนอื่น
ลั่วชิงเจ๋อเหมือบมองไปตรงมุมทางเดิน ก่อนจะถอนสายตากลับมามองหน้าพี่สาวที่ตาบวมเล็กน้อย
“ผมกับพี่เขยกลับมาด้วยกัน แต่เขาไปห้องพักผู้ป่วยVIPชั้นบน เราแยกกันที่ลิฟต์ครับ”
แต่ในขณะนี้ลั่วเยียนกลับขมวดคิ้ว
“พี่เขยอะไร ฉันหย่ากับเขาแล้ว แกห้ามเรียกเขาว่าพี่เขยอีก”
“แต่พี่ พวกคุณยังไม่ได้ใบหย่านะ”
ลั่วเยียนหงุดหงิดเล็กน้อย “รอคุณแม่ผ่าตัดเสร็จเมื่อไร ฉันก็จะไปหาเขาแล้วไปสำนักงานกิจการพลเรือน!”
ลั่วชิงเจ๋อพยักหน้า สีหน้าสงบนิ่ง “งั้นรอพวกคุณได้ใบหย่าก่อน ผมค่อยเปลี่ยนคำพูดแล้วกัน”
ลั่วเยียนสำลักกับความกระด้างกระเดื่องของน้องชาย จ้องเขาอย่างโมโห
แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ถูก เธอไม่สามารถหักล้างได้ มองไปยังสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ
“พวกนี้คืออะไรเหรอ”
“พี่เขยซื้อเสบียงให้คุณพ่อคุณแม่ครับ”
“ฉินหนานเซิงซื้อเหรอ” ลั่วเยียนถาม
ลั่วชิงเจ๋อพยักหน้า
ลั่วเยียนคว้าสิ่งของไปจากมือ แล้วถามอีกครั้ง “เขาไม่มีอะไรให้ฉันเหรอ”
ลั่วชิงเจ๋องุนงงมาก “อะไรเหรอครับ”
ลั่วเยียนยิ่งโมโห ไอ้เลวนี่ ยังไม่คืนโทรศัพท์มือถือให้เธออีก
“แกกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ไป ฉันจะขึ้นไปชั้นบน จริงสิ เขาอยู่ห้องพักผู้ป่วยชั้นไหน”
ลั่วเยียนไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ แต่ลั่วชิงเจ๋อก็รู้ว่าเธอพูดถึงใคร เขากะพริบตาปริบๆ พี่สาวเขาหมายถึงว่าจะขึ้นชั้นบนไปหาพี่เขยเหรอ
แต่พี่เขยเขา……
ลั่วชิงเจ๋อดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะขึ้นเสียงว่า “พี่ พี่จะไปหาพี่เขยเหรอ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าห้องพักผู้ป่วยเขาอยู่ชั้นไหน เขาไม่ได้บอกผมครับ”
ลั่วชิงเจ๋ออยู่ดีๆ ก็พูดเสียงดัง เขาเสียงดังจนลั่วเยียนสะดุ้งตกใจ อดไม่ได้ที่จะตีเขาไปนิดหน่อย
“ไม่รู้ก็ไม่รู้สิ ต้องเสียงดังขนาดนี้ด้วยเหรอ นี่เป็นโรงพยาบาลนะ!”
ขณะนั้นเอง ตรงมุมทางเดินจู่ๆ ก็มีเสียงการชนกันของอะไรบางอย่าง เหมือนกับมีโลหะชนราวจับ
ลั่วเยียนขมวดคิ้ว สายตามองไปยังทางเดินโดยอัตโนมัติ
ลั่วชิงเจ๋อกลัวว่าฉินหนานเซิงจะถูกจับได้ว่าแอบฟัง จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“จริงสิ พี่ครับ ผมไม่รู้ห้องพักผู้ป่วยของพี่เขย แต่คุณฉินกับพี่สือเยว่รู้แน่นอน ถ้ายังไงโทรไปถามพวกเขาสิครับ!”
พูดไปพลางดึงลั่วเยียนเข้าประตูไป
ลั่วเยียนถูกเขาดึงเข้าห้องพักผู้ป่วยกะทันหัน เห็นว่าประตูก็ปิดลงด้วย จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“แกมีข้อมูลติดต่อของสือเยว่เหรอ”
ลั่วชิงเจ๋อชะงัก “เหมือนจะไม่มีครับ แต่คุณต้องมีสิ”
“ฉันมี แต่โทรศัพท์มือถือของฉันอยู่ที่ฉินหนานเซิง”
ผ่านหน้าต่างบานเล็กที่ประตูห้องพักผู้ป่วย ลั่วชิงเจ๋อเห็นฉินหนานเซิงถูกผู้ช่วยเข็นออกมาจากทางเดิน จากนั้นก็เข็นไปที่ลิฟต์ จึงรีบดึงลั่วเยียนเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอีก
“ฮะ? ทำไมโทรศัพท์มือถือคุณถึงไปอยู่ที่พี่เขยล่ะ งั้นตอนนี้ทำยังไงครับ”
ลั่วเยียนงุนงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของลั่วชิงเจ๋อ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ยังจะทำอะไรได้ ฉันขึ้นชั้นบนไปถามก็จะรู้ ไปหาเขาเพื่อที่จะเอาโทรศัพท์มือถือคืนมา”
ลั่วชิงเจ๋อยังอยากจะพูดอะไร แต่ลั่วเยียนกลับผลักเขาออก “เอาล่ะ ไม่พูดไร้สาระกับแกแล้ว ฉันจะเอาโทรศัพท์มือถือมาใช้ พวกนี้ฉันก็จะเอาขึ้นไปด้วย เพราะพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว ไม่ควรรับอะไรมาเป็นบุญคุณ คืนทั้งหมดให้เขาไป”
เมื่อพูดจบก็ผลักลั่วชิงเจ๋อแล้วเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยออกไป
ทันทีที่ประตูเปิดออก ประตูลิฟต์ก็ปิดพอดี ลั่วเยียนจึงไม่เห็นฉินหนานเซิงที่อยู่ในลิฟต์
ลั่วชิงเจ๋อเห็นตรงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก เห็นว่าขวางไว้ไม่อยู่จริงๆ ดังนั้นจึงปล่อยเธอไป
ในลิฟต์เวลานี้
ฉินหนานเซิงสีหน้าแสนอ้างว้าง ทำให้ไป๋เฉิงเห็นแล้วทนไม่ได้
“คุณชาย เมื่อครู่ทำไมต้องหลบนายหญิงด้วยครับ”
ฉินหนานเซิงส่ายหน้า ไม่มีคำอธิบาย
เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่ไม่อยากให้ลั่วเยียนรู้ ว่าเมื่อครู่ตนแอบได้ยินที่เธอคุยกับคุณแม่ลั่ว
ในคำพูดจากลั่วเยียน เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ว่าเมื่อก่อนตัวเองร้ายกาจกับลั่วเยียนมากแค่ไหน
ลั่วเยียนไม่ยอมเชื่อว่าตนหลงรักเธอ แถมยังบอกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เช่นนั้นเขาก็ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ ว่าความรักที่เขามีให้ลั่วเยียนนั้นเป็นความจริงยิ่งกว่าทองคำและเงินแท้!
“ติ๊ง” ลิฟต์ถึงชั้นที่กำหนด
แต่ฉินหนานเซิงกลับเรียกไป๋เฉิง “เตรียมโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้ผมด้วย”
ไป๋เฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง “โทรศัพท์มือถืออะไรครับ”
“นี่”
ฉินหนานเซิงยื่นโทรศัพท์มือถือของลั่วเยียนให้เขา และพูดว่า “เอาคำพูดของผมไปบอกซิงหยุน เขารู้ว่าควรทำยังไง”