คำพูดของฉินโม่หาน ได้ทำให้บอดี้การ์ดคนนั้นหุปปากลงทันที
ในตามีความเยาะเย้ยลอยผ่าน ฉินโม่หานถาม “มันให้เงินนายไม่น้อยเลยใช่ไหม?”
บอดี้การ์ดตัวอ่อนนั่งลงกับพื้นพูดอะไรไม่ออกอีกเลย สุดท้ายก็ปิดบังท่านชายไม่ได้
ฉินโม่หานลุกขึ้นยืนตรงหน้าบอดี้การ์ด มองก็ไม่มองอีกฝ่ายแม้ตาตาเดียว
“พาลงไป “”
บอดี้การ์ดคนอื่นๆ รีบลากออกไป ดูจากสีหน้าที่โกรธของทุกคนแล้ว คนนั้นต้องถูกจัดการอย่างรุนแรงแน่นอน
ไป๋ยู่หนานถึงพูดขึ้นมาว่า “อาเล็ก ปล่อยให้คนถูกพาลงไปแบบนี้ ไม่ถามให้ชัดเจนหรอ?”
อย่างเช่นใครเป็นคนส่งเขามา หรือคำสั่งของอีกฝ่ายเป็นอะไรกันแน่
“มันไม่พูดหรอก” ฉินโม่หานพูด
“ทำไม?”
“เขาเป็นคนที่แด๊ดดี้พาออกมา” ซิงหยุนอธิบาย
ฉินหนานเซิงพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที
แต่ลั่วชิงเจ๋อที่อยู่ข้างๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลย “ทำไมถึงเป็นคนที่คุณฉินพาออกมาแล้ว จะไม่พูดล่ะ?ในเมื่อมีบุญคุณอยู่ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายในการถามหรอ?”
ซองหยุนอธิบายอย่างเท่ๆ ว่า “คนที่แด๊ดดี้พาออกมา ไม่กลัวอะไรเลย”
ดังนั้นถึงจะถูกเพื่อนร่วมงานตีจนตาย เขาก็จะไม่เผยข้อมูลของผู้ว่าจ้างเลยแม้แต่น้อย
ลั่วชิงเจ๋อพยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
ลั่วเยี่ยนเริ่มไม่มีความคิดแล้ว “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วต่อไปพวกเราควรทำยังไง?”
ฉินโม่หานมองลั่วเยี่ยนทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางไป๋ยู่หนาน “ความคิดเห็นของฉันคือรีบทำการผ่าตัดย้ายไต จะได้ไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย”
ก่อนหน้านี้ไป๋ยู่หนานคอยสังเกตสภาพร่างกายของคุณแม่ลั่วอยู่ตลอด และสภาพของฉินหนานเซิง
ได้ยินคำพูดของฉินโม่หาน ก็เข้าใจความหมายของเขาทันที ได้มองข้อมูลที่ตัวเองสังเกตไว้อีกรอบ แล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “วันนี้ตอนเย็นก็สามารถทำการผ่าตัดได้เลย”
“ทำการผ่าตัดก่อนเวลา จะเพิ่มความเสี่ยงของการผ่าตัดครั้งนี้ไหม?”
ไป๋ยู่หนานทำสีหน้าดูถูกแล้วพูดว่า “นายคิดว่าฉันเป็นหมอไร้ความสามารถเหมือนพวกข้างนอกนั้นหรอ?”
ขอแค่มีเขาอยู่ การผ่าตัดที่ยากแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา
“นายรับรองได้ว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไร?”
“ฉันรับรองได้ว่าการผ่าตัดต้องสำเร็จไปด้วยดี แต่จะมีปฏิกิริยาต่อต้านหลังจากการถ่ายโอนไหม จากนั้นก็ต้องดูว่าร่างกายของคุณป้าลั่วจะแบกรับได้แค่ไหนบ้างแล้ว”
เห็นว่าสายตาของฉินหนานเซิงเหลมกว่าเดิม เขาก็รีบทำการรับรองว่า “ฉันจะพยายามทำให้ปฏิกิริยาการต่อต้านน้อยที่สุด น่าจะมีโอกาส70-80เปอร์เซ็นต์ที่จะไม่เป็นอะไร”
ฉินหนานเซิงถึงได้เก็บสายตากลับไปอย่างพึงพอใจ
ฉินโม่หานเองก็พยักหน้าตาม หันไปมองลั่วเยี่ยน “ลั่วเยี่ยน ความคิดเห็นของครอบครัวพวกเธอล่ะ?”
ลั่วยี่ยนหันหน้าไปสบตากับลั่วชิงเจ๋อ ลั่วเยี่ยนกัดฟันพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ทำการผ่าตัดเย็นนี้เลย!”
ไป๋ยู่หนานปิดสมุดบันทึกประวัติผู้ป่วย “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันไปเตรียมตอนรี้เลย”
เห็นว่าไป๋ยู่หนานจะไปแล้ว ลั่วเยี่ยนรีบเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
ไป๋ยู่หนานหันกลับมา “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
“พวกฉันไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้วหรอ?แล้วจิตอาศาที่บริจาคไต เขาจะยอมเปลี่ยนเวลาเป็นเย็นนี้หรอ?”
ไป๋ยู่หนานมองฉินหนานเซิงทีหนึ่ง พูดในใจว่ายังต้องถามอีกหรอ คนนั้นไม่รู้ว่าเต็มใจแค่ไหน
แต่กลับพูดออกมาว่า “ก่อนหน้านี้ได้ทำการติดต่ออาสาสมัครคนนั้นแล้ว เขาบอกว่าจะยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทุกเวลาของพวกเรา”
ลั่วเยี่ยนถามต่อ “ฉันพบเขาไม่ได้จริงๆ หรอ?ฉันอยากขอบคุณต่อหน้าของเขาจริงๆ !”
“อันนี้……..คาดว่าจะไม่ได้ พวกเราต้องเคารพความต้องการของเขา เขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ข้อข้อมูลเกี่ยวกับเขาเลย”
“แต่ว่า……..”
“เยี่ยนเยี่ยน” ฉินหนานเซิงเข็นรถเข็นไปข้างหน้าแล้วจับมือของเธอไว้ “ให้หมอไป๋ไปเตรียมการเถอะ พวกเราจะได้ไปบอกให้แม่ยายเตรียมใจไว้ด้วยไง”
ลั่วเยี่ยนหันไปมองฉินหนานเซิงอย่างลึกซึ้ง อยู่ๆ ก็ดึงมือของตัวเองออกมา
“พวกเราหย่ากันแล้ว อย่าเรียกว่าแม่ยายเลย”
ฉินหนานเซิง “?”
ไม่ใช่ เมื่อกี้ไม่ใช่ยังดีๆ อยู่หรอ ทำไมอยู่ๆ ถึงโกรธล่ะ
ลั่วเยี่ยนเช็ดน้ำตา อยู่ๆ ก็เดินมาพูดกับฉินโม่หานว่า “ฉันขอคุยกับนายตามลำพังได้ไหม?”
ฉินโม่หานมองไปทางฉินหนานเซิง แล้วมองลั่วเยี่ยนอีกทีหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า
“ได้”
ลั่วเยี่ยนดูโล่งใจมาก หันกลับไปเตือนลั่วชิงเจ๋อ “นายไปดูพ่อแม่ บอกพวกเขาว่าตอนเย็นผ่าตัด เรื่องอย่างอื่น ไม่ต้องพูดแม้แต่คำเดียว”
ลั่วชิงเจ๋อเข้าใจความหมายของลั่วเยี่ยนแล้วพยักหน้า
จากนั้นฉินหนานเซิงก็มองเยี่ยนเยี่ยนและอาเล็กเดินไปที่ห้องผู้ป่วยว่างๆ ข้างห้อง
“เยี่ยนเยี่ยนจะคุยอะไรกับอาเล็ก?” ฉินหนานเซิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
ซิงหยุนดึงสายตากลับแล้วหันไปมองฉินหนานเซิงทีหนึ่ง
“พี่หนานเซิง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่สะใภ้ลั่วเยี่ยนน่าจะเดาอะไรออกสักอย่าง”
“อะไร? ”
“ตกลงอาสาสมัครที่ไม่เผยโฉมหน้าเลยเป็นใครกันแน่”
ฉินหนานเซิงตะลึง แล้วพูดถามขึ้นมา “ไม่ใช่มั้ง?”
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเขาถูปเปิดโปงแล้ว?
ฉินหนานเซิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสายตาที่ลั่วเยี่ยนมองเขาเมื่อกี้แปลกๆ คิดแล้วถามซิงหยุนว่า “นายว่าถ้าพวกเราไปแอบฟัง จะถูกเห็นไหม?”
ซิงหยุนไม่สนใจเขาเลย เอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมากด
“ซิงหยุน ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
“ได้ยินแล้ว”
“แล้วทำไมถึงไม่สนใจฉัน”
ซิงหยุนไม่ได้พูด
ฉินหนานเซิงอยากจะไปแอบฟัง แต่ก็ไม่กล้า นิสัยของอาเล็กเขาไม่ค่อยดี
ลากคนไปด้วยจะดีกว่า ก็เลยขยับเข้ามาดูโทรศัพท์ของซิงหยุน
“นายทำอะไรอยู่?”
“ส่งข้อความให้หม่ามี๊ บอกหม่ามี๊ว่ามือแด๊ดดี้บาดเจ็บแล้ว”
ฉินหนานเซิงสับสน “นอกจากการบาดเจ็บของอาเล็กแล้ว ไม่มีเรื่องสำคัญอย่างอื่นที่จะบอกเธอเลยหรอ?”
ในที่สุดซิงหยุนก็ได้ส่งข้อความเสร็จแล้ว ได้ยินก็ได้มองฉินหนานเซิงทีหนึ่ง
“การได้รับบาดเจ็บของแด๊ดดี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
ฉินหนานเซิง “……..”
ก็ได้ เขายอมแล้ว
สุดท้ายฉินหนานเซิงก็ไม่ได้ไปแอบฟัง
เพราะไม่นานฉินโม่หานก็กลับมาแล้ว
ฉินหนานเซิงเอาแต่จ้องข้างหลังของฉินโม่หาน กลับไม่เห็นลั่วเยี่ยน
“เยี่ยนเยี่ยนล่ะ?” ฉินหนานเซิงถาม
“เธอไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่เธอแล้ว” ฉินโม่หานเดินไปถึงหน้าของซิงหยุน ถาม “ลูกเอาเรื่องที่แด๊ดดี้บาดเจ็บบอกให้กับหม่ามี๋ของลูกใช่ไหม?”
ซิงหยุนพยักหน้า แล้วแสดงข้อความที่ส่งออกไปให้เขาดู
ฉินโม่หานมองข้อความการถามของซูสือเยว่ ในตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ใครให้ลูกส่งให้เธอ ยุ่ง”
“แด๊ดดี้ เห็นได้ชัดว่ายิ้มอย่างมีความสุขมาก”
“มีความสุขเพราะว่าหม่ามี๊ของนายกำลังเป็นห่วงฉัน ไม่อยากให้หม่ามี๊นายรู้เพราะว่ากลัวเธอจะเป็นห่วง”
“ปากไม่ตรงกับใจ”
“นายไม่รู้”
เห็นพ่อลูกทั้งสองเถียงกันขนาดนี้ ฉินหนานเซิงรีบขัด เข็นรถเข็นแล้วถามฉินโม่หานว่า “นายกับเยี่ยนเยี่ยนคุยอะไรกันบ้าง?เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นอาสาสมัครแล้วใช่ไหม?”
ฉินโม่หานกวาดตามองฉินหนานเซิงไปทีหนึ่ง ตอนที่ใกล้จะมองให้เขาขนลุกแล้วถึงจะพูดว่า “นายอย่าสำคัญตัวเองมากหน่อยเลย เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดถึงนายเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่ได้พูดถึงฉัน?” ฉินหนานเซิงตกใจ “นี่จะเป็นไปได้ยังไง!”
“เธอมาทำความมั่นใจเรื่องหรงหลินกับฉัน”
ฉินหนานเซิงแทบจะถูกตัวเองเปรี้ยวตายแล้ว เมื่อกี้เขาแทบจะตายแล้ว ช่วยคนที่รักอย่างกล้าหาญขนาดนั้น สิ่งที่แลกมากลับมีแค่เพียง “หมัดเหล็ก” หรอ?
เรื่องที่ลั่วเยี่ยนอยากรู้ที่สุด กลับเป็นเรื่องของหรงหลิน?