ฉินหนานเซิงถูกชกอย่างหนัก
ตอนที่ซุสือเยว่พาคนมาถึงโรงพยาบาล สิ่งที่เห็นกลับเป็นฉินหนานเซิงที่คับข้องใจ
“เขาเป็นอะไร?”
ซูสือเยว่วางกระเป๋าลงแล้วมองไปทางฉินหนานเซิง สาเหตุหลักมาจากความคับข้องใจบนตัวของคนนี้ ยากที่ไม่ให้คนสังเกต
ฉินโม่หานไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเอามือที่ได้รับบาดเจ็บยื่นไปไว้ที่หน้าของซูสือเยว่
“เอาแต่เป็นห่วงคนอื่น สามีเธอได้รับบาดเจ็บแล้วเธอก็ไม่ถามก่อน?”
ซูสือเยว่เห็นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว”
“ทำไมนายถึงบาดเจ็บล่ะ?เป็นยังไงบ้าง หนักไหม?”
ท่านชายฉินมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าความสนใจของซูสือเยว่มาอยู่บนตัวเองแล้ว ก็ได้เอามือไปวางไว้ด้านหลังอย่างภูมิใจ
“ที่จริงก็ไม่เป็นอะไรมาก แค่แผลเล็กน้อย”
ซูสือเยว่รีบขึ้นไปจับมือของเขาไว้ แล้วมองดูผ้าพันแผลที่มีรอยเลือดจางๆ อย่างละเอียด ขมวดคิ้วไว้แน่นมาก
“อะไรคือแผลเล็กน้อย ฉันว่ามันหนักมากเลยนะ ยังมีเลือดไหลอยู่เลย!”
เห็นเธอเป็นห่วงจริงๆ ฉินโม่หานก็ใจอ่อนทันทีเลย
“ไม่เป็นอะไรมากจริงๆ แค่แผลถลอกเล็กน้อย แผลถลอกก็ต้องมีเลลือดไหลสิ ไม่เชื่อเธอถามซิงกวน”
“หม่ามี๊ แด๊ดดี้โกหก”
ซิงกวงซื่อสัตย์มาก ได้ทำลายคำโกหกของฉินโม่หานทันที
ฉินโม่หานเขม็งใส่ซิงหยุนทีหนึ่ง
ทำไมถึงไม่ให้ความร่วมมือเลยนะ?
อยู่ๆ หน้าของฉินโม่หานก็ถูกคนบีบไว้
เป็นซูสือเยว่
ผู้หญิงคนนี้บีบหน้าของเขาไว้อย่างโหดแล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉินโม่หานนายนี่ช่างกล้าจริงๆ กล้าโกหกฉันแล้ว”
ฉินโม่หานจ้องมือของซูสือเยว่ไว้อย่างไม่ชัดเจน คิดในใจว่าช่วงนี้คุณซูจะมีความกล้ามากขึ้นแล้ว กล้าบีบหน้าของเขาต่อหน้าทุกคนแบบนี้ ดูเหมือนเขาจะตามใจเธอมากเกินไป
ซูสือเยว่ถูกสายตาของฉินโม่หานจ้องจนรู้สึกผิด รีบดึงมือกลับไป
“มอง…….มองอะไร?ฉันเป็นถรรยานาย บีบหน้านายไม่ได้หรอ?”
ฉินโม่หานยิ้มแล้วตอบว่า “บีบเลย แล้วต่เธอจะบีบ”
ซูสือเยว่ “หึ” ทีหนึ่งแล้วมองไปทางซิงกวง “ลูกรัก ลูกบอกหม่ามี๊สิ ตกลงแด๊ดดี้เป็นยังไงบ้าง?”
“เป็นแผลยาวประมาณนี้บนฝ่ามือ”
ซิงกวงทำท่าทาง น้ำเสียงเรียบง่าย “ลึกอยู่นะ คุณอาไป๋บอกว่าต้องหนึ่งอาทิตย์กว่าแผลจะเป็นสเก็ด”
ซูสือเยว่เป็นห่วงมาก จ้องฉินโม่หานอย่างโกรธ
“ทำไมนายไม่รู้จักปกป้องตัวเองดีๆ ?ข้างกายมีคนเยอะขนาดนี้ เป็นของโชว์ของนายหรอ?ฉินหนานเซิงไม่เป็นอะไร แต่นายกลับทำให้ตัวเองบาดเจ็บซะอย่างนั้น!”
ฉินหนานเซิงที่ถอนหายใจอยู่ข้างๆ “?”
ไม่ใช่ พวกแกจะแสดงความรักต่อหน้าฉันก็ช่างเถอะ แต่ตอนนั้นกลับมาโทษว่าฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ?
คนที่ไม่มีภรรยาต้องแบกรับความรู้สึกแบบนี้ พวกนายจะรังแกคนมากเกินไปรึเปล่า!
“อาสะใภ้เล็ก อาเล็กบาดเจ็บเพราะช่วยฉัน คุณไม่ต้องโทษเขาแล้ว”
ในใจของฉินหนานเซิงไม่พอใจหนักมาก แต่ความจริงแล้วไม่กล้าพูดอะไรเลย
ช่วงนี้อาสะใภ้เล็กของเขากล้าหาญมาก ตัวเองก็เจ็บขาอยู่ ถ้าสู้ขึ้นมาต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอแน่
ซูสือเยว่เขม็งตาใส่เขาทีหนึ่ง “เป็นความผิดของนายอยู่แล้ว!”
ฉินหนานเซิง “??”
“ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้นายเข้าใจผิดว่าเยี่ยนเยี่ยนเป็นฝ่ายตรงข้าม จนทำให้เยี่ยนเยี่ยนผิดหวังต่อนายมาก พวกนายก็ไม่มีทางหย่ากัน!”
“ถ้าพวกนายไม่หย่า หรงหลินไม่มีทางหาช่องโหว่เจอแล้วแทรกเข้ามา”
“ถ้าไม่มีการต่อกรของหรงหลิน เยี่ยนเยี่ยนก็ไม่มีทางประสบเรื่องพวกนี้ ท่านชายเองก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ!”
“นายพูดสิ พวกนี้เป็นความผิดของนายรึเปล่า?”
ซูสือเยว่บ่นติดต่อกัน ทำให้ฉินโม่หานเงยหัวไม่ขึ้นเลย
“เป็นความผิดของผมเอง”
“ผมผิดต่อเยี่ยนเยี่ยน ผิดต่ออาเล็ก”
“ผมเป็นคนบาป ไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยนเยี่ยนไม่สนใจผม แต่กลับไปเป็นห่วงหรงหลินสารเลวนั้น!”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าทำจะรับผิดชอบได้เร็วขนาดนี้
เมื่อก่อนฉินหนานเซิงไม่ใช่ว่าหยิ่งมากหรอ?
ฉินโม่หานจับมือของซูสือเยว่ แล้วส่งสายตาให้เธอ
ซูสือเยว่เข้าใจ ไม่ไปแทงใจดำของฉินหนานเซิงต่อ เป็นห่วงมือของฉินโม่หานเสร็จ ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าจะถามเรื่องเมื่อกี้
“ทำไมอยู่ๆ แผนถึงเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าจะยื้อเวลา รอจนกว่าการผ่าตัดเสร็จแล้วค่อยเผยตำแหน่งไม่ใช่หรอ?”
ฉินโม่หานบอกเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นให้เธอทั้งหมด รวมถึงการหักหลังของบอดี้การ์ดคนนั้นด้วย
“หรงหลินทำไมถึงได้บ้าคลั่งขนาดนี้ ยังลักพาตัวเด็กไปข่มขู่!”
“แล้วพวกเราทำยังไง หรือว่าจะทิ้งไว้ไม่สนแล้ว?”
ถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดคนนั้นจะน่ารังเกียจ แต่ว่าเด็กอายุ 3 ขวบนั้นเป็นผู้บริสูทธิ์นะ
ฉินโม่หานได้สั่งให้คนไปช่วยเด็กคนนั้นนานแล้ว ใกล้จะมีข่าวแล้ว รีบปลอบซูสือเยว่
ได้ยินว่ามีคนไปช่วยแล้ว ซูสือเยว่ถึงจะวางใจ
“กันไม่ให้หรงหลินสร้างปัญหาอีก พวกเราได้เลื่อนการผ่าตัดก่อนเวลา เหลืออีก 2 ชั่วโมง การผ่าตัดก็จะเริ่มแล้ว เธอจะลงไปดูลั่วเยี่ยนและแม่ของเธอหน่อยไหม?”
ซูสือเยว่พยักหน้า มองฉินโม่หานแล้วน่าสงสารจริงๆ ก็เลยพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นนายอยู่เป็นเพื่อนเขาละกัน ฉันไปหาลั่วเยี่ยนเอง”
ฉินโม่หานส่ายหน้า “พวกเราไปด้วยกัน”
“แต่ว่า…….”
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นยอมตามสนอง ต้องให้เขาลองโดนแบบนี้บ้าง”
ฉินโม่หานทิ้งคำพูดนี้ไว้ว่าเย็นชา จากนั้นก็พาซูสือเยว่และลูกๆ ลงไปชั้นล่าง
ระหว่างที่ลงไป ยังนึกขึ้นมาถามว่า “ฟู๋เชียนเชียนล่ะ?”
“ถูกจี้หนานเฟิงเรียกไปแล้ว”
การคบกันของสองคนนี้ก็มีปัญหาเหมือนกัน ถ้ายังไม่คุยกันดีๆ คาดว่าจะเป็นคู่แค้นกันอีกคู่แล้ว
แค่ว่าซูสือเยว่ช่วงนี้ไม่มีเวลาไปสนใจพวกเขา รอให้เรื่องของลั่วเยี่ยนผ่านไปแล้วค่อยพูดดีกว่า
“เฮ้อ ทำไมรอบตัวฉันถึงมีแต่คนโง่นะ?”
ซูสือเยว่พูด เธอและฉินโม่หานดีที่สุดแล้ว
เข้าใจซึ่งกันและกัน มีความอดทนให้กัน
ฟังที่เธอพูดแล้ว ฉินโม่หานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ซิงเฉิน “หม่ามี๊ หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ก็ผ่านเรื่องต่างๆ มามากมายแล้วถึงอยู่ด้วยกัน”
ซูสือเยว่ก้มหน้ามองลูกชายของตัวเอง สีหน้าเคร่งเครียดมาก
จริงด้วย เธอและฉินโม่หานนั้นพลาดกันไปตั้ง 5 ปี ต่อมาถึงได้อยู่ด้วยกัน
ระหว่างที่พูด ก็มาถึงห้องที่คุณแม่ลั่วอยู่
ซูสือเยว่เดินขึ้นไปเคาะประตู ลั่วเยี่ยนเห็นว่าเป็นเธอ ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป พุ่งเข้าไปร้องไห้ในอ้อมกอดของเธอ
“สือเยว่ ฉัน………”
“เอาละ เอาละ ไม่ต้องเศร้าแล้ว พวกเราไปคุยกันข้างๆ ดีกว่า”
ให้ฉินโม่หานอยู่ในห้องคุยกับคุณแม่ลั่ว ส่วนซูสือเยว่ก็ได้พาลั่วเยี่ยนไปคุยกันเองที่ระเบียงทางเดิน
การกั้นเสียงของห้องผู้ป่วยที่นี่ทำได้ดีมาก ถ้าไม่ได้เสียงดังเกินไป คนในห้องไม่มีใครได้ยินที่พวกเธอคุยกัน
“หรงหลินไม่ใช่คนดี”
ซูสือเยว่เช็ดน้ำตาให้ลั่วเยี่ยนอย่างสงสาร “ฉันรู้”
“เมื่อกี้ฉันพึ่งเปิดเครื่องโทรศัพท์ใหม่ หรงหลินก็โทรมาหาฉันเลย ถามอ้อมค้อมว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน”
“ตอนนี้ฉันถึงคิดเข้าใจว่า เขาจะเรียกคนมาทำลายการผ่าตัดของแม่ฉันใช่ไหม?”
ต่อหน้าการถามของลั่วเยี่ยน ซูสือเยว่ไม่อยากบอกคำตอบให้เธอทันที
น้ำตาของลั่วเยี่ยนไหลไม่หยุด ร้องไห้ไปสักพักถึงจะควบคุมอารมณ์ไว้ได้
“ยังมีอีกเรื่อง สือเยว่เธอบอกฉัน อาสาสมัครที่จะบริจาคไตให้แม่ของฉัน สรุปใช่ฉินหนานเซิงไหม?”
ซูสือเยว่ “…….”
ลั่วเยี่ยนรู้ได้ยังไง มีใครบอกความจริงกับเธอหรอ?
ร่องรายการตื่นตระหนกก็ได้แวบเข้าไปในตา ซูสือเยว่ตอนที่ซูสือเยว่ยังลังเลอยู่ว่าจะบอกความจริงให้ลั่วเยี่ยนดีไหม มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นในทางระเบียงของโรงพยาบาล ควบคู่กับเสียงร้องที่เป็นน้ำเสียงร้องไห้
ซูสือเยว่รู้สึกไม่ดีแล้ว