ซูสือเยว่ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป: “ลั่วเยียนตอบรับคุณแล้ว ยังไม่รีบสวมแหวนให้เธออีก!”
ฉินหนานเซิงคนนี้ โง่ได้นานถึงขนาดนี้เลย
ฉินโม่หานเห็นผู้หญิงตัวเล็กข้างกายอารมณ์ตื่นเต้น ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มทุกหนทุกแห่ง
“คุณจะตื่นเต้นอะไรขนาดนี้?”
ซูสือเยว่: “โชคดีนะที่เขาไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของพวกซิงหยุน”
“หือ?”
“ฉันสงสัยว่ายีนของตระกูลฉินมีปัญหาเล็กน้อย”
พูดจบ ยังกวาดตามองอย่างสบประมาทไปที่เฉิงลู่ที่ถูกบอดี้การ์ดกดไว้อยู่ด้านข้าง ความหมายแฝงเต็มไปด้วยการเสียดสีเหน็บแนมไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน
ฉินโม่หานยิ้ม ดึงมือของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม: “วางใจได้ ด้วยยีนของคุณและผม ซิงหยุนซิงเฉินหลังจากนี้ไม่มีทางที่จะหาลูกสะใภ้ไม่ได้อย่างแน่นอน”
ซูสือเยว่คิดถึงคำพูดของลั่วเยียนที่เคยพูดเมื่อก่อนได้ ซิงเฉินเด็กขนาดนี้ยังถูกจองเป็นลูกเขยแล้ว โตมาไม่ขาดภรรยาอย่างแน่นอน
เธอค่อนข้างภูมิใจ มุมปากยกขึ้น
แต่พอกลับมาคิด ก็ไม่ค่อยถูกใจเล็กน้อย
ลูกสาวของลั่วเยียน ไม่ใช่เป็นลูกสาวของฉินหนานเซิงอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าอย่างนั้นจะสืบทอดยีนของฉินหนานเซิงหรือเปล่านะ
ฉินโม่หานมองสีหน้าภรรยาของเขาที่แปรปรวนไม่หยุดภายในหนึ่งนาที รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะสังเกตมองเธอ
ในที่สุดฉินหนานเซิงก็ได้สติจากคำเตือนของซูสือเยว่ กำกล่องแหวนที่อยู่ในฝ่ามือแน่น
เขาถามอย่างตื่นเต้น: “เยียนเยียน คุณตอบตกลงกับผมจริงหรือเปล่า?”
ถูกจับจ้องจากผู้คนมากมาย ลั่วเยียนค่อนข้างรู้สึกเกรงใจ ฟังคำพูดของฉินหนานเซิง ดึงมือกลับมาทันที
“คุณเสียใจอย่างนั้นเหรอ? งั้นก็ช่างเถอะ”
“ไม่ไม่!”
“ผมไม่ได้เสียใจ! ผมดีใจมากจนตั้งสติไม่ทัน!”
ฉินหนานเซิงรีบดึงมือเธอไว้ ดวงตาแดงก่ำอย่างรวดเร็ว
รีบเร่งหยิบแหวนออกมาสวมนิ้วนางของลั่วเยียน ให้คนติดกับก่อนแล้วค่อยพูด
กลัวว่าลั่วเยียนจะเปลี่ยนใจ
หลังจากที่แหวนถูกสวมแล้ว ขนตาของลั่วเยียนสั่นเบาๆ ขณะนี้ก็มีความตื่นเต้นอยู่บ้างเหมือนกัน
ฉินหนานเซิงเห็นแบบนั้นก็รีบโอบกอดคนเข้ามาอ้อมแขน เสียงปรบมือดังขึ้นทันทีทั่วทั้งสถานที่
เฉิงลู่ที่อยู่ด้านข้างนั้นอยากจะละสายตาออกไป เธอฝันก็ยังไม่เคยคิดว่าเค้าโครงละครจะพัฒนามาถึงฉากนี้ได้
เธอนั้นอยากจะออกไปยับยั้ง แต่ว่าบอดี้การ์ดนั้นไม่ให้โอกาสเธอเลย
ส่งสายตาให้สัญญาณของฉินโม่หาน บอดี้การ์ดก็รีบลากเฉิงลู่ออกไป ประสิทธิภาพการปฏิบัติการนั้นยอดเยี่ยม
ไม่มีคนที่ขวางหูขวางตามาก่อกวน บรรยากาศในบริเวณนั้นดีมาก พวกนั่งข่าวที่ตาต่อตาฟันต่อฟันเมื่อกี้นี้ส่งคำอวยพรให้อย่างท่วมท้น และยังมีคนไม่น้อยที่หยอกล้อทั้งสองคน คาดไม่ถึงว่าฉินหนานเซิงเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ซูสือเยว่เองก็ดีใจกับลั่วเยียนด้วยเหมือนกัน ลั่วเยียนและฉินหนานเซิงทั้งสองคนนั้นเดินทางผ่านอะไรกันมามากมาย พอตอนนี้ สดใสเหมือนฟ้าหลังฝน ช่างดีจริงๆ
ซูสือเยว่อยากจะร้องไห้ อยากจะไปอยู่ข้างตัวของลั่วเยียนอวยพรให้กับเธอ
เวลานี้เอง หางตาแอบเหลือบเห็นเงาของคนหนึ่ง
ในมือของคนนั้นถือมีด ปะปนอยู่ในกลุ่มนักข่าวที่ส่งคำอวยพร เบียดเข้าไปทางลั่วเยียนและฉินหนานเซิง
ตัวของซูสือเยว่สั่นสะท้าย สายตามองคนนั้นที่ต้องการใช้จังหวะนี้ลงมือกับฉินหนานเซิง รีบร้อนเหวี่ยงมือของฉินโม่หานออก หมุนตัวพุ่งไปถีบ เหยียบคนนั้นคว่ำลงกับพื้น
ตอนนี้ฉินโม่หานเองก็ตอบสนองขึ้นมาเหมือนกัน สั่งให้บอดี้การ์ดไปด้านหน้าทันที
คนที่แต่งตัวเป็นนักข่าวคนนั้นรู้ว่าตัวเองถูกเปิดโปงแล้ว จึงชักมีดและฟันไปที่นักข่าวผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ข้างๆสองคนจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นใช้ประโยชน์จากความโกลาหลนี้ ผลักฝูงชนวิ่งพุ่งหนีไป
บอดี้การ์ดรีบตามไปทันที ฉินโม่หานสั่งลูกน้องส่งผู้ได้รับบาดเจ็บไปทำแผล
“อพยพฝูงชน ไป๋เฉิงส่งหนานเซิงและลั่วเยียนกลับห้องผู้ป่วย”
“ส่งคนไปคุ้มกันที่ชั้นสองนี้ให้ฉัน นอกจากพวกเราแล้ว คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ทุกกรณี!”
“รับทราบ!”
พวกบอดี้การ์ดปฏิบัติการได้อย่างดีเลิศ ควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
คนอื่นรวมทั้งลั่วเยียนและฉินหนานเซิงถูกย้ายมาที่ห้องผู้ป่วยของคุณแม่ลั่ว
คุณแม่ลั่วเห็นพวกเขาเข้ามา ตื่นเต้นจนลุกขึ้นมานั่งทันที: “เยียนเยียน พวกลูกไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่า?”
คุณแม่ลั่วและลูกๆทั้งสามคนนั้นอยู่ในห้องผู้ป่วยตลอดไม่ได้ปรากฏตัว มีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ที่ประตู ดังนั้นเมื่อสักครู้เลยไม่โดนคุกคาม
แต่ว่าเสียงอีกทึกเมื่อสักครู่ดังเข้ามา คุณแม่ลั่วรู้ว่ามีคนมาก่อความวุ่นวาย ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลเป็นพิเศษ
โชคดีที่คุณชายน้อยซิงหยุนนั้นเก่งมากจริงๆ เขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดตรงระเบียงของโรงพยาบาล ทำให้พวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
“แม่ ฉันไม่เป็นไร คุณละ?”
คุณแม่ลั่วส่ายหน้า เห็นบนมือลั่วเยียนสวมแหวนอยู่ ท้ายที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเงียบๆ
ถึงแม้ว่าจะกังวลอยู่บ้าง แต่ว่านี่ก็เป็นลั่วเยียนเป็นคนเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง เธอในฐานะแม่ทำได้เพียงอวยพรให้เธอเท่านั้น
โชคดีที่ฉินหนานเซิงในครั้งนี้เหมือนว่าจะตาสว่างแล้วจริงๆ เมื่อตะกี้คำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดต่อหน้านักข่าวนั้นช่างจริงใจเป็นอย่างมาก
“หนานเซิง คุณมานี่หน่อยซิ”
คุณแม่ลั่วโบกมือเรียกฉินหนานเซิง
หลังจากเกิดเรื่องโกลาหลฉินหนานเซิงถูกลั่วเยียนประคองมานั่งบนรถเข็น ตอนนี้ก็เลยถูกคนเข็นเข้ามาใกล้คุณแม่ลั่ว
“เด็กดี คำพูดที่คุณพูดเมื่อสักครู่นั้นฉันได้ยินหมดแล้ว”
“คุณพูดว่าคุณสามารถดูแลเยียนเยียนได้ ปกป้องไม่ให้เธอโดนทำร้าย ฉันจะเชื่อคุณอีกสักครั้ง”
“หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง และอย่าให้เยียนเยียนได้รับบาดเจ็บอีก”
“เธอเป็นเด็กโง่คนหนึ่ง เป็นคนที่ซื่อตรงเป็นอย่างมาก ใครทำดีกับเธอ เธอจะทุ่มเทตอบแทนกลับไปเป็นร้อยเท่าด้วยใจจริง”
“ถ้าหากว่าคุณกล้าทำร้ายเธออีก ฉัน……”
คุณแม่ลั่วกุมมือของฉินหนานเซิงไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำ สายตาเหี้ยมโหด
คนที่ซื่อสัตย์และอัธยาศัยดีอย่างเธอ ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยที่จะแสดงความเป็นศัตรูชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
“ถึงฉันจะกลายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยคุณไป!”
“ส่วนเรื่องบริจาคไต ก็ช่างมันเถอะ”
ก่อนหน้าที่คุณแม่ลั่วจะพูดคำพูดเหล่านั้นจบ ฉินหนานเซิงไม่หยุดพยักหน้า จนกระทั่งประโยคสุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน
“แม่ยาย คุณ……”
“แม่!”ลั่วเยียนเองก็ตื่นตระหนกจนกุมมือของเธอเอาไว้ “คุณพูดส่งเดชอะไรกัน ทำไมจะต้องช่างมันด้วย”
ก่อนหน้านี้คุณหมอเองก็พูดไว้เหมือนกัน การเข้ากันได้ในครั้งนี้นั้นอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณแม่ลั่ว
คุณแม่ลั่วส่ายหน้า น้ำตาไหลลงมาอย่างช้าๆ
“พอเห็นลูกกับหนานเซิงเดินไปด้วยกัน แม่ก็รู้สึกพอใจแล้ว”
“ร่างกายนี้ของฉัน ถึงหลังจากนี้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ ก็น่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว”
“เยียนเยียน ในเมื่อเลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับหนานเซิง ถ้าอย่างนั้นความรู้สึกของครอบครัวเขาลูกเองก็ต้องไตร่ตรองเช่นเดียวกัน”
“พวกเราไม่สามารถเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้”
แต่ละประโยคที่คุณแม่ลั่วพูดออกมา ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดอึ้งเงียบกันไปหมด
ทุกคนรู้กันดีว่าคนที่คุณแม่ลั่วพูดถึงนั้นคือใคร
เมื่อสักครู่การตอบสนองของเฉิงลู่ดุร้ายรุนแรงขนาดนั้น ก็เป็นเพราะไม่อยากให้ลูกชายของเธอบริจาคไต และไม่อยากให้ลั่วเยียนเข้าประตูตระกูลฉินของพวกเขาอีก
คุณแม่ลั่วรู้เจตนาของลั่วเยียน เป็นธรรมดาที่ไม่อยากจะให้ลูกสาวละทิ้งความสุขที่ไม่ได้มาง่ายๆของเธอ
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ นั่นคือใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับความภาคภูมิใจในตัวเองของลูกสาว
ในอนาคตเธอไม่อยากให้ลูกสาวอยู่ในตระกูลฉิน ถูกคนลอบกัด ไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาตลอดชั่วชีวิต
ลั่วเยียนทนไม่ไหวอีกต่อไปเช่นเดียวกัน นั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้น
ในเวลานี้ ฉินโม่หานรับโทรศัพท์สายหนึ่ง เขาออกไปนอกห้องรับสาย ไม่นานก็กลับเข้ามาภายในห้องผู้ป่วย
ฉินโม่หานเอ่ยปากแนะนำทันที “น้าลั่ว คุณไม่ต้องกังวลมากมายขนาดนั้น ฉันจะไปคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ก่อน ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องเปลี่ยนใจ เชื่อฉันเถอะ”
พูดจบ ทั้งหมดทุกคนก็หันมามองที่เขา ฉินหนานเซิงลังเล เขารู้ดีว่าพ่อแม่ของตัวเองนั้นเป็นคนอย่างไร ในเมื่อพวกเขามาโวยวายที่โรงพยาบาล ก็คงไม่สามารถประนีประนอมได้
ซูสือเยว่มองสามีของตัวเองอย่างตกตะลึง เขาคงจะไม่ใช้กำลังทำให้คนแก่สองคนนั้นยอมจำนนหรอกนะ?
ฉินโม่หานปลอบน้าลั่วอยู่หลายประโยค เรียกคนอื่นที่เหลือออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือฉินหนานเซิง ลั่วเยียยนและยังมีซูสือเยว่ “โม่หาน แท้จริงแล้วคุณมีเรื่องอะไรปิดบังพวกเรากันแน่ คุณรีบพูดออกมาเถอะ!”ซูสือเยว่ค่อนข้างรีบร้อน
ฉินโม่หานไม่มีทางเลือก “ผมอยากจะบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหนานเซิง”
ฉินหนานเซิงสีหน้าเปลี่ยน “เรื่องอะไร?”
ฉินโม่หาน: “พ่อของคุณฉินเจี้ยนอานมีลูกสาวนอกสมรส ชื่อว่าฉินเสว่หุ้ยถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมา ฉันมั่นใจว่าแม่ของคุณจะยินยอมให้คุณบริจาคไต”
ทุกคนตื่นตะลึง