บทที่ 45ซูสือเยว่ เธอสกปรกหรือเปล่า
ซูสือเยว่นิ่งอึ้งไปแล้ว
ตลอดทางที่กลับมาจากสตูดิโอภาพยนตร์ สองประโยคนั้นของฉินโม่หานได้ดังก้องอยู่ในหูของเธอ:
“ในสายตาของพวกเขา เธอก็เป็นแค่คนอ่อนแอที่จะรังแกอย่างไรก็ได้”
“ถ้าต่อไปไม่อยากถูกรังแก ไม่อยากถูกคิดวางแผนร้ายอีก ก็ต้องพยายาม ยิ่งใหญ่แล้วเหยียบพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า”
เหยียบพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า……
เธอปิดเปลือกตาลง มือทั้งสองข้างที่อยู่ข้างลำตัวแอบกำแน่น
ดูเหมือนว่าเธอจะมีแค่ทางนี้ให้เดินเสียแล้ว
ครั้งนี้ฉินโม่หานช่วยเหลือเธอและจัดการปัญหาให้เธอ
แล้วครั้งหน้าล่ะ?
ครั้งต่อๆ ไปล่ะ?
ขอแค่เธอยังอยู่ในวงการนี้ต่อไป ก็อย่าที่จะหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากับสองคนนี้หรือยุติการติดต่อได้
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่สู้……
เหมือนอย่างที่ฉินโม่หานบอกไว้อย่างนั้น เหยียบพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า!
ในขณะที่คิดอย่างนี้ รถก็ได้มาจอดอยู่ที่ประตูใหญ่ของวิลล่าตระกูลฉิน
ในตอนที่ขึ้นไปชั้นบนนั้น เธอก็เห็นว่าซิงเฉินกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วออกมาจากห้องเธอ
เด็กน้อยหมุนกายไป ก็เจอเข้ากับสายตาที่สืบเสาะของซูสือเยว่เข้าพอดี
เขาตกใจสะดุ้งโหยง แล้วเอ่ยทักทายเธอไปด้วย พร้อมกับแอบขยับไปทางห้องหนังสือเล็ก “เช้าขนาดนี้เลย?”
“อืม”
ซูสือเยว่ขวางทางเขาเอาไว้ “ลูกเข้าไปในห้องของหม่ามี้ทำไม?”
“เปล่าครับ” ซิงเฉินทำปากยื่น ก่อนจะหันไปมองที่บันไดแวบหนึ่ง “แด๊ดดี้”
ซูสือเยว่ขมวดคิ้ว ฉินโม่หานบอกว่าจะไปที่บริษัทไม่ใช่เหรอ?
เธอหันไปมองโดยรู้ตัว ทว่าตรงบันไดนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่คนเดียว
“ตุบ!”
มีเสียงปิดประตูห้องหนังสือเล็กดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
พอหันกลับไปมองดูอีกที ก็ไม่เห็นร่างของเด็กน้อยเสียแล้ว
ซูสือเยว่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะก้าวเท้ากลับเข้าห้องไป
บนโต๊ะทำงานในห้องของเธอ มีหนังสือวางกองซ้อนกันสูง ๆ อยู่สองกอง
แท้แท้ซิงเฉินเพิ่งจะทำลับ ๆ ล่อ ๆ เมื่อกี้ ก็เพราะกำลังเอาหนังสือมาส่งที่ห้องของเธออย่างนั้นเหรอ?
หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไป พลิกดูหนังสือทีละเล่ม
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหนังสือที่ใช้สำหรับการแสดง เพื่อเพิ่มทักษะการแสดง มีหัวข้อความสำคัญด้านการแสดง ไปจนถึงหนังสือการแสดงเฉพาะทาง
ที่ตรงกลางของหนังสือทั้งสองกองนี้ มีการ์ดอวยพรสีน้ำเงินเรียบง่ายวางอยู่หนึ่งใบ
การ์ดอวยพรมีตัวอักษรที่สวยงามเล็กๆ เขียนเอาไว้ว่า:
“ยินดีกับหม่ามี้ที่ทำตามความฝันสำเร็จ ได้เป็นนักแสดงอย่างแท้จริง
หวังว่าในอนาคตหม่ามี้จะแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
——ลูกรักของคุณซิงหยุน ซิงเฉิน”
ในขณะที่ถือการ์ดอวยพรนั้น ซูสือเยว่ก็พลันรู้สึกอบอุ่นในใจ
เธออยากจะเป็นนักแสดงมาก ด้วยเพราะเหตุสุดวิสัยในวัยเด็ก
ภายหลังจากเหตุสุดวิสัยนั้น ก็มีความคิดที่อยากจะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังและได้ฝังรากลึกอยู่ในหัวของเธอ
เพียงแต่ ต่อมาถึงแม้ว่าเธอจะสอบเข้าสถาบันศิลปะการแสดง แต่ท้ายที่สุดเพื่อเฉิงเซวียนแล้ว ก็ยังทำตามความฝันของตัวเองไม่สำเร็จ
หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลซูหรือว่าเจี่ยนเฉิง ญาติพี่น้องของเธอทุกคน ต่างก็ไม่มีใครสนับสนุนให้เธอเป็นนักแสดง
เธอจึงค่อย ๆ เริ่มชินกับวันเวลาที่เป็นนักแสดงแทนและไม่เคยคาดหวังว่าจะสามารถทำตามความฝันในครั้งแรกได้สำเร็จ
แต่ตอนนี้……
ทว่าซิงหยุนกับซิงเฉินเด็กทั้งสองคนนี้ ถึงแม้ว่าเธอกับพวกเขาจะเพิ่งกลายมาเป็นญาติกันแค่เพียงหนึ่งเดือน แต่เด็กทั้งสองคนนี้กลับมุมานะและลงมือทำด้วยตนเอง สนับสนุนให้เธอเป็นนักแสดง
พอยิ่งคิด ดวงตาก็ยิ่งแสบร้อน
เธอสูดจมูกเบาๆ แล้วพับเก็บการ์ดอวยพร จากนั้นใส่มันลงในกระเป๋าเงิน
สุดท้ายแล้ว เธอก็นำหนังสือพวกนั้นมาแบ่งเป็นแต่ละประเภทแล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งและเริ่มอ่านอย่างตั้งใจ
“พี่ชาย”
ตรงประตูที่เปิดแง้มไว้นั้น ซิงเฉินกำลังมองดูท่าทางอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจของซูสือเยว่“พี่รู้สึกไหมว่าเวลาที่หม่ามี้อ่านหนังสืออยู่ ดูเหมือนกับพี่เลย?”
ซิงเฉินที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือขมวดคิ้วอย่างแผ่วเบา “เหมือนเหรอ?”
“เหมือนสิ”
ซิงเฉินนั่งไขว่ขาและคาบอมยิ้มอยู่ในปาก มองดูซูสือเยว่ที่อยู่ในห้องนอนจากไกลๆ แวบหนึ่ง แล้วมองซิงหยุนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ด้านข้างอย่างตั้งใจแวบหนึ่ง
“ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน”
“เหมือนจริง ๆ นะ”
สักพักหนึ่ง เขากำลังที่คาบอมยิ้มอยู่ จากนั้นยิ้มตาหยีแล้วขยับเข้าไปใกล้หูของซิงหยุน “พี่ชาย พี่ว่า มีความเป็นไปได้ที่หม่ามี้จะเป็นหม่ามี้ผู้ให้กำเนิดของพวกเราหรือเปล่า?”
ซิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “คนตายไม่อาจฟื้นคืนมาได้”
“คุณปู่ผู้ดูแลบอกว่าตอนแรกศพของหม่ามี้ล้วนถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่านสีดำแล้ว แม้แต่ใบหน้าก็ดูได้ไม่ชัดเจน แต่ก็มั่นใจว่านั่นคือหม่ามี้ของพวกเรา”
เมื่อพูดจบแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วกวาดสายตามองดูซูสือเยว่จากไกลๆ แวบหนึ่ง “ฉันก็หวังว่าเธอจะเป็น”
“เพียงแต่พวกเราไม่อาจมีหม่ามี้ผู้ให้กำเนิดได้สองคน”
“เฮ้อ——”
ถึงแม้จะคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะพูดอย่างนี้ แต่อารมณ์ของซิงเฉินก็ยังดำดิ่งอยู่เล็กน้อย “ถ้าหากเธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจริง ๆ ก็คงจะดี”
“ไม่อย่างนั้นละก็ ทุกครั้งที่ทำดีกับเธอขนาดนี้ ผมก็มักจะรู้สึกผิดกับหม่ามี้ผู้ให้กำเนิดอยู่เสมอ”
เขานอนฟุบอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก แล้วถอนหายใจอย่างแรง “ถ้าหม่ามี้ผู้ให้กำเนิดรู้ว่าพวกเรายอมรับคนแปลกหน้าคนหนึ่งได้รวดเร็วขนาดนี้ ทั้งยังเรียกขานว่าหม่ามี้ทุกคำอีก จะโกรธหรือเปล่านะ”
ซิงหยุนขมวดคิ้ว ยกมือเคาะหัวของเขา “หม่ามี้ไม่ได้เหมือนนายนะ ใจแคบ”
ซิงเฉิน “……”
เขาใจแคบเหรอ?
“ให้กำเนิดจริงหรือว่าไม่จริง มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
ซิงหยุนกำลังมองดูท่าทางที่ก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างตั้งใจของซูสือเยว่ “ฉันชอบหม่ามี้แบบเธอคนนี้”
“อีกอย่างเธอก็ดีกับพวกเราเหมือนกัน แค่นี้ก็พอแล้ว”
“น่าเสียดายที่แด๊ดดี้ไม่ชอบเธอ”
ซิงเฉินกำลังขยับนิ้วเล็ก ๆ ของตัวเองไปมา “พี่ชาย พี่ว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไงกันแน่ จะสามารถทำให้แด๊ดดี้ชอบหม่ามี้ได้รึเปล่า?”
ซิงเฉินรู้สึกว่าตัวเองลำบากเกินไปแล้ว
เขาเพิ่งจะอายุแค่ห้าขวบ ต้องมาเป็นห่วงชีวิตรักของแด๊ดดี้ตัวเอง
ซิงหยุนเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง “นายรู้ได้อย่างไรว่าแด๊ดดี้ไม่ชอบเธอ?”
ก่อนหน้านี้เรื่องที่เฉิงเซวียนกับเซี่ยงหวั่นฉิงวางแผนใส่ซูสือเยว่ ถึงแม้ดูเพียงแค่ผิวเผินเขาจะออกโรงในตอนท้าย ทว่าความจริงแล้วคนที่เป็นผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ก็คือฉินโม่หานต่างหาก
วันนั้นแด๊ดดี้ของเขาฉินโม่หานถึงกับเลื่อนการประชุมระดับโลกมาแล้วหลายครั้ง เพื่อมาคุ้มกันซูสือเยว่
สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ ฉินโม่หานในอดีต เป็นแค่คนที่จิตใจจดจ่ออยู่กับกิจการและการทำงานเท่านั้น
สามารถทำให้เขาทิ้งงานแล้วมาเสาะหาเพื่อป้องกันความผิดพลาดด้วยตัวเองนั้น…
จะไม่ชอบจริง ๆ เหรอ?
……
พอถึงเวลาพลบค่ำ ซูสือเยว่ก็ไปซื้อผักที่ตลาด
ซิงหยุนกับซิงเฉินหาหนังสือมาให้เธอ มีหลายเล่มที่หาซื้อในเมืองหรงไม่ได้
พวกเขาเตรียมของขวัญไว้เพื่อเธออย่างนี้ คงจะทุ่มเทความคิดไปไม่น้อย
เด็กน้อยทั้งสองพยายามทำเพื่อเธอขนาดนี้ เธอจะต้องทำของอร่อย ๆ สักหน่อยแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขา
ภายหลังจากซื้อผักที่ตลาดเสร็จ เธอก็เหลือบไปเห็นว่าด้านนอกรถติดเสียจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้ จึงได้ลัดเลาะตรอกซอกซอยไปถนนใกล้ ๆ เพื่อนั่งรถไฟใต้ดิน
เพิ่งจะเดินเข้าไปในซอย กลับมีร่างของคนคนหนึ่งเข้ามาขวางตรงหน้าเธอเอาไว้
ก็คือเซี่ยงหวั่นฉิง
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น หันหลังเดินกลับโดยไม่รู้ตัว ทว่าถนนด้านหลังถูกคนปิดกั้นไว้แล้ว
ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนเป็นคน
ซูสือเยว่ถูกพวกเขาบีบให้อยู่ตรงกลาง
“มีฝีมือมากเลยนี่”
เซี่ยงหวั่นฉิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วเดินเข้าไปกดดันซูสือเยว่ทีละก้าว “ซูสือเยว่ ทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่รู้นะว่าเธอเก่งขนาดนี้?”
“ไม่เพียงแต่จะหาที่เลียแข้งเลียขาแบบนี้ได้เหมือนลั่วเยียน ยังสามารถหัวหน้านักเขียนบทแก้บทละครให้เธอได้อีก”
เมื่อพูดจบแล้ว เธอก็ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ได้ยินมาว่าตอนแรกลั่วเยียนก็อาศัยทำตามกติกาซ่อนเร้นถึงได้คว้าตำแหน่งนักแสดงหญิงอันดับหนึ่งได้”
“แล้วเธอล่ะ สิ่งที่ได้รับในตอนนี้ ได้มาตามกติกาซ่อนเร้นหรือเปล่า?”
“ซูสือเยว่ เธอสกปรกหรือเปล่า?”