ซูสือเยว่ซื้อของที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อไปสวนน้ำพรุ่งนี้ แล้วรีบกลับโรงแรม
“ที่แท้คุณป้าคนสวยก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
บนโซฟาล็อบบี้ของโรงแรม เด็กผู้หญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงผ้าลูกไม้สีขาวดวงตาสดใสเปล่งประกาย
เธอมองด้านหลังของซูสือเยว่ที่ขึ้นลิฟต์ไปอย่างตื่นเต้น “เรามีโชคชะตาร่วมกันค่ะ!”
“คุณคุณอาจี้ หนูไปหาเธอได้ไหมคะ”
จี้หนานเฟิงขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปจับมือเล็กของเธอไว้ “หยุดเล่นได้แล้ว!”
ซิงกวงเงยหน้ามองเขาหน้าหงอยเหมือนจะร้องไห้ “คุณคุณอาจี้…”
“ซิงกวง”
ชายหนุ่มย่อตัวลง สายตาจริงจัง “เธอยังเด็กเกินไป เพราะงั้นจึงมีหลายเหตุผลที่ไม่เข้าใจ”
“จะเอาแต่ใจไม่ได้นะ บางทีคุณป้าคนสวยที่เธอพูดถึงอาจจะมีสามีและลูกแล้วก็ได้เข้าใจไหม”
“งั้นอาก็ต้องไปเป็นมือที่สามแบบนั้นเหรอ”
คำพูดของจี้หนานเฟิงทำให้เด็กน้อยเม้มปากหยุดพูด
“เอาล่ะ เด็กดี”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กของเธอ “ครั้งนี้อามาทำงานพาเธอมาด้วย ไม่ใช่ว่าให้เธอมาเล่นไร้สาระนะ”
“ค่ะ”
ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบใจ แต่เด็กน้อยก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
แต่ทว่า เธอยังแอบใช้รูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของคุณอาจี้สองรูป เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับพี่สาวพนักงานต้อนรับ
คุณป้าคนสวยอยู่ห้อง 2302!
ดังนั้นภายใต้การพูดจาหว่านล้อมของเธอ จี้หนานเฟิงจึงได้จองห้อง 2303
……
เพราะกลางวันหลับในรถมาตลอดทาง พอตกกลางคืน ซูสือเยว่จึงพลิกไปพลิกมาบนเตียงนอนไม่หลับ
สุดท้ายหญิงสาวจึงลุกขึ้น ใส่เสื้อคลุมแล้วเดินไปรับลมตามระเบียงทางเดิน
ระเบียงทางเดินตอนเที่ยงคืนไม่มีคน
ซูสือเยว่ยืนพิงตรงสุดมุมระเบียงทางเดิน ยืนรับลมไปพลางดูข่าวในเมืองบนโทรศัพท์มือถือ
แฟนๆ ของลั่วเยียนประท้วงบนอินเทอร์เน็ต เพราะทีมละคร《รักชั่วนิรันดร์กาล》เปลี่ยนบทชั่วคราว ส่งผลให้เนื้อหาบางส่วนที่ ลั่วเยียนถ่ายทำไว้ก่อนหน้านี้ต้องยกเลิกไป
แฟนๆของเฉิงเซวียนยังคงป่าวประกาศความจิตใจดีงามของเฉิงเซวียนบนอินเทอร์เน็ตไม่หยุดหย่อน และความต่ำช้าไร้ยางอายของเซี่ยงหวั่นฉิง…
ข่าวพวกนี้ทำให้ซูสือเยว่นึกรำคาญ
ตอนที่กำลังจะปิดโทรศัพท์มือถือ พลันมีข่าวหนึ่งดึงดูดความสนใจของเธอ
หัวข้อข่าวคือ “แตกตื่น! จี้หนานเฟิงมีลูกสาวอายุห้าขวบ! ใครกันที่เป็นแม่ของเด็กคนนี้!”
ซูสือเยว่กดเปิด ในรูปเป็นภาพด้านหลังของเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาว
ด้านหลังของเด็กน้อยค่อนข้างคุ้นตา
ซูสือเยว่ส่งภาพข่าวไปให้ฟู๋เชียนเชียน
กลิ่นเลือดลอยคลุ้งเต็มอากาศ
ชายสองคนออกมาจากลิฟต์
ชายในชุดสูทสีดำถูกใครอีกคนประคองอยู่ บนไหล่ของเขามีบาดแผลฉกรรจ์ที่ยังคงมีเลือดไหลซึมไม่หยุด
“คุณนาย…”
ไป๋ลั่วที่กำลังช่วยประคองฉินโม่หานอยู่มองซูสือเยว่ด้วยความตกใจ “ทำไมคุณถึง…”
ฉินโม่หานที่หลับตามาตลอดลืมตาขึ้น
ชายหนุ่มหน้าซีดไม่แสดงสีหน้า “ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีกเหรอ”
ซูสือเยว่นิ่งอึ้ง รีบพุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วแสง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
ก่อนหน้านี้อยู่ไกลเกินไปจนเธอสังเกตไม่พบ กระทั่งเข้ามาใกล้ บาดแผลบนไหล่ของชายหนุ่มลึกมาก
“ไม่มีอะไร”
ฉินโม่หานตบไหล่ของเธอเบาๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้ต้องไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ”
“รีบนอนแต่หัวค่ำเถอะ”
เขาเป็นแบบนี้แล้วเธอจะหลับลงได้อย่างไร
ซูสือเยว่ไม่มีเวลาไปสนใจว่าเพราะอะไรฉินโม่หานถึงมาปรากฏตัวในโรงแรมที่เธอพัก และไม่มีเวลาถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ข้างห้องตัวเอง
หญิงสาวเข้าไปช่วยอีกฝั่งของร่างกายฉินโม่หาน ประคองเข้าห้องไป
บางทีอาการบาดเจ็บอาจจะรุนแรงเกินไป ทันทีที่เข้าประตู ฉินโม่หานก็เอนกายลงบนโซฟาไปทันที แล้วหมดสติไป
“ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลคะ”
ย่อตัวลงนั่งยองหน้าโซฟา ซูสือเยว่ค้นหากล่องยาอย่างใจจดใจจ่อพร้อมกับสอบถาม
“ท่านบอกว่าไปโรงพยาบาลไม่ได้ครับ”
ไป๋ลั่วเอาอ่างน้ำร้อนมาไว้ข้างๆ “คนที่แทงคุณชายกำลังรอข่าวการบาดเจ็บของคุณชายอยู่ครับ”
“ดังนั้นไม่เพียงแต่ไปโรงพยาบาลไม่ได้ ยังต้องแกล้งทำเป็นว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย”
“ถ้าไม่อย่างนั้น จะทำให้คนพวกนั้นได้ใจ”
มือที่กำลังพลิกเปิดผ้าพันแผลอยู่ของซูสือเยว่นิ่งไปเล็กน้อย
“เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ใจ ก็เลยต้องทำตัวเองลำบากแบบนี้เหรอ”
“นี่มันแย่มากเลยไม่ใช่เหรอ”
ไป๋ลั่วเป็นลูกมือให้ซูสือเยว่ไปพลางขมวดคิ้วไปพลาง “คุณชายเป็นแบบนี้เสมอครับ”
“คุณชายบอกว่า ไม่ให้คนพวกนั้นได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด”
เมื่อพูดจบ เขาก็ถอนหายใจแผ่วเบา “คุณนายไม่ต้องเป็นห่วงมากเกินไปนะครับ”
“สำหรับคุณชายแล้ว นี่เป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นครับ”
“คุณคงไม่รู้ เมื่อห้าปีก่อนท่านเขาอยู่ในกองเพลิง…”
ไป๋ลั่วพูดไปครึ่งเดียวก็หยุด
ซูสือเยว่ใช้กรรไกรตัดผ้าบนไหล่ของฉินโม่หาน “ไฟไหม้เมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ห้าปีก่อน…”
ไป๋ลั่วผ่อนลมหายใจยาว สายตาเหมือนจะมองผ่านซูสือเยว่ไปในที่ที่ไกลแสนไกล “คุณชายเกือบจะยืนไม่ได้อีกแล้วตลอดชีวิตครับ”
“เพื่อพยายามช่วยคุณชายน้อยซิงหยุนและคุณชายน้อยซิงหยุนทั้งสองคนออกมาจากกองเพลิง ทำให้ท่านบาดเจ็บสาหัส”
“หลังจากรักษาอยู่เกือบสองปี ในที่สุดก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง…”
มือของซูสือเยว่ที่กำลังทำแผลอยู่หยุดนิ่งไปเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า…
ข่าวลือจากภายนอก ไม่ได้เท็จไปทั้งหมด
อย่างน้อยก็เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อห้าปีที่ก่อนกับฉินโม่หานจริง และก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ…
“เขาเองก็ลำบากมามากนะ”
หญิงสาวถอนใจ ใส่ยาให้เขาอย่างอ่อนโยนมาก “แต่ก็ยังดี ที่เขาช่วยซิงหยุนกับซิงเฉินมาได้”
“แต่น่าเสียดายที่ช่วยคุณแม่ของคุณชายน้อยทั้งสองไว้ไม่ได้”
ไป๋ลั่วส่ายหน้า แล้วหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป
มือของซูสือเยว่นิ่งไปเล็กน้อย
แม่ของซิงหยุนกับซิงเฉิน…เสียชีวิตในกองเพลิงนั่นเหรอ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพวกเขาไม่เคยพูดถึงมันต่อหน้าเธอ
เธอใส่ยาให้เขาเงียบๆ จนเสร็จ แล้วพันแผลไปอีกทบ
ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของไป๋ลั่ว หญิงสาวทำการย้ายเขาจากโซฟาไปที่เตียงใหญ่
ค่ำคืนยิ่งดึกขึ้นเรื่อยๆ
เธอนั่งอยู่ข้างเตียง จ้องมองใบหน้าเย็นชาของเขาเงียบๆ
ดูเหมือนว่าตั้งแต่รู้จักกันมานาน ทุกครั้งเขาจะคอยดูแลเธอ คอยปกป้องเธอ คอยช่วยเหลือเธอ
เหมือนเธอจะไม่เคยช่วยอะไรเขาเลย และไม่เคยเข้าใจผู้ชายคนนี้จริงๆ
ซูสือเยว่ไม่มีทางจินตนาการถึงสถานการณ์ในกองเพลิงเมื่อห้าปีก่อนได้ เขาสูญเสียคนรัก เกือบต้องสูญเสียลูกทั้งสองคน ร่างกายเจ็บปวดแสนสาหัสจากการถูกไฟแผดเผา
ไป๋ลั่วบอกว่า หลังจากไฟไหม้เมื่อห้าปีก่อน เขาก็เงียบไปนานมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กทั้งสองคนค่อยๆ โตขึ้น เขาก็คงจะไม่มีวันรู้สึกดีขึ้นได้
แค่ฟัง เธอก็รู้สึกเศร้าใจแล้ว
ไป๋ลั่วยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บ ก็จะอดทนเก็บเอาไว้เองแบบนี้
ไม่บ่นกับใคร ทนแบกทุกสิ่งไว้เงียบๆ คนเดียว
เว้นแต่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะแบกมันไว้กับตัวตลอดไป
ซูสือเยว่ยื่นมือออกไป ค่อยๆ วาดเส้นโครงร่างบนใบหน้าของเขา
ฉินโม่หาน…ที่จริงเขาก็โดดเดี่ยวมากเลยใช่ไหม
คนอื่นรู้เพียงว่าฉินโม่หานหยิ่งผยอง ทะนงในศักดิ์ศรี เย็นชา
แต่ความจริงแล้วเขาเองก็เจ็บปวด มีอดีตที่ไม่อยากพูดถึงเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
แทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ เธอยื่นมือออกไปจับมือเขา
“ฉินโม่หาน”
“ต่อจากนี้คุณมีฉันแล้ว”
“ไม่จำเป็นต้องทนลำบากขนาดนั้นอีกแล้ว”