สาวนักฆ่าคร่ำครวญอยู่บนพื้น
ฉินโม่หานเก็บปืนพกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก จากนั้นก็หันไปมองซูสือเยว่ที่พิงกำแพงอย่างเหม่อลอย “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่…ไม่เป็นไร”
ซูสือเยว่ที่ตกใจอยู่ก็ดึงสติกลับมา ใบหน้าซีดขาวตอบรับด้วยการพยักหน้า
แม้ว่าเธอจะเห็นปืนพกตอนอยู่ในกองละครอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่เธอเห็นปืนพกของจริงนั้น คือครั้งแรกของเธอ
ไม่กี่นาทีก่อน ฉินโม่หานใช้ปืนพกนี้ยิงสาวนักฆ่า
กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งในอากาศและเลือดสดที่เลอะเต็มพื้น ทำให้เธอขาอ่อนแรง
“ไม่เป็นไรจริงๆหรอ?”
“ไม่เป็นไร…จริงๆ”
เขาหันหลังและเดินไปทางประตู
ในตอนที่เขาเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว ก็รู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ได้เดินตามมาด้วย
เขาจึงขมวดคิ้วและหันกลับไป “ไม่ไปหรอ?”
ซูสือเยว่กัดริมฝีปากพลางเอ่ยปากพูด “ฉัน…”
เธอขาอ่อนแรงจนเดินไม่ไหว
เมื่อเขาเห็นท่าทีที่พูดตะกุกตะกักของเธอ จึงยิ้มมุมปากและพอจะเดาออกถึงสาเหตุที่เธอไม่ไปสักที
เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา จากนั้นเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปและอุ้มตัวเธอขึ้นมา
ซูสือเยว่เม้มปาก พลางก้มหน้าด้วยความเขินอายเล็กน้อยอยู่ในอ้อมอกเขา และปล่อยให้เขาอุ้มเธอออกไปด้านนอก
การซบลงที่อกเขา ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงอัตราการหายใจและจังหวะการเต้นของหัวใจของเขา
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่ออย่างไร้สาเหตุ
“สือเยว่!”
ฟู๋เชียนเชียนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำก็รีบวิ่งแจ้นมา “สือเยว่ เธอโอเคไหม?”
ซูสือเยว่เม้มปาก พลางเงยหน้าไปมองฟู๋เชียนเชียนและส่งยิ้มให้เธอ “ฉันโอเค”
เพียงแต่ขาอ่อนแรงเท่านั้น
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…”
ฟู๋เชียนเชียนก้มหัวและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันทำได้แค่โทรหาพ่อแม่ รายงานท่านว่าสบายดี ส่วนเธอก็…”
พูดจบ ฟู๋เชียนเชียนก็แหงนหน้ามองฉินโม่หาน “ท่านชายฉิน จัดการผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วหรอคะ?”
เขาตอบอืมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ จากนั้นเดินออกไปพร้อมกับซูสือเยว่ที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา “เธอขวัญเสีย ฉันจะพาเธอกลับไปก่อน”
ฟู๋เชียนเชียนตกใจกลัว จึงรีบเดินตามพวกเขาไป “แล้วฉันล่ะ !”
ฉินโม่หานไม่ได้หันกลับไปมอง “ผู้ช่วยฉันจะส่งเธอกลับไป”
สิ้นเสียงของเขา ไป๋ลั่วก็ยืนอยู่ตรงหน้าของฟู๋เชียนเชียนแล้ว พร้อมทำไม้ทำมือเรียนเชิญเธอไปที่รถ “คุณฟู๋ ไปกันเถอะครับ”
ฟู๋เชียนเชียนเม้มปาก พลางเหลือบมองไปยังทิศทางที่ฉินโม่หานกำลังจะจากไปพร้อมกับซูสือเยว่ที่อยู่ในอ้อมอกเขา “พวกเราขับรถไป แล้วพวกเขา…”
ไป๋ลั่วยิ้มกริ่ม “ นานๆทีคุณชายจะมีเวลาอุ้มคุณนายและพาไปเดินเล่น ทำไมพวกเราจะต้องไปรบกวนพวกเขาด้วยล่ะ…?”
ในตอนนี้เองฟู๋เชียนเชียนก็ถึงบางอ้อ
ที่ฉินโม่หานบอกว่าจะส่งซูสือเยว่กลับโรงแรมนั้น เป็นจุดประสงค์จอมปลอม แต่อยากอุ้มเธอนานๆต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริงสินะ?
ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ เธอจึงแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ “ดูท่าแล้ว คุณชายฉินให้ความสำคัญกับสือเยว่ของเราไม่น้อยเลยนะเนี่ย!”
“แน่นอน คุณนายเป็นผู้หญิงคนแรกที่คุณชายเราใส่ใจเป็นพิเศษ”
ฟู๋เชียนเชียนเหลือบตามองเขา “เหลวไหล”
“ถ้าสือเยว่เป็นที่หนึ่ง แล้วซิงหยุนกับแม่ของซิงเฉินล่ะ?”
ไป๋ลั่วงงงัน พลางก้มหน้าก้มตา
ผู้หญิงคนนั้น…
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วคุณชายรู้สึกกับผู้หญิงคนนั้นอย่างไร
……
ลมทะเลยามราตรีพัดพาความเย็นสบายให้กับผู้คนบนชายหาด
ฉินโม่หานโอบอุ้มซูสือเยว่และเดินอยู่บนริมหาดอย่างเชื่องช้า
“ฉันนึกว่าฉันถ่ายละครที่สตูดิโอภาพยนตร์มาก็หลายปีแล้ว จะเห็นโลกกว้างแล้วซะอีก”
เขาเดินไปและพูดไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ฉันว่า ฉันประเมินเธอสูงไป”
ซูสือเยว่ : “…”
เธอที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ได้กลิ่นของชายที่เธอคุ้นเคยดี จากนั้นซูสือเยว่ก็แอบเม้มปาก “ที่เห็นในกองละครเป็นของปลอมทั้งนั้น”
ทว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ เป็นของจริง!”
ร่างกายของฉินโม่หานชะงักไปเล็กน้อย
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “กลัวเหรอ?”
น้ำเสียงที่ซูสือเยว่ได้ยินนี้ นับว่าเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาจากปากเขา
เธอเอาหัวซุกในอ้อมอกเขา พลางพูดงึมงัม “กลัวนิดหน่อย”
“ในอนาคตต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกเยอะนะ”
เขาผ่อนลมหายใจ สายตาทอดยาวไปที่ไกลๆ “ซูสือเยว่ ก่อนที่จะแต่งงานกัน ฉันนึกว่าเธอจะรู้เรื่องราวของฉันดีซะอีก”
แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว เธอยังไม่เข้าใจเขาดี
เธอเม้มปาก พลางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เป็นประกาย และก็ไม่ได้พูดอะไร
ฉินโม่หานส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “คู่แข่งของฉัน ไม่ได้มีแค่คนจากบริษัทคู่แข่ง แต่ยังรวมไปถึงคนในตระกูลฉินที่ต้องการแย่งชิงสิทธิ์การสืบทอดมรดก”
“ห้าปีที่ผ่านมา คู่แข่งไม่เคยหยุดเล่นงานฉัน”
“เหตุการณ์แบบวันนี้ มักจะเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยครั้ง”
เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอันทุ้มต่ำ “ซูสือเยว่ ถ้าหย่าตอนนี้ยังทันนะ”
ซูสือเยว่มองไปที่เขา
แสงจันทร์กระจ่างสอดส่องใบหน้าด้านข้างของเขา ก็ยิ่งทำให้เขาดูเด็ดขาดและหนักแน่น
เธอจำอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของเขาเมื่อคืนได้ดี และจำสิ่งที่ไป๋ลั่วเคยพูดไว้ได้ ประสบการณ์เหล่านั้นของเขา เมื่อห้าปีก่อน…
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าฉินโม่หานนั้นโดดเดี่ยวเดียวดาย
ในสายตาคนอื่น เขาดูเป็นผู้ชายที่สูงเกินจะเอื้อมและหยิ่งผยอง แต่แท้จริงแล้ว เขาก็มีมุมที่เปราะบางและโดดเดี่ยวด้วย?”
เธอเอื้อมมือไปจับคอเสื้อเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ฉินโม่หาน”
เธอมองเขาด้วยนัยน์ตาที่สะท้อนแสงจันทร์อย่างเจิดจรัส “ฉันจะไม่จากนายไปไหน”
“ในเมื่อฉันตัดสินใจแต่งงานกับนายแล้ว ฉันจะไม่เปลี่ยนใจ”
แสงสว่างในแววตาของเธอดูจริงจังและดื้อรั้น
เมื่อเขามองเข้าไปในแววตาของเธอที่ดูเจิดจ้ากว่าแสงจันทร์ เขาก็เผลอยิ้มออกมา
“โอเค”
เขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็อุ้มเธอและเดินมุ่งตรงไปที่โรงแรม
ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงหายใจของเธอก็ดังมาจากอ้อมอกของเขา
ฉินโม่หานถอนหายใจอย่างจำใจ พลางอุ้มและกำแขนเธอให้แน่นกว่าเดิม “ซูสือเยว่”
“ฉันจะรับผิดชอบในสิ่งที่พูดกับเธอไว้”
……
ซูสือเยว่ตื่นขึ้นอีกครั้งในเช้าของวันรุ่งขึ้น
เธอลืมตาและหาวออกมา ในขณะที่เธอกำลังจะพลิกตัว ก็รู้สึกว่าตัวเธอขยับไม่ได้
เมื่อเธอมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็พบว่า เธอถูกฉินโม่หานกอดไว้แน่น
เขายังคงหลับสนิท
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงกระทบมายังมุมใบหน้าด้านข้างของเขา เขาดูมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
การที่เธอมองหน้าเขา ทำให้หัวใจของเธอเองเต้นแรงแบบผิดปกติ
เธอจึงหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย และยกแขนตัวเองขึ้น เพื่อดึงแขนของเขาไปด้านข้าง
“อย่าขยับ”
เสียงอันทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ข้างหู
มือของซูสือเยว่ก็หยุดชะงัก
เธอเม้มปากและวางตัวลงในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็มองใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาของเขา “นายตื่นแล้วหรอ?”
“ถ้าเธอไม่ขยับ ฉันก็นอนได้อีกสักพัก”
เขาที่กำลังหลับตาลง ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย
ฟังเสียงที่ดูงงงวยของเขาแล้ว ซูสือเยว่จึงกัดริมฝีปากอย่างเงียบๆ
“แต่ว่า…”
เธอยกแขนขึ้น และยังคงดึงแขนเขาที่อยู่บนตัวของเธอออก “ฉันอยากตื่นแล้ว”
เขาก็ยิ่งกอดเธอไว้แน่น ราวกับว่ามีแผนที่จะหลอกล่อให้เธอนอนต่อ
ซูสือเยว่รู้สึกร้อนรนใจ
เธอรีบคว้าแขนของเขาไว้ “ฉินโม่หาน นาย…”
“นายปล่อยฉันไปเถอะ”
เขาหลับตาและถามเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “ทำไม?”
“ก็เพราะว่า…”
เธอหน้าแดงก่ำ “ฉันมีเรื่องเร่งด่วน…”
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ…”
สิ้นเสียงของเธอ แขนของเขาก็ถูกดึงกลับไป
“ขอบคุณนะ!”
ซูสือเยว่รีบลุกออกจากเตียง และเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเร็วแสง
ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ เธอก็ไม่ลืมหันกลับมามองเขา “นายสบายใจได้ ถ้าฉันออกมาแล้ว ฉันจะมานอนกับนายต่อ!”
พูดจบ ประตูห้องน้ำก็ถูกปิดด้วยเสียงที่ดัง “ปัง”
เขาที่นอนอยู่บนเตียงก็เปลี่ยนท่านอนให้สบายขึ้น พลางหลับตาและค่อยๆยิ้มมุมปาก
ยัยบื้อเอ้ย